เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 631 กูรูสอนคลายความสับสน
เสียงของถังเฉาใสก้อง เหมือนฟ้าร้องน้ำป่าถล่ม ทุกคนในสนามกีฬามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พวกที่ก่อนหน้านี้ยังสงสัยในตัวผู้สมัครที่เรียกตัวเองว่า ‘เจ้ามังกร’ คนนี้ คิดว่าเขาคงไม่เคยเจอะเจอยอดฝีมือจากตระกูลหลวงในเยี่ยนตูมาก่อน มาถึงตอนนี้ ความสงสัยนี้สลายหายสิ้น
ถังเฉาใช้การกระทำทลายความสงสัย
ด้วยว่าหากมู่เจียงไปเทียบกับพวกยอดฝีมือของตระกูลหลวงในเยี่ยนตูแล้ว มีแต่จะเหนือกว่าอย่างยากที่จะหาใครเปรียบได้
ถังเฉายินยอมให้มู่เจียงแก้ตัวได้หลายครั้ง อีกยังบอกว่าจะให้จนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะยอมสยบ นอกเหนือจากคนบ้าบู๊ มู่ตงเฟิง ยังจะมีใครกล้าพูดแบบนี้อีก ?
“เรี่องนี้……….”
ผู้ตัดสินไม่กล้าตัดสินใจ ได้แต่แหงนหน้ามองไปที่ผู้พิทักษ์แดนตะวันตกมู่ตงเฟิง
เขาเป็นประธานในการจัดประชุมแดนเหนือในครั้งนี้ ถ้าเขาส่ายหน้า นั่นหมายถึงมู่เจียงหมดสิทธิ์ที่จะขึ้นเวทีได้
มู่ตงเฟิงไม่พูดว่าอะไร เพียงแต่หันหน้ามองไปที่มู่เจียงด้วยสายตาคมกริบ เอ่ยปากถามว่า “มู่เจียง แกทำใจไว้หรือยัง ?”
การขึ้นเวทีไปอีกครั้ง แม้จะชนะ ก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องน่าภาคภูมิสักเท่าไหร่
ถ้าแพ้ จะยิ่งกว่าการแพ้อย่างราบคาบ หน้าตานี่เรียกว่าด้อยค่ายิ่งกว่าเศษธุลีผง
ยืนขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง มู่เจียงต้องรองรับกับแรงกดดันที่หนักสาหัสทางจิตใจ
แต่ในเวลาอันรวดเร็ว ตาทั้งคู่ของเขาเปลี่ยนฉายแววเหี้ยมกริบ เหมือนดั่งดาบคมหลุดออกจากฝัก
“พี่ใหญ่ ผมขึ้นมาอยู่บนเวทีแล้ว ย่อมเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว”
มู่เจียงพูดด้วยเสียงทุ้มชัด
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เอาเลย”
มู่ตงเฟิงโบกมือ
ฮูว์..เฮ…..!
ในพลันนั้นเอง ทั้งสนามกีฬาดังสนั่นด้วยเสียงปรบมือและเสียงเฮ ล้วนเป็นการส่งเสียงเชียร์ให้กับมู่เจียง
พวกคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดล้วนได้ซื้อลอตเตอรี แทงฝ่ายชนะให้กับมู่เจียง
การที่มู่เจียงขึ้นเวทีมาได้ใหม่ ย่อมเป็นการประกาศข่าวโชคดีที่สุดของพวกเขาอย่างไม่มีอะไรต้องสงสัย
หวางเฉียน กับซุนหงเจี๋ยก็ตื่นเต้นอย่างสุด ๆ เหมือนกับได้เกิดมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ตื่นเต้นจนหัวใจเต้นตูมตาม
ในใจพวกเขาหวังสุด ๆ ที่จะได้เห็นมู่เจียงถล่มถังเฉาให้ร่วงลงจากเวทีไป!
“ไอ้เจ้ามังกรนั่น มันจะโอหังไม่รู้กาลเทศะละมัง มู่เจียงเป็นใคร พี่น้องของผู้พิทักษ์มู่นะ กล้าดียังไงที่พูดว่าจะสยบเขา!”
บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของหวางเฉียน จ้องเขม็งใส่ที่ร่างเงาถังเฉา
แต่ละคนล้วนเป็นนักเสี่ยงโชค แต่ละคนล้วนมุ่งหวังจะได้เงินจนทุกวันนี้
ใครตัดเส้นทางการเงินของใคร นั้นก็คือการประทุษร้ายกันถึงชีวิต
ในสายตาของหวางเฉียน ถังเฉานี่แหละคือคน ๆ นั้น
ซุนหงเจี๋ยกลับรีบโทรศัพท์ไปหาเจี่ยงหยูเหลียง “ฮัลโหล ท่านประธานเจี่ยง ไอ้ ‘เจ้ามังกร’ คนนั้น มันใช่ลืมข้อตกลงของพวกเราหรือเปล่า ท่านรีบให้คนไปเตือนสติมันหน่อย”
พอพูดโทรศัพท์เสร็จ ซุนหงเจี๋ยก็วางใจลงไปได้บ้าง
เป็นที่แน่ชัดว่า เขายังมองเรื่องเมื่อสักครู่ที่มู่เจียงถูกเตะตกเวทีไป เป็นเรื่องอุบัติเหตุ
อีกมุมหนึ่งของสนามกีฬา หลินชิงเสว่ก็กำลังดูเหตุการณ์บนเวทีอยู่อย่างระทึกใจที่แสดงออกเต็มใบหน้า
หล่อนไม่ต้องการให้ ‘เจ้ามังกร’ ต้องแพ้
“ผ่านการพลาดท่าครั้งที่แล้วไป คุณคิดว่าคุณยังมีโอกาสมั้ย ?”
