เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 638 จะเปิดสงครามไหม?
เสียงไวโอเล็ตฟังดูเย้ายวน แต่มันเหมือนนับถอยหลังสู่ความตาย
หนึ่งนาทีให้หลัง พวกตระกูลที่ไม่ยอมแพ้ ล้วนจะต้องตาย
พวกกลุ่มตระกูลที่ได้ยอมแพ้ไปแล้ว ต่างโล่งใจเหมือนได้ยกภาระอันหนักอึ้งออกจากอก
ตามด้วยความสมน้ำหน้าที่มองกลุ่มตระกูลที่ไม่ยอมแพ้ ด้วยสายตาล้อหยอก
“เซี่ยสิงจู๋ ตระกูลเซี่ยของพวกแก ยังจะไม่ยอมแพ้หรือ ?”
“ยังพวกตระกูลหู ข้าว่านะ หูเซียวน่าจะเลอะตอนแก่ ดันยกตำแหน่งผู้นำให้แกได้”
ลู่เจียงไห่มองเซี่ยสิงจู๋กับหูอีซานด้วยสายตาล้อหยอก น้ำเสียงเปี่ยมเต็มด้วยการประชด
ปากก็ว่าไปแบบนั้น ใจจริงลู่เจียงไห่ไม่อยากให้พวกเขายอมแพ้แม้แต่น้อย
เพราะคู่แข่งที่สำคัญของตระกูลลู่ ก็คือตระกุลหูกับตระกูลเซี่ย
ถ้าหากตระกูลเซี่ยกับตระกูลหูล่มสลายไปในที่นี้ ตระกูลลู่ก็แน่นอนว่าเป็นหนึ่งเดียว
ลู่เจียงไห่เมื่ออยู่ในฝัน ก็ยังคิดอยากเห็นภาพแบบนี้อยู่เลย
“บัดนี้ การนับเวลาถอยหลังเริ่มได้”
ไวโอเล็ตนำเอาหัวเราะของมารร้ายมาใส่ที่ใบหน้า ในมือถือนาฬิกาทรายเป็นอุปกรณ์ใช้เป็นเครื่องมือนับถอยหลัง
เวลาผ่านพ้นไป เม็ดทรายละเอียดค่อย ๆ ไหลร่วง เรียกได้ว่าการนับเวลาถอยหลังของชีวิต
“ท่านผู้นำ ท่านยังจะยึดติดกับอะไรอีก รีบยอมแพ้เถอะ!”
“ท่านผู้นำ รอบด้านมีแต่ระเบิดทั้งนั้น พวกเรายังไม่อยากตายนะครับ!”
“ท่านผู้นำ!”
ในกลุ่มตระกูลเซี่ย ก็ได้มีคนที่รับไม่ได้กับความหวาดกลัวต่อความตายแล้ว
ชีวิตของพวกเขา มีเหลือเพียงหนึ่งนาทีไม่ถึง
ในเวลาช่วงนี้ ไม่มีแล้วตระกูล ไม่มีแล้วน้ำใจ มันมีเพียงชีวิตที่เป็นของตัวเอง
“หูอีซาน แกยังยืนงงทำอะไรอยู่ ? รีบ ๆ ยอมแพ้ซี่!”
“แกคิดจะให้พวกเราตายใช่ไหม ? คิดไม่ออกจริง ๆ ว่าคุณปู่คิดยังไงถึงได้ยกตำแหน่งผู้นำให้แก?”
“ใกล้จะหมดเวลาแล้ว!”
ทรายในนาฬิกาทรายจิ๋วนั้นเห็นใกล้หมดแล้ว แต่หูอีซานกับเซี่ยสิงจู๋ไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ พวกหนุ่ม ๆ ผวาจนเซ่อ บางคนกลัวจนฉี่แตกก็มี
“ยังอีกสิบวินาทีนะ”
เสียงไวโอเล็ตเตือนมา
หลินโป๋หลายที่ยืนอยู่ข้างหลังมองไวโอเล็ตอย่างอกสั่นขวัญผวา
นาทีนี้เอง เขาถึงได้รู้ซึ้งเห็นจริงถึงความน่าสะพรึงกลัวของผู้หญิงคนนี้
หล่อนมีความถนัดมากในการแคะคุ้ยเอาด้านมืดที่สุดของสันดานมนุษย์
เหมือนกับสังเกตรู้จากสายตาหลินโป๋หลาย ไวโอเล็ตเอ่ยปากขึ้นมาทันที พูดว่า “ไอ้น้องชาย เธอต้องเข้าใจในเรื่องหนึ่งให้ดี ในโลกนี้ที่ไว้วางใจไม่ได้เลยก็คือมนุษย์”
“ต่อจากนี้ไป เธอจะได้ประสบพบกับงานเลี้ยงฉลองสันดานมนุษย์”
ไวโอเล็ตพูดด้วยน้ำเสียงแบบชี้ขาด หลินโป๋หลายฟังจนหน้าซีดเผือด เหงื่อขนาดเม็ดถั่วผุดไหลออกมาจากหน้าผาก
พูดถึงในบางมิติ ไวโอเล็ตมีความเป็นเทวทูตที่มาไถ่บาปคนบางจำพวกจริง
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้ที่มาจัดการฝังศพให้คนอีกบางจำพวก
ก็ต้องดูที่จะเลือกแบบไหน
“ผมตระกูลถัง ยินดีจะยอมแพ้!”
