เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 560
ด้วยความรวดเร็ว หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงผลลัพธ์ออกมาแล้ว
สิ่งที่ทำให้หงเทียนหยากับลูกน้องประหลาดใจก็คือ เป็นเครื่องหมายคำถามหนึ่งพวงอย่างคาดไม่ถึง
หงเทียนหยาผ่อนลมหายใจออกมาทันที “ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือที่เร่ร่อน!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ประธานหงครับ เห็นได้ชัดว่าในคอมพิวเตอร์ไม่ได้แสดงอะไรออกมาเลย แล้วท่านรู้ได้อย่างไรครับว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่เร่ร่อน?”
“เรื่องนี้แกไม่เข้าใจหรอก”
หงเทียนหยายิ้ม “บนเส้นทางบูโดนี้ มีเพียงหัวใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่เท่านั้นที่จะสามารถบุกทะลวงได้ ดังนั้นนักบู๊มากมายที่เผชิญกับขั้นตอนสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาล้วนแต่เลือกที่จะละจากทางโลกไป ไม่ใส่ใจไยดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มุ่งมั่นแต่จะฝึกการต่อสู้ คนแบบนี้พวกเราจะตรวจหาข้อมูลฐานะและประสบการณ์ไม่ได้”
พูดจบหงเทียนหยายังคลิกไปที่ใบรายชื่อฐานะของตัวแทนขึ้นต่อสู้ของตระกูลฉินตามใจตนขึ้นมา “ยกตัวอย่างเช่นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อว่า ‘ฉีหลิน’ คนนี้ ฐานะของเขาเองก็เป็นเครื่องหมายคำถามทั้งหมด มองความแตกต่างกับถังเฉาก่อนหน้านั้นออกหรือยัง?”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเปรียบเทียบกันพักหนึ่ง ครู่เดียวก็เข้าใจได้แล้ว
ในระเบียนของถังเฉามีเพียงแค่ฐานะกับประสบการณ์ที่เป็นเครื่องหมายคำถามพวกหนึ่ง แต่ผู้แข็งแกร่งที่ละจากทางโลกเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะใช้รหัสประจำตัว แม้แต่ชื่อแซ่อายุก็ล้วนแต่ไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์เลย
คนแบบนี้คุณสามารถพูดได้หรือว่าที่มาไม่ชัดเจนน่ะ?
“แต่ว่าคนคนนี้กล้ามาจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าใช้รหัสประจำตัวว่า ‘เจ้ามังกร’ หรือว่าเขาจะแกร่งกว่าเจ้ามังกรหรืออย่างไร?”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยทอดถอนใจ
หงเทียนหยายิ้ม “นี่มันเป็นไปไม่ได้ เจ้ามังกรหาที่เปรียบได้ยาก ฉันเดาว่าคนคนนี้ไม่ได้เข้าสังคมมาห้าหกปีแล้ว ไม่รู้จักชื่อเสียงอันโด่งดังของเจ้ามังกร”
“อย่างนี้นี่เอง”
ผู้ใต้บังคับบัญชาปล่อยวาง
ห้าปีมานี้เจ้ามังกรเพิ่งจะโผล่ขึ้นมาเป็นนักรบเทพในแวดวงทหารอย่างฉับพลัน จิตวิญญาณแห่งการรบที่ฆ่าไม่ตาย
ผู้แข็งแกร่งที่ละจากทางโลกเหล่านั้นไม่เคยได้ยินก็เป็นเรื่องปกติ
กริ๊งงงงงง!
ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พอหงเทียนหยาฟังปุ๊บ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสถาบันจดหมายเหตุโทรมา
“หงเทียนหยา คุณกล้าดีนักนะ นึกไม่ถึงว่าจะค้นระเบียนลับโดยพลการอีกแล้ว ระบบค้นระเบียนนี้ พวกคุณสมาคมการต่อสู้อย่าได้ใช้อีกเลย!”
ตู๊ด ๆ ๆ!
“…”
หงเทียนหยายังไม่ทันได้พูด โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไปแล้ว
พอตั้งสติได้ หงเทียนหยาก็เอ่ยกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างร้อนใจเหมือนถูกไฟแผดเผา “เร็ว ลองดูซิว่าระบบระเบียนยังใช้ได้อยู่ไหม?”