มู่เจียงมองหน้าถังเฉาอย่างหยามเหยียด น้ำเสียงเย็นชา
“เผลอพลาด ?”
ถังเฉาหรี่ตากวาดมองตามตัวมู่เจียง พลันส่ายหน้า “คุณกับมู่ตงเฟิง ไม่ผิดเพี้ยนเลยนะที่เป็นพี่น้องกัน แม้กระทั่งนิสัย ก็ยังเป็นแบบเดียวกันเลย”
เพียงพูดจบ สายตามู่เจียงเย็นเยือก “แกว่าอะไรนะ ?”
ถังเฉาก็ไม่มีอารมณ์จะสาวความอะไรต่อ
เป็นที่แน่ชัดว่า มู่เจียงยังคงเห็นว่าเหตุการณ์ที่ผ่านไปเป็นการลอบจู่โจมของคู่ต่อสู้ กอปรกับตัวเองเผลอพลาด จึงพลัดตกลงจากเวที ความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป มู่ตงเฟิงก็เป็นแบบเดียวกันนี้เหมือนกัน
ถังเฉาทำไมจึงมุ่งเป้าที่มู่เจียงแบบนี้
มีอยู่เหตุผลหนึ่ง เขาเป็นน้องชายของมู่ตงเฟิง และถูกจัดให้เข้าร่วมในประชุมแดนเหนือ
ตามรูปแบบนี้ กับการที่มู่ตงเฟิงลงสมัครเอง มันจะมีอะไรต่างกัน ?
การโกงกันอย่างถูกต้องแจ่มแจ้ง
ถังเฉาย่อมต้องไม่ยอมให้การเป็นที่หนึ่งตกอยู่ในมือของมู่เจียง
ในเวลาเดียวกัน ก็จะได้เป็นการเคาะกระทบมู่ตงเฟิง
ผ่าง!
สักครู่ต่อมา การต่อสู้เริ่มขึ้น
มู่เจียงดูเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าคลั่ง ถลาโถมโจมตีใส่ถังเฉา
เห็นภาพดังนั้น ผู้ชมเกือบทั้งหมดเลือดพล่าน
เพราะพวกเขาเห็นการทุ่มเทพลังทั้งหมดของมู่เจียง
การออกหมัดอย่างสุดฝีมือ ที่แน่นอนได้เลยว่าไม่มีใครเทียมทาน
แต่ทว่า ไม่ทันปล่อยให้พวกเขาได้ดีใจ กลับถูกภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ต้องตกตลึง
การถล่มโจมตีดั่งพายุกระหน่ำฝนคลั่งของมู่เจียง
ทว่า แม้เพียงมุมเสื้อของถังเฉายังไม่มีโอกาสได้สะกิดถูก
ตาทั้งคู่ของถังเฉาปิดเหมือนหลับ แต่กลับหลบพ้นการโจมตีก่อนถึงตัวได้ทุกครั้งไป
มันช่างไม่อาจคิดว่าเป็นไปได้เลย !
เส้นขีดกำหนดในขวัญกำลังใจของมู่เจียง เริ่มถูกถังเฉากวนจนใกล้พังทลาย
เพราะว่า ทุกครั้งที่เห็นอยู่กับตาแล้วว่ากระแทกถึงตัวคู่ต่อสู้แล้ว สุดท้ายคู่ต่อสู้ก็ลื่นหลบไปได้
เหมือนกับว่าระหว่างตัวเขากับถังเฉา มันห่างกันแค่เพียงเส้นยาแดง ตามองเห็นอยู่แล้วว่ากระแทกถูกแต่ก็ไม่เคยถูก
“แกมันก็เป็นแค่หนูสกปรกเป็นแต่กระโดดหนีไปมาเท่านั้นเองใช่ไหม ?”
ในตาของมู่เจียงลุกโชนด้วยไฟโทสะ มองถังเฉาด้วยความโกรธ พูดว่าไป
ทุกครั้งแค่เพียงสะกิดก็ยังไม่ถูกตัวถังเฉา เล่นเอามู่เจียงเต็มไปด้วยไฟคลั่ง
ถังเฉาจู่ ๆ หยุดลงกะทันหัน หลุดเสียงหัวเราะก๊ากออกไป
“คุณอยู่แดนตะวันตกจะไม่เข้าใจเชียวหรือว่า บางครั้งการถอยสำคัญกว่าการรุกเป็นไหน ๆ ?”
ทันทีนั้น มู่เจียงก็ชะงักหยุดด้วย ส่งสายตางุนงงมองถังเฉา
เป็นเรื่องจริง การอาศัยอยู่ในแดนถิ่นตะวันตก สงครามไม่เคยขาด ปืนใหญ่ระเบิดข้าศึก กระสุนปืนว่อนปลิวดังห่าฝน จะโดนเข้ากับตัวเองได้ทุกเมื่อ
ช่วงเวลานั้น การปลีกตัวหลบจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
คุณยังยิงไม่ถูกฝ่ายตรงข้ามเลยแต่กระสุนกลับยิงใส่โดนคุณแล้ว บาดเจ็บหรืออาจจะล้มตายไปแล้ว สงครามแบบนี้ยังจะต่อสู้กันแบบไหนกัน ?
ถังเฉาหยุดพักหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ไหน ๆ คุณอยากสู้ต่อ ก็เอาเลย”
ตูม !
เพียงพูดขาดคำ ถังเฉาปล่อยหมัดใส่เข้าไป
ความเร็วสุด ๆ
มู่เจียงเห็นเพียงเสี้ยวเงาลางเลือน กระหน่ำอย่างโหดใส่เข้ามา
เขาเพียงแค่จะคิดหลบยังไม่มีเวลา
ได้แต่จำใจยกแขนขึ้นทำการขวางรับ
ปัง!
แต่ทว่า พริบตาที่สองฝ่ายปะทะกัน มู่เจียงรู้สึกเหมือนเจอรถบรรทุกขนาดยักษ์ชนเข้าก็ไม่ปาน ตัวกระเด็นตกจากเวทีไป
“……”
ทั้งสนาม เสียงเงียบ
ผู้ชมทั้งหมดตะลึงงัน
แม้กระทั่งหวางเฉียน ซุนหงเจี๋ย ก็งงหน้าเป็นไก่ตาแตก
อีกแล้ว…..โดนอัดกระเด็นตกเวทีอีกแล้ว
ในแววตาพวกเขา เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“มาอีก”
ถังเฉายืนอยู่บนเวทีประลอง พูดอย่างหยามเหยียด
ใต้เวที มู่เจียงจากเดิมที่ไม่มีอะไรแสดงออกบนสีหน้า ในที่สุดนี้เริ่มมีสีหน้าผวาตื่น
“คุณเป็นใครกันแน่ ?”
ถังเฉาไม่ตอบ เพียงแต่พูดซ้ำคำเดิม
“มาอีก”
และแล้ว มู่เจียงกัดฟันขึ้นเวทีไปอีก
ปึง ปึง !
ทว่า ไม่กี่กระบวนเหมือนเดิม ก็ถูกถังเฉาซัดตกเวทีไปอีก
“มาอีก”
ปึง ปึง !
ครั้งแล้วซ้ำครั้งเล่า แต่ละครั้งก็โดนอัดกระเด็นตกเวทีไป
มู่เจียงโดนอัดกระเด็นตกเวทีไปนับสิบครั้ง
หวางเฉียน กับซุนหงเจี๋ยดูจนมึนไปหมดแล้ว
มันเป็นได้ยังงัยนี่ ?
แต่ ทีละเล็กละน้อยค่อยเป็นไป มู่เจียงรู้สึกได้บางอย่างกับตัวเอง
นั้นคือการรับมือกับถังเฉาแต่ละครั้งมีเวลาที่ดูเหมือนยืดยาวขึ้น
ตั้งแต่ครั้งแรกพอเริ่มต้นเพียงพริบตาก็กระเด็นตกเวที จนต่อมายังพอรับมือได้สองกระบวนท่า หลัง ๆ นี่พอต้านได้ถึงครึ่งนาที
ฟังดูว่าสั้นนิดเดียว
แต่สำหรับยอดฝีมือปะมือกัน ล้วนใช้เวลากันชั่วพริบตา
ครึ่งนาทีนี่ จัดว่ายาวใช้ได้เลย
“มาอีก”
ถังเฉาพูดเยือก ๆ
มู่เจียงตอนนี้ไม่ได้กระโดดขึ้นเวทีทันที
ในขณะนี้ เขาเบิ่งตากว้างเหมือนพบอะไรบางอย่างที่คิดไม่ถึง มองดูมือทั้งคู่ของตัวเอง แววตาส่อเห็นถึงความสะทกสะท้าน
เขาฝึกอยู่ในวิถีการต่อสู้มาจนถึงช่วงคอขวด
ผ่านมาไม่รู้กี่การสงคราม ชีวิตพบเจอเฉียดตายก็หลายครั้ง ก็ยังมาสามารถฝ่าทะลวงได้
แต่มาในการปะทะกับถังเฉาในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกได้ว่าได้รับการยกระดับ ?
“เขากำลังสอนตัวเราหรือนี่ ?”
มู่เจียงเงยหน้าขึ้นเหมือนมีอะไรที่เหนือความคิด มองเหม่อเงาร่างถังเฉา