ในที่สุด ถังฮันเจี๋ยทานรับความกดดันไม่ไหว เป็นตัวแทนในนามตระกูลถังยอมแพ้
เฮ!
หลังจากตระกูลถังยอมแพ้ เสียงเฮลั่นดังขึ้นรอบด้าน
แม้กระทั่งตระกูลหลวงในเยี่ยนตูก็ยังยอมแพ้แล้ว
ถึงขนาดนี้แล้ว บรรดาคนตระกูลอื่นต่างมีสีหน้าเป็นขี้เถ้ามอดแห้ง ก็ได้แต่พากันยอมแพ้
และแล้ว เม็ดทรายในนาฬิกาทรายไหลเกลี้ยง คงยังมีตระกูลที่ไม่ยอมแพ้อยู่
“ถึงเวลาแล้ว ขอฉันดูหน่อยซิว่าตระกูลไหนบ้างที่ดื้อด้านได้ขนาด”
ไวโอเล็ตโน้มตัวเล็กน้อย สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ
คนที่อยู่ในบริเวณงานมีเป็นจำนวนมาก แต่หล่อนก็ยังคงได้ใช้สายตาที่แหลมคมค้นพบเหล่าตระกูลที่ไม่ยอมแพ้
“เจียงเฉิง มีตระกูลเซี่ย ตระกูลหู”
“หมิงจู มีตระกูลซ่ง ตระกูลต่ง ตระกูลซุน ตระกูลจ้าว ตระกูลเย่—— ยังเยอะนี่นะ”
“เยี่ยนจิง มีตระกูลหลิน ตระกูลฉิน ตระกูลลั่ว ตระกูลเย่—-ไม่ใช่มั้ง ? พวกคุณช่างเข้าใจด้วยความไร้เดียงสาจริงนะ คงคิดว่าพวกคุณเป็นตระกูลหลวงในเยี่ยนตู แล้วฉันจะไม่กล้าฆ่าพวกคุณงั้นละสิ ?”
น้ำเสียงของไวโอเล็ตแฝงด้วยความรู้สึกทึ่ง แต่รอยยิ้มที่วางไว้มุมปากกลับค่อย ๆ ส่อถึงความร้ายกาจ
ถังเฉาไม่ได้ปรากฏตัวมาตั้งแต่ต้น และก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่อยู่ในฝูงคน หรี่ตายืนดู
เวลานี้ เขาได้ถอดเอาหน้ากากออกแล้ว ไม่มีใครจำเขาได้ว่าเป็น ‘เจ้ามังกร’
“พวกเราไม่มีทางที่จะทรยศคุณถัง ไม่มีวันที่จะเป็นนกสองหัว!”
สายตาเซี่ยสิงจู๋ฉายแววเย็นเฉียบ พูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ตระกูลหูของข้า ก็เป็นอย่างนี้!”
หูอีซาน ก็พูดแบบเดียวกันนี้
“ยังมีข้าตระกูลซ่งแห่งหมิงจู!”
“ตระกูลต่งจากหมิงจู!”
“ตระกูลซุนจากหมิงจู!”
“ตระกูลจ้าวกับตระกูลเย่!”
“……”
บรรดาผู้นำของตระกูลใหญ่ ต่างก็ออกปากประกาศตัว
“ฮา ฮา ฮา ฮา !”
ลู่เจียงไห่หัวเราะเสียงลั่น หัวเราะออกจะบ้าคลั่ง
“เซี่ยสิงจู๋ หูอีซาน ต้องบอกว่าพวกแกนี่กล้าหาญอย่างน่านับถือ หรือจะบอกว่าโง่ซื่อบื้อดีนะ ? ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ความจริงต้องรักษาชีวิตไว้เป็นสำคัญกว่านะ พวกแกคงไม่คิดว่าเจ้าถังเฉานั่น สามารถมาช่วยพวกเจ้าได้จริงนะ”
ลู่เจียงไห่ทำหน้าเหยียด ๆ “มันแม้กระทั่งงานประชุมแดนเหนือยังเข้ามาไม่ได้เลย จะช่วยพวกแกยังไงได้”
“ตระกูลเซี่ย ตระกูลหู หมดแน่พวกแก!”