ลูกน้องล็อกอินเข้าไปดู ทันใดนั้นก็ปรากฎเป็นเครื่องหมายกากบาทสีแดงสะดุดตาอันหนึ่ง
ด้านบนเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ไว้สี่ตัว ‘ไม่มีขอบเขตอำนาจ’
หงเทียนหยาขวัญหนีดีฝ่อทันที “แย่แล้ว ๆ ระบบระเบียนนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่รวดเร็วที่สุด ตรงไปตรงมาที่สุดของพวกเรา ถ้าหากถูกปิดระบบไปแล้ว งั้นก็ตรวจสอบคนไม่ได้แล้วสิ?”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยว่า “ประธานครับ จะต้องเป็นระเบียนของถังเฉาที่เราตรวจค้นไปคราวที่แล้ว ถึงได้ถูกสถาบันจดหมายเหตุจัดเข้าไปอยู่ในบัญชีดำแล้ว”
“ถังเฉา! ฉันกับแกอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว!”
หงเทียนหยากัดฟันกรอด แทบอยากจะถือมีดไปที่ที่พักของถังเฉา
แน่นอนว่าถังเฉาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในสมาคมการต่อสู้ จัดเตรียมที่อยู่ให้กับเย่เทียนหลงกับจ้าวเย็นหรานเสร็จ ถังเฉาก็กลับไปที่โรงแรม
หลินชิงเสว่ไปรับถังเสี่ยวลี้มาแล้ว แต่เปลี่ยนชุดเป็นชุดสูทตัวน้อยที่ดูเป็นทางการหน่อยมาแทน
ถังเฉาตะลึงไปพักหนึ่ง “คุณจะออกไปข้างนอกเหรอครับ?”
หลินชิงเสว่พยักหน้า ทั้งยังเร่งรัดให้ถังเฉารีบไปเปลี่ยนชุดด้วย
“พวกเราจะไปที่ไหนกันครับ?”
ถังเฉาถาม
หลินชิงเสว่เอ่ยขึ้นว่า “หลินรั่วหวีจัดงานเลี้ยงขึ้นมางานหนึ่ง ดูเหมือนจะแก้ไขบุญคุณความแค้นเมื่อปีนั้นได้แล้ว ไม่เพียงแต่จะเชิญครอบครัวพวกเราไป ทั้งยังเชิญครอบครัวของพ่อของฉันไปด้วย”
“แม้แต่ครอบครัวของพ่อก็ชวนไปด้วยเหรอ?”
ถังเฉาหรี่ตาลงทันที
สีหน้าของหลินชิงเสว่เข้มงวด “ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรหรอกนะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูหน่อยว่าเขาคิดจะทำอะไร”
ถังเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา
แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ถังเฉาก็พาหลินชิงเสว่กับถังเสี่ยวลี้สาวสวยน้อยใหญ่ทั้งสองไปหาทางหลินฉ่ายเวยนั่น
พอได้รู้ว่าหลินรั่วหวีผู้นำตระกูลหลินจัดงานเลี้ยงเชิญแขกมาทานอาหาร หลินฉ่ายเวยก็ทั้งเครียดทั้งตื่นเต้น
ตื่นเต้นเพราะในที่สุดก็ได้พบเจอผู้นำของเยี่ยนตูในตำนาน
เครียดก็เพราะฐานะทางสังคมระหว่างทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันน้อยเกินไป
หลินเจิ้นสงเองก็ตื่นเต้นมาก
แต่ก็ยังพาเหวินเฉี่ยวหรูไปด้วย
ถังเฉายิ้มแล้วเอ่ยปลอบว่า “พ่อครับ อย่าเครียดไปเลย เขาจะงานเลี้ยงรับประทานอาหารนี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะขอโทษพวกเราสำหรับเรื่องเมื่อปีนั้น นอกจากนั้นยังอาจจะติดสินบนท่านด้วย”
“ขอโทษ? ติดสินบน? อย่าล้อเล่นอีกเลย!”
