เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 41
บทที่ 41ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ซ่งหรูอี้ ดาวมารดวงใหม่ที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างช้าๆในโลกธุรกิจแห่งเมืองหมิงจู เธอไม่เหมือนกับพวกคุณหนูชนชั้นสูงพวกนั้น ที่เข้าออกงานเลี้ยงไฮโซทุกวัน แต่งหน้าหรูหราใส่ทองและเงิน ที่อยู่ไม่ห่างระหว่างผู้ชายอย่างนั้น
เธอมีหัวสมองอันเฉียบแหลมของธุรกิจมาก—-เธอได้แสดงสิ่งนี้ออกมาตั้งแต่เธอยังเด็กแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสบางคน ก็ยังรู้สึกละอายใจ
ในวัย17ปีนั้นเธอได้นำเงินกองทุนเริ่มลงทุนกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใกล้จะล้มละลายหนึ่งด้วยเงินห้าล้าน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่สามารถควบคุมหยุดยั้งสถานการณ์ได้ ในตอนนั้น ไม่มีใครคิดเลยว่า เด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนี้ ในสิบปีหลัง กลายเป็นราชินีธุรกิจที่มีอิทธิพลทั่วหัวเซี่ยแห่งเมืองหมิงจูหรือไม่?
ทรัพย์สินครอบครัวที่เกินหมื่นล้าน ในมือยังถือหุ้นขนาดใหญ่กับหลายบริษัทที่จดทะเบียน ด้วยเกรดอายุในยี่สิบเก้าปี ได้จัดระเบียบตระกูลซ่งกรุ๊ปได้อย่างดีไม่วุ่นวาย นี่ นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเธอ
เธอมีอิทธิพลมาก ไม่เพียงแต่โลกของธุรกิจเท่านั้น แม้กระทั่งทางการและเขตทหารยังจะต้องนับถือและให้เกียรติเธอด้วย ไม่ว่ายังไง สังคมในสมัยนี้ ทำอะไรต้องใช้เงินไปหมด นักธุรกิจที่มีตำแหน่งในสังคมที่สูง แม้จะพัฒนาไปมาก พอที่จะควบคุมเส้นทางเศรษฐกิจของเมืองหนึ่งได้
ดั่งเช่นหูอีซานของเมืองหมิงจู ซ่งหรูอี้ที่อยู่ภายใต้นั้น ถึงแม้ยังเทียบไม่ได้กับหูอีซาน แต่ทุกคนย่อมเชื่อกันว่า หากจะให้เกินกว่านี้เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
การหักหลังซ่งหรูอี้นั้น นี่มันไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ ถึงแม้ว่าคุณจะมีความกล้าหาญมากเพียงใด ก็ทำไม่ได้
เพราะซ่งหรูอี้เป็นผู้หญิงสุดยอดคนหนึ่ง เธอมีความรู้ด้านผู้นำอย่างมาก—-พูดอย่างเกรงใจว่า หากซ่งหรูอี้เกิดในราชวงศ์ถัง ท่าว่าคงไม่มีเรื่องภายหลังของบูเช็กเทียนแน่นอน
ผู้ทำการตามประสงค์ของฉันมีชีวิตอยู่รอด ผู้กบฏต่อฉันต้องตาย
นี่เป็นคำพูดหนึ่งที่ซ่งหรูอี้เคยพูดไว้
เกรี้ยวกราด
เกรี้ยวกราดมาก
แต่ว่า การที่จะเป็นคนที่เกรี้ยวกราดนั้นต้องมีความสามารถและต้นทุนที่สอดคล้องกัน แต่น่าเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้ พอดีซ่งหรูอี้มีหมดเลย
ณ จุดนี้ ถังเฉาได้ประสบเจอมาแล้ว เพื่อถึงจุดประสงค์แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ จนถึงตอนนี้ การจับกุมซ่งหรูอี้ของถังเฉายังไม่ถูกเพิกถอนเลย
หากยังมีชีวิตอยู่ต้องเจอตัว หากตายแล้วต้องเจอศพ
การที่จะหักหลังคนที่ระมัดระวังอย่างนี้ และยังเป็นผู้ที่ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้ สิ่งที่ต้องการนั้นไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่เป็นการมีจิตใจที่แน่วแน่ว่าต้องทำได้
ซ่งหมิงเวยไม่มีทางออก เพราะชีวิตเขาอยู่ในกำมือของถังเฉา
เขาเป็นคนรักชีวิต ฝั่งถังเฉาคือต้องตาย หักหลังซ่งหรูอี้ก็ต้องตาย ทางไหนก็ต้องตายเหมือนกัน จะเลือกยังไงล่ะ?
แน่นอนต้องเลือกทางที่ตายช้าหน่อย
ไม่ภักดีต่อถังเฉา เขาก็จะตายได้เลย หักหลังซ่งหรูอี้ อยู่ใต้การคุ้มครองของถังเฉา อย่างน้อยเขาก็ยังอยู่รอดได้อีกสักระยะหนึ่ง—-เขาไม่เข้าใจถังเฉา ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าถังเฉาจะมีความสามารถจริงพอที่จะปะทะกับซ่งหรูอี้หรือเปล่า
ถังเฉาได้พูดคำหนึ่งที่ข้างหูซ่งหมิงเวย
ไม่มีใครรู้ว่าถังเฉาสัญญาอะไรกับซ่งหมิงเวย แต่ดูเหมือนว่าซ่งหมิงเวยไม่ได้ตกใจกลัวเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว
ในขณะเดียวกัน เขาสัญญาภายในเวลาที่กำหนด วันที่ซ่งหรูอี้ล้มลง ก็เป็นวันที่ซ่งหมิงเวยขึ้นครองแทนนั่นเอง
หวางหมิ่นเหมินนึกไม่ถึงเลยว่าซ่งหมิงเวยกล้าที่จะหักหลังซ่งหรูอี้จริง ตอนนั้น ก็ได้จ้องไปที่ถังเฉาหลายครั้ง
ไอ้หนุ่มคนนี้ลึกลับจนคาดเดาไม่ได้ แม้แต่คุณชายสามของตระกูลซ่งก็ยังทำงานให้เขา
เขาได้พยุงหลิ่วเซียนขึ้น อีกด้านหนึ่งก็สั่งลูกน้อง:“รีบไปเรียกท่านลิ่วมา”
หวางหมิ่นเหมินฉลาดมาก ซ่งหมิงเวยได้หักหลังซ่งหรูอี้ไปแล้ว จะทำโทษซ่งหมิงเวยยังไง เป็นเรื่องของคุณหนูซ่ง ในที่นี้ คนที่ใหญ่สุดก็คือซ่งหมิงเวย เขาไม่สามารถที่จะมีความขัดแย้งกับซ่งหมิงเวยโดยตรงได้ ดังนั้น เขาถึงได้เรียกท่านลิ่ว
อันดับแรกนั้น หลิ่วเซียนเป็นผู้หญิงของท่านลิ่ว ถังเฉาได้ตบตีผู้หญิงของเขาเป็นขนาดนี้ ท่านลิ่วไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆแน่ ต่อมาอย่างที่สองนั้น ฝ่ายตรงข้ามมาขอเงินหมื่นล้าน ในหมื่นล้านนี้ ก็มีเงินของท่านลิ่วเหมือนกัน ใครล่ะที่จะไม่เข้ากันกับเงิน?
จากนั้น ไม่นาน ลูกน้องก็ได้กลับมาอย่างตื่นตระหนก กล่าวกับหวางหมิ่นเหมินว่า:“ประธานหวาง ท่านลิ่วว่าทางเขานั้นก็เกิดเรื่องแล้ว พื้นเขตอำนาจศาลของตระกูลจ้าวถูกเย่เทียนหลงแย่งไปแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในระหว่างทางไป”
“อะไรนะ?ถูกแย่งไปแล้ว?”
ได้ยินมาว่า หวางหมิ่นเหมินก็กังวลจนเหมือนมดในหม้อไฟที่ร้อน ทั้งสองตระกูลไม่เคยมีความขัดแย้งกัน ทำไมอยู่ดีดีเย่เทียนหลงถึงได้มาแย่งชิงพื้นที่ของตระกูลจ้าวล่ะ?
ทันใดนั้น เหมือนหวางหมิ่นเหมินนึกถึงอะไรสักอย่าง มองย้อนกลับไปที่ถังเฉาแวบหนึ่งอย่างสยอง
หรือว่าก็เป็นฝีมือของไอ้หนุ่มนี้เหมือนกัน……
หวางหมิ่นเหมินเดาถูก ก็คือถังเฉานี่แหละที่ขอร้องให้เย่เทียนหลงทำ ไม่ต้องมีเรื่อง แค่ไปกระตุ้นพื้นที่ของตระกูลจ้าวให้เกิดความขัดแย้ง ก่อให้เกิดการจลาจล ก็สามารถถอยกลับได้
จุดประสงค์ง่ายมาก คือการทำให้ตระกูลจ้าวมีความเคลื่อนไหวที่ลากช้า
จุดประสงค์การมาครั้งนี้ของถังเฉาคือการทวงเงิน ไม่ได้อยากมีการแย่งชิงอำนาจที่ลากผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามามากมาย แค่บริษัทการบันเทิงฮุยหวงคืนเงิน เขาก็จะรีบสลายตัวไป ก็เท่านั้นเอง
แต่น่าเสียดาย ผู้หญิงหลิ่วเซียนนี้ดันจะทำให้เรื่องง่ายๆแค่นี้ให้กลายเป็นเรื่องวุ่นวายมากมาย
“เถ้าแก่หวาง คุณมีสองทางเลือก”
เสียงขี้เกียจถังเฉาได้ลอยมา:“ทางเลือกที่หนึ่ง รีบคืนเงิน ผมก็ถอยกลับ ทางเลือกที่สอง ผมจะทุบทรัพย์สินของคุณ ทุบจนครบหมื่นล้าน คุณเลือกเอา”
ได้ยินมาว่า สีหน้าหวางหมิ่นเหมินมืดมนไปหมด ในใจพันล้านคำที่ไม่อยากให้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ สถานการณ์บีบคั้นคน
“ฉันคืนเงิน” หวางหมิ่นเหมินกล่าว หากรู้ว่าทางลี่จิงมีคนโหดแบบนี้อยู่ ให้ความกล้าเขาเต็มร้อยยังไง เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่คืนหรอกนะ……
“อย่างนี้สิถึงจะถูกว่าไหม?”
ถังเฉาได้หัวเราะเล็กน้อย กล่าว:“หากเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก บาร์ของคุณนี้ก็จะไม่โดนทุบละ”
หยุดไปชั่วขณะ ถังเฉาแตะไปที่คาง แล้วกล่าวว่า:“ได้ยินว่า บริษัทการบันเทิงฮุยหวงของพวกคุณได้ติดหนี้ลี่จิงมาครึ่งค่อนปีแล้ว”“ใช่ครึ่งปี” จู่ๆในใจหวางหมิ่นเหมินก็ปรากฏลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
“ไม่ต่างอะไรกับหนึ่งปี คิดเป็นหนึ่งปีละกัน”
ถังเฉาได้มองไปที่ซ่งหมิงเวย สอบถามว่า:“อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของการกู้เงินของเมืองหมิงจูคือเท่าไหร่?”
“สามสิบ”ซ่งหมิงเวยกล่าว
ถังเฉาได้คิดในใจ จากนั้นก็ได้แจ้งยอดหนึ่งออกมา:“หนึ่งร้อยสามสิบล้าน”
“ให้เวลาคุณครึ่งบ่ายในการเตรียมเงิน หากก่อนหกโมงเย็นยังไม่เห็นเงินหนึ่งร้อยสามสิบล้าน ฉันจะมาอีกรอบ”
ถังเฉาได้ตบไปที่ไหล่ของหวางหมิ่นเหมิน:“และยังมีอีก ฉันชื่อถังเฉา หากต้องการเอาคืนฉัน อยากหาผิดคนล่ะ”
พูดจบ ก็ได้ออกไปจากบริษัทการบันเทิงฮุยหวง
หลังจากที่ถังเฉาไปนั้น หวางหมิ่นเหมินหน้ามืดนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว สีหน้าเขียวช้ำน่ากลัวมาก
“ถังเฉา……”
เขารู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูมาก เหมือนเคยได้ยินมาจากไหน
ทันใดนั้น เขานึกขึ้นได้ ตะโกนด่าเสียงดังไปคำหนึ่ง เอามือถือออกมาได้โทรไปยังเบอร์เบอร์หนึ่ง
—-
ในเวลาเดียวกัน แผนกต้อนรับแขกของอาคารกั๋วจี้
หวางเยี่ยกำลังพูดคุยกับหลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูนอย่างหัวเราะชอบใจ
จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ดูแล้วเป็นสายเรียกเข้าจากคุณพ่อ หวางเยี่ยลุกขึ้นทันที กล่าวอภัยว่า:“ขอโทษด้วยครับ ขอไปรับโทรศัพท์สักครู่”
เขาได้เดินออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอก ฟังไปฟังมาจากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าเดิมนั้นค่อยๆจางหายไป แทนที่ด้วยสีหน้าสัมผัสของความโกรธ
หลังวางสายลง ใบหน้าทั้งใบของหวางเยี่ยได้เย็นลง
หลินฉ่ายเวยได้สังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของหวางเยี่ย รีบร้อนลุกขึ้น ถามด้วยความห่วงใยว่า:“เป็นอะไร เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“เกิดเรื่องอะไรงั้นเหรอ?คุณยังมีหน้าถามอีก”
หวางเยี่ยหัวเราะเย็นชาออกมา กล่าวด้วยความโกรธว่า:“กลับไปถามไอ้คนไร้ประโยชน์บ้านคุณไป ว่าเขาไปก่อเรื่องอะไรไว้—-เขาบุกไปที่บริษัทของพ่อฉัน พาคนไปทุบบริษัทพ่อฉันมา!