ขณะนี้ ลู่เจียงไห่รู้สึกกระหยิ่มอย่างออกหน้า
หากแม้นเป็นก่อนหน้านี้ ตระกูลลู่ไม่มีทางที่จะเกินหน้าตระกูลเซี่ยกับตระกูลหูได้
แต่ทว่าตอนนี้ ตระกูลลู่เป็นหนึ่งเดียวที่ใหญ่ในเจียงเฉิง ได้เป็นเรื่องที่แน่แท้เหมือนตอกตะปูย้ำฝาโลงแล้ว
ลู่เจียงไห่มองไปที่ไวโอเล็ต พูดขอร้องไปว่า “คุณผู้หญิงครับ ผมขอนะครับ หากว่าตระกูลพวกนี้ล่มสลายหมดแล้ว สินทรัพย์กิจการของพวกเขา ให้ผมตระกูลลู่รับเข้าไปจัดการนะครับ”
ไวโอเล็ตผงกหัว ตอบรับปากว่า “ได้ ในฐานะที่คุณเป็นผู้นำของกลุ่มที่มายอมสวามิภักดิ์ มีคุณสมบัตินี้ได้”
“ขอบคุณคุณผู้หญิง!”
ลู่เจียงไห่ตื้นตันจนหุบปากไม่ลง
ไม่เพียงได้ได้ฮุบรวมตระกูลหูและตระกูลเซี่ย ยังมีตระกูลยักษ์ใหญ่ทั่วไปในหมิงจูด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็หมายถึงว่า ตระกูลลู่เป็นตระกูลยักษ์ใหญ่หนึ่งเดียวในมณฑลเจียงเจ้อแล้วสิ ?
แต่ทว่า เซี่ยสิงจู๋ไม่มีควารู้สึกใด ๆ เลย “ลู่เจียงไห่ แกคงไม่ได้คิดจริงว่า การทรยศของแก คุณถังจะไม่ทำอะไรแกเลยใช่ไหม ?”
“ฮา ฮา ฮา ฮา……”
ลู่เจียงไห่ส่งเสียงหัวร่ออย่างไม่ใยดี “พวกแกยังคิดหวังว่าเขาจะมาหรือ ? เขาจะไม่มาแล้ว!”
เวลาที่กำหนดถึงแล้ว แต่ไวโอเล็ตไม่ได้กดสวิทช์ระเบิด
หล่อนมองไปที่ตระกูลหลิน ตระกูลลั่ว ตระกูลเย่ และตระกูลฉิน พูดว่า “เหตุผลที่พวกคุณไม่ยอมแพ้ คืออะไรหรือ ?”
หลินรั่วหวีตอนนี้ได้มาถึงข้าง ๆ ไวโอเล็ต ยิ้มเรียบ ๆ “ขอโทษนะ คนอย่างผมไม่ค่อยจะชอบการสวามิภักดิ์ โดยเฉพาะกับผู้หญิง”
“ยี่สิบปีก่อน ผมได้เคยยอมสวามิภักดิ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงปัจจุบัน ผมไม่คิดจะมีการสวามิภักดิ์เป็นครั้งที่สองอีก”
ภายในดวงตาของไวโอเล็ตเป็นแสงคมกริบเข้ามาแวบหนึ่ง กับหลินรั่วหวี หล่อนกลับมีความรู้สึกกริ่งเกรงอยู่ระดับหนึ่ง
ไม่พูดโต้ มองกลับไปที่ตระกูลลั่วกับตระกูลเย่ “พวกท่านหละ”
ลั่วเย่นหัวทอดสายตามองหล่อนอย่างเฉยเมย “เธอก็เป็นแต่เล่นของอยู่ข้างหลังเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรแน่ตรงไหน”
เย่หรูอี้แค่นหัวเราะ “คนรุ่นอย่างข้ายังไม่เคยก้มหัวให้ใคร ที่ผ่านมาไม่มี ปัจจุบันก็ไม่มี ต่อไปยิ่งจะไม่มี โดยเฉพาะหยั่งแกที่เป็นฝรั่งตะวันตก ”
ในแววตาไวโอเล็ต ฉายความโกรธที่น้อยนักจะเห็นออกมา “อีกสักพักพวกท่านก็จะต้องสวามิภักดิ์เอง”
“แล้วท่านหละ!”
ไวโอเล็ตมองไปที่ตระกูลฉินอีก
ฉินโซ่ววงแหงนมองด