พอได้ยินคำพูดนี้ หลินเจิ้นสงก็หวาดกลัวยิ่งขึ้น
เมื่อยี่สิบปีก่อนจากบ้านเมืองมาไกล ออกจากเมืองเยี่ยนจิงมาสู่เมืองหมิงจู สามารถพูดได้ว่าเขามีชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของหลินรั่วหวี
เขากล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดออกมา แม้จะเกิดความโกรธแค้นก็เอาออกมาไม่ได้
ที่มีอยู่มีเพียงความหวาดกลัว
เหวินเฉี่ยวหรูเองก็กลัวมาก
ตอนที่เธอยังเป็นคุณนายเหวินอยู่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหลินรั่วหวี แต่เธอก็ไม่เคยพบเจอนี่
ไม่มีคุณสมบัตินี้!
“ไม่ได้ล้อเล่นจริง ๆ!”
ถังเฉาฝืนยิ้มแล้วพูดขึ้น “พ่อครับ คุณนายเหวิน… ไม่ ควรจะเรียกคุณว่าแม่แล้ว พวกท่านไม่ต้องกลัวขนาดนั้น สงบใจหน่อยครับ”
หลินชิงเสว่ก็พูดโน้มน้าวว่า “ใช่ค่ะ เกิดเรื่องไปก็ยังมีฉันอยู่นะคะ”
“อีกอย่างนะ การชดเชยของหลินรั่วหวีได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกท่านไม่ใช่ว่าล้วนแต่ได้รับการชดเชยจากเขาแล้วหรอกหรือครับ?”
ถังเฉามองหลินเจิ้นสงด้วยสายตาประหลาดพลางเอ่ยขึ้น
สีหน้าของหลินเจิ้นสงเปลี่ยนไปน้อย ๆ “พ่อไปตอบรับการชดเชยจากเขาที่ไหนกัน?”
“ความร่วมมือของหลงเถิงกรุ๊ปไง!”
ถังเฉาเอ่ยว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าตงเตี้ยนกรุ๊ปของตระกูลหลินมาขอความร่วมมือถึงบ้านหรอกหรือครับ?”
ขวับ!
พอคำนี้ลั่นออกมา สีหน้าของหลินเจิ้นสงก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เบิกตากว้าง “ที่แท้นี่ก็คือการชดเชยของผู้นำ พ่อยังนึกว่าหลงเถิงของพวกเรามีความสามารถมาก พวกเขาถึงได้ตามมาขอความร่วมมือถึงบ้านน่ะ!”
ถังเฉายิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
ถึงแม้ว่าช่วงนี้หลงเถิงกรุ๊ปจะพัฒนาได้ไม่เลว แต่ก็ไม่ได้นับว่าโดดเด่นกว่าใครจากในทั่วทั้งภูมิภาคเจียงเจ้อ
ตงเตี้ยนกรุ๊ปของตระกูลหลิน ไม่เพียงแต่โดดเด่นกว่าใครในเยี่ยนจิง แต่ทั้งประเทศก็ยังคงเป็น
เกิดความร่วมมือกันระหว่างตงเตี้ยนกรุ๊ปกับหลงเถิงกรุ๊ป ถ้าไม่ใช่หลินรั่วหวีอยากจะชดเชยใช้หลินเจิ้นสงแล้ว โดยภาพรวมของทั้งสองก็คงไม่สามารถที่จะมาเปิดความร่วมมือกันได้
สีหน้าของเหวินเฉี่ยวหรูเป็นกังวล “คุณตอบรับความร่วมมือจากผู้นำหลินแล้ว นั่นเท่ากับรับการชดเชยจากเขาแล้ว!”
หลินเจิ้นสงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
ถังเฉากลับมาเอามาใส่ใจ “ไปกันเถอะ”
คนกลุ่มหนึ่งเร่งเดินทางไปยังสถานที่ที่หนึ่งในชานเมืองเจียงเฉิงที่มีชื่อว่าวาเลียนท์ วิลล่า
นี่คือสถานที่ที่หลินรั่วหวีจัดงานเลี้ยงขึ้น
เพราะว่าประชุมแดนเหนือใกล้จะจัดขึ้นแล้ว เพียบพร้อมไปด้วยความหมายที่สำคัญสุดขีด ส่งผลกระทบต่อหลากหลายพื้นที่
วาเลียนท์ วิลล่านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลินเจิ้นสงกำลังขับรถ สีหน้าเคร่งขรึม “วาเลียนท์ วิลล่านี้เป็นคฤหาสน์โบราณหลังหนึ่ง มีประวัติศาสตร์มาหลายร้อยปีแล้ว ได้ยินมาว่าที่นี่เป็นฐานทัพค่ายสถาบันฝึกอบรมกองทัพปราณมังกรสำรองพิเศษที่ลึกลับที่สุด”
“ร้ายกาจขนาดนั้นเลย!”
