เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 450
ถังเฉาและหลินชิงเสว่ยังคงอยู่ในห้องวีไอพี ถังชิงเหอ หลินชิงเสว่ รวมถึงคนบ้าดนตรี ต่างก็มองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คุณอยากทำแบบนี้จริงๆเหรอ”
ใบหน้าของหลินชิงเสว่เต็มไปด้วยความกังวล “ตระกูลลู่ไม่เหมือนกองกำลังพวกนั้นที่ยอมจำนนต่อคุณ พวกเขาเป็นกำลังทหารเข้มแข็ง เป็นเสือโคร่งหนึ่งตัว ไม่กลัวว่าเลี้ยงเสือแล้วเป็นภัยเหรอ?”
คนบ้าดนตรีก็พยักหน้าเช่นกัน
เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจเลย แต่เหตุผลที่ชัดเจนเข้าใจง่ายอย่างนี้ เธอก็ยังเข้าใจ
ถังเฉายิ้ม “แน่นอนผมเข้าใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ว่า สิ่งที่พวกเขาสามารถเดาได้ แน่นอนว่าผมก็สามารถเดาได้ตระกูลลู่ จะต้องเติบโตขึ้นอย่างลับๆแน่นอน!”
“แล้วทำไมคุณถึงยัง…”
หลินชิงเสว่สีหน้างงงวยไม่เข้าใจ
เห็นแต่ถังเฉายิ้มเบาๆ “เลี้ยงเสือแล้วเป็นภัยไม่ควรที่จะเอาจริงๆ แต่ขึ้นอยู่กับว่าตอนเลี้ยงเสือจะให้มันกัดใคร”
หลินชิงเสว่ก็ฉลาดจริงๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ครู่เดียวสติก็กลับมา
“คุณกำลังคิดว่า…….”
“ไม่ผิด”
ถังเฉามีรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างมั่นใจ “ทุกเมือง ไม่จำเป็นต้องการตระกูลร่ำรวยมากมายขนาดนั้น หนึ่งถึงสองครอบครัว ก็เพียงพอแล้ว”
“แม้ว่าพวกเขาจะกบฏจริงๆ งั้นจะทำยังไง ได้แต่ให้พวกเขาเร่งทำลายล้างให้เร็วขึ้นเท่านั้น”
น้ำเสียงของถังเฉามีแต่ความเย่อหยิ่ง ตระกูลลู่อยู่ในสายตาทั้งนั้น
หลินชิงเสว่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร
ความเชื่อมั่นที่ถังเฉาแสดงออก แม้แต่ตระกูลหลวงในเยี่ยนตูก็ไม่อยู่ในสายตา
ถึงตระกูลลู่จะหักหลังเขา แล้วเป็นไง?
“เจียงเฉิง ก็เป็นสนามรบที่หนึ่ง…”
ดวงตาของเธอลึกซึ้ง น้ำเสียงนิ่งเงียบ
ตระกูลลู่ เซี่ย หู ด้วยสามเสาหลัก และประชุมแดนเหนือที่กำลังจะมีขึ้น จึงไม่ยากที่จะเดาออก อนาคตของเจียงเฉิงจะถูกคลื่นกระโหมซัดสาด
ในตอนนี้บริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปวางแผนเปิดจำลองเจียงเฉิง แน่นอนไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาด
แต่ว่า ความร่ำรวยและความมั่งคั่ง สถานการณ์ยิ่งยุ่งเหยิงเท่าไหร่ ฮีโร่ก็จะปรากฎตัวได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
และยังเป็นช่องทางในการทำธุรกิจอีกด้วย
ส่งถังชิงเหอและคนบ้าดนตรีกลับโรงแรม ถังเฉาและหลินชิงเสว่ก็กลับบ้านเช่นกัน
ระหว่างทาง หลินชิงเสว่ก็พูดขึ้นว่า “อีกไม่กี่วันข้างหน้าฉันอาจจะยุ่งนิดหน่อย คุณช่วยฉันไปรับเสี่ยวลี้หน่อย”
ถังเฉารู้ว่าเธอต้องยุ่งเรื่องการร่วมมือต่างๆ ดังนั้นเขาจึงตกลงทันที
นี่คือผลกระทบที่คนบ้าดนตรีนำมา เป็นเพียงคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในลี่ซื่อกรุ๊ป บริษัทยักษ์ใหญ่จากทุกสาขาอาชีพต่างแย่งกันที่จะร่วมมือกัน
ลี่ซื่อในตอนนี้ มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แซงหน้าตระกูลซ่งในคราวเดียว กลายเป็นบริษัทอันดับ 1 ในหมิงจู
นอกจากนี้ ในสถานการณ์ตอนนี้ลี่ซื่อกรุ๊ปยังไม่เข้าตลาด เมื่อเข้าตลาดแล้ว มูลค่าจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ถังเฉาป้อนอาหารเช้าให้ถังเสี่ยวลี้อย่างเอาใจใส่
เจ้าตัวเล็กมองไปทางซ้ายและขวา กลับไม่เห็นเงาของหลินชิงเสว่ อดไม่ได้ที่จะทำปากจู๋
“คุณพ่อคะ คุณแม่ล่ะ?”
อาจเป็นไปได้ว่าชินกับการอยู่ข้างๆถังเฉา เจ้าตัวเล็กไม่ติดถังเฉาเหมือนตอนแรกๆขนาดนั้นแล้ว แต่ว่า ‘ติด’ ถังเฉาและหลินชิงเสว่พอๆกัน
“คุณแม่งานยุ่งน่ะ” ถังเฉายิ้มและป้อนโจ๊กหนึ่งคำให้ถังเสี่ยวลี้
ถังเสี่ยวลี้กินอย่างเชื่อฟัง ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “คุณพ่อ เมื่อวันก่อนที่พ่อสอนหนู หนูเรียนเป็นแล้วนะ”
พูดจบ ยังกระโดดลงจากเก้าอี้ ต่อยหมัดฟ้าแลบต่อหน้าถังเฉาหนึ่งชุด
ถังเฉามองแล้วหัวเราะเหอๆ แต่มองๆเขาก็ยิ้มไม่ออก
การแสดงออกของถังเสี่ยวลี้จริงจัง ท่าทางมาตรฐาน ต่อยได้เป็นเรื่องเป็นราว
แม้ว่าจะอยู่ห่างจากผู้แข็งแกร่งจริงเป็นหนึ่งแสนแปดพันไมล์ แต่ทิ้งคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันไปแล้ว แม้กระทั่งเด็กที่อายุมากกว่าเธอสามหรือสี่ปี—-อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าถังเสี่ยวลี่จะถูกรังแก
หลังจากต่อยเสร็จ เจ้าตัวเล็กหอบเล็กน้อย เหงื่อบนหน้าผากไหลออกมา
ถังเฉาอ้าปากตาค้าง “เสี่ยวลี้ นี่เป็นหนูต่อยจริงๆเหรอ?”
“ค่ะ!”
ถังเสี่ยวลี้พยักหน้าอย่างจริงจัง “หนูฝึกฝนทุกวันที่โรงเรียนอนุบาล เด็กคนอื่นๆนอน หนูก็ฝึก”
เมื่อถังเฉาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตื้นตัน
ต้องการสร้างความก้าวหน้าในศิลปะการต่อสู้ พรสวรรค์และการขยันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ด้านนี้ต้องเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย!
“เสี่ยวลี้เด็กดีจริงๆ มา พ่อจุ๊บหนึ่งที”
ถังเฉา โน้มตัวและจุ๊บลงบนแก้มของถังเสี่ยวลี้หนึ่งที จากนั้นส่งเธอไปโรงเรียน
“บ๊ายบายคุณพ่อ!”
ทางเข้าโรงเรียนอนุบาล ถังเสี่ยวลี้โบกมือให้ถังเฉา
ไม่ไกลนัก มีสตรีผมยาวสวมชุดสีขาว กำลังยืนมองดูทั้งหมดนี้ด้วยรอยยิ้ม
ราวกับรู้สึกอะไรบางอย่าง ถังเฉาหันศีรษะกลับไปโดยไม่รู้ตัว และสบตากับเธอ
ดวงตาของหญิงสาวอ่อนโยน ยิ้มต่อถังเฉาอย่างเป็นมิตร โดยไม่มีการโจมตีใดๆ
ถังเฉาก็ยิ้มตอบ
กลับมาที่อาคารกั๋วจี้ ฟางหย่ารออยู่ที่ประตูนานแล้ว
“คุณถัง”
“คุณฟาง”
ถังเฉายิ้ม แล้วถามว่า “นี่คุณกำลังรอผมอยู่เหรอ?”
ฟางหย่ายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย และพยักหน้าอย่างไม่กล้าปฏิเสธ “แน่นอน คุณคือเพื่อนร่วมงานในอนาคตของฉัน”
ถังเฉาตกตะลึงทันที “ในคำพูดนี้ของคุณมีคำพูดนะ เมื่อก่อนไม่ใช่เหรอ?”
ฟางหย่าอารมณ์ดี หยิบรายการขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา “คุณดูเอาเอง”
ถังเฉารับมาดู ที่แท้คือโครงการรายชื่อพนักงานที่ย้ายสาขาเจียงเฉิง
เขาเหลือบมอง ก็พบชื่อของเขาและฟางหย่า อยู่ในตำแหน่งแรกและตำแหน่งที่สอง
“นี่คือ……”
ถังเฉาสีหน้าไม่เข้าใจ
ฟางหย่าพูดว่า “นี่คือรายการการเปลี่ยนแปลงพนักงานที่ประธานหลินได้จัดทำขึ้นในตอนเช้า โครงการย้ายแผนกเจียงเฉิง เดิมทีเป็นคุณและประธานหลิน แต่เนื่องจากช่วงนี้ต้องการให้ประธานหลินเข้าร่วมการร่วมมือให้มากๆ เธอหาเวลาไม่ได้ ได้แต่จัดการให้ฉันมาเป็นคู่หูของคุณ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฟางหย่าเต็มไปด้วยความสุข ราวกับความปรารถนาเป็นจริง
สำหรับเรื่องนี้ ถังเฉาทำได้เพียงยิ้มอย่างอึดอัด
“เมื่อถึงเจียงเฉิงแล้ว คุณถังฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
ฟางหย่ายิ้มอย่างอ่อนโยน เหยียบรองเท้าส้นสูงขึ้นตึก
ถังเฉาทำได้เพียงส่ายศีรษะ คิดในใจ ชิงเสว่ไว้ใจเขาจริงๆ
แต่ว่า นี่แสดงถึงความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างสามีภรรยา
หลังจากถังเฉาเลิกงาน ก็ไปรับถังเสี่ยวลี้จากโรงเรียนอนุบาล
จากนั้น เมื่อมาถึงโรงเรียนอนุบาล เขาก็เห็นผู้หญิงสวมสุดสีขาวในตอนเช้าคนนั้น
เธอนั่งยองๆอยู่ต่อหน้าถังเสี่ยวลี้ ยื่นอมยิ้มสีรุ้งพร้อมรอยยิ้มในแววตาของเธอ
แต่ถังเสี่ยวลี้กลับมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า รับมาโดยไม่มีการเตรียมตัวป้องกันใดๆ
ถังเฉาสีหน้าเปลี่ยน สัญชาตญาณว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้ค้ามนุษย์ที่ลักพาตัวและขายเด็ก
เขารีบมาที่ถังเสี่ยวลี้ คว้าอมยิ้มในมือของผู้หญิงคนนั้น
“ห้ามกิน!”
ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก้าวถอยหลังทันที
เมื่อเห็นว่าเป็นพ่อ ถังเสี่ยวลี้ก็ยิ้มทันที “คุณพ่อคะ น้าคนนี้ดีกับหนูมาก ซื้อของมาให้หนูเยอะแยะเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของถังเฉาก็เย็นชา และเขาพูดอย่างเคร่งขรึม “พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหม ในโรงเรียนอนุบาล อย่ารับของจากคนแปลกหน้า”
ถังเสี่ยวลี้ทำหน้าบึ้งและพยักหน้า และคืนอมยิ้มให้กับผู้หญิงชุดขาวคนนั้น
“คุณป้า หนูขอโทษ หนูรับอมยิ้มนี้ไว้ไม่ได้”
ผู้หญิงชุดขาวรับไปโดยไม่รู้สึกอึดอัดบนใบหน้า ยังคงมองถังเสี่ยวลี้ด้วยรอยยิ้ม
แววตานั้น ก็เหมือนลูกสาวของเขาเอง
สิ่งนี้ยิ่งทำให้ถังเฉายิ่งระแวดระวังมากขึ้น จึงให้ถังเสี่ยวลี้ไปเล่นสไลเดอร์ที่อยู่ข้างๆสักพัก
ตัวเองกลับมาตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น พูดทีละคำว่า “ผมไม่สนว่าคุณเป็นใคร อยู่ให้ห่างจากลูกสาวของผม”