ในดวงตาของหลินฉ่ายเวยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ทิวทัศน์ในป่าเขาวาบผ่านมาอย่างต่อเนื่อง สามารถมองเห็นประติมากรรมหลาย ๆ รูปที่ซ่อนอยู่ในป่าไม้ได้อย่างเลือนราง
“นี่ล้วนแต่เป็นรูปปั้นของทหารองครักษ์ที่ยอดเยี่ยมในกองทัพปราณมังกร”
หลินชิงเสว่เอ่ยขึ้น
ถังเสี่ยวลี้ที่อยู่ในอ้อมอกของถังเฉาปรบมือขึ้นทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “รอจนหนูโตแล้ว จะต้องเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่เหมือนคุณพ่อให้ได้เลย”
“ฉลาดจริง ๆ”
ถังเฉาลูบศีรษะของถังเสี่ยวลี้
สายตากลับลอยไปที่วาเลียนท์ วิลล่า
กลับมายังสถานที่ที่เคยอยู่อีกครั้ง เขาปลงเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อนที่เคยร่วมรบกันมา
พวกนาย… ยังสบายดีอยู่ไหม?
ห้าปีก่อนเขาได้ถูกเจ้ามังกรเก่าช่วยชีวิตขึ้นมาจากในน้ำ หลังจากนั้นก็มาถึงที่นี่ เข้าร่วมเป็นสมาชิกสำรองของกองทัพปราณมังกร
ในที่แห่งนี้ ถังเฉาได้ทิ้งความทรงจำในวัยหนุ่มเอาไว้มากมาย
พื้นที่ทุกตารางนิ้วล้วนแต่เคยซึมซับหยดเลือดและหยาดเหงื่อของถังเฉาเอาไว้
ตอนแรกคนกลุ่มนั้นจากไปแล้ว สละชีพไปแล้ว เหลือเพียงถังเฉากับเจียงไป๋เสว่สองคนที่ได้เข้าร่วมกองทัพปราณมังกรอย่างเป็นทางการ
สิ่งต่าง ๆ ยังเหมือนเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไป แต่ก็ยังเหลือเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเจ้ามังกรเอาไว้
“เล่ากันมาเป็นทอด ๆ ว่าเจ้ามังกรเดินออกมาจากที่นี่แหละ”
หลินเจิ้นสงพูดด้วยใบหน้าหน้าเคร่งขรึม “ในตอนนั้นเขาเป็นคนที่โดดเด่นเป็นพิเศษในทุก ๆ ด้าน ได้รับเลือกเป็นข้อยกเว้นให้เข้าไปในกองทัพปราณมังกรอย่างเป็นทางการในนามของทหารใหม่ ต่อมาได้สร้างคุณงามความดีไว้ในสนามรบ เหรียญรางวัลนับไม่ถ้วน กลายเป็นเจ้ามังกรแห่งต้าเซี่ย”
ภาพยนตร์สารคดีที่เกี่ยวกับเจ้ามังกรก็มีในอินเทอร์เน็ต
แต่สิ่งที่หลินเจิ้นสงเล่าในตอนนี้ ทุก ๆ คนล้วนแต่ฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ
ถังเฉาเองก็ฟังอย่างตั้งใจเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้ความสงบ ยิ่งกว่านั้นก็คือความปลงอนิจจัง
นั่นคือความรุ่งโรจน์ของเขา แต่สำหรับเขาแล้ว เป็นเพียงอดีตที่เขากำลังจะละทิ้งไป
ตอนนี้เขาเป็นเพียงคนธรรมดา
แน่นอนว่าขอเพียงเป็นเวลาที่ประเทศต้องการเขา เขาก็ยังคงเป็นเจ้ามังกรแห่งต้าเซี่ยเหมือนดังในอดีต
“ถึงแล้ว”
รถยนต์จอดอยู่หน้าวิลล่า พวกของถังเฉาเดินเข้าไปกลางวิลล่า
ในวิลล่าระบุกฎไว้อย่างชัดเจนว่ารถของภายนอกไม่สามารถเข้าไปข้างในได้
ไม่ว่าจะเป็นรถอะไร มาจากที่ไหน ก็ล้วนแต่เข้าไปไม่ได้
มีสีสันของฝ่ายทหารดี
“ข้างหน้ามีรถ”
หลินฉ่ายเวยชี้ไปข้างหน้า เอ่ยตะโกนอย่างประหลาดใจ
ถังเฉาก็มองไปตามเสียง เห็นเพียงสองฝั่งถนนมีรถสีเขียวเข้มของเขตทหารจอดอยู่เต็มไปหมด
ด้านบนยังมีธงชาติสีสันสดใสเสียบอยู่
“นี่คือเครื่องหมายของอะไรครับ?”
เขาสังเกตเห็นว่าบนรถเหล่านี้ล้วนแต่มีสัญลักษณ์รูปร่างของมังกรอยู่หนึ่งอัน
“นั่นคือตราของกองทัพปราณมังกร”
ถังเฉาเอ่ยปากพูดขึ้นทันที
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นหลินเจิ้นสง หลินฉ่ายเวย หรือว่าหลินชิงเสว่และเหวินเฉี่ยวหรูก็ล้วนแต่ใช้สายตาประหลาดใจมองถังเฉา
“คุณรู้ได้อย่างไรคะ?”
หลินฉ่ายเวยพูดโพล่งออกไป เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
ถังเฉายิ้ม “คนที่เคยเป็นทหาร ล้วนแต่รู้จักตราสัญลักษณ์นี้ครับ”
ตอนนี้ทุกคนจึงได้ถึงบางอ้อกัน ไม่ได้เอาถังเฉาไปเชื่อมโยงกับกองทัพปราณมังกร
ถึงอย่างไรมีเพียงบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปข้างในกองทัพปราณมังกรได้
“ชิงเสว่ พวกเธอมาแล้วเหรอ?”
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงหัวเราะของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา
หันกลับไปมอง เห็นเพียงเว่ยหมิงจวินสวมชุดกี่เพ้าทั้งตัว เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
เธอไม่ได้ทักทายกับพวกหลินเจิ้นสง ดูเหมือนจะทำเป็นว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
หลินชิงเสว่ยิ้มอย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร
เว่ยหมิงจวินเอ่ยอีกว่า “ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นเจ้าภาพ เชิญพวกคุณมาทานอาหาร แต่ว่าที่นี่คือวาเลียนท์ วิลล่า ทำตามกฎระเบียบของที่นี่เถอะ”
“ทุกคนล้วนแต่ต้องผ่านการตรวจเช็กความปลอดภัย ปืนหรือกระสุนใด ๆ ล้วนแต่พกเข้าไปไม่ได้ พวกของเหลวก็เอาเข้าไปไม่ได้ แน่นอนว่า ฉันไม่ต้องผ่านการตรวจ”
พูดจบเว่ยหมิงจวินก็เดินผ่านหน้าพวกเขาไปตรง ๆ “ฉันจะรอพวกคุณอยู่ในวาเลียนท์ วิลล่านะ ในบรรดาพวกคุณหวังว่าจะไม่มีใครถูกกักตัวเอาไว้นะ ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายน่าดูเลย”
พวกของหลินชิงเสว่ล้วนขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ต่อแถวกันตรวจเช็กความปลอดภัย
ถังเฉาอยู่คนสุดท้าย ตอนที่เขาเดินเข้าประตูสแกนอินฟราเรดนั้นเอง ก็มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังตี๊ด ๆ ๆ ขึ้นอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นทุกคนก็เบิกตากว้างมองถังเฉาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
องครักษ์ที่อยู่รอบด้านก็มองถังเฉาเหมือนเผชิญหน้ากับศึกใหญ่
ฟึ่บ ๆ ๆ!
พวกเขายกปืนขึ้น เล็งไปที่ถังเฉา
“อย่าขยับ!”
“สองมือกุมหัว นั่งยองอยู่กับพื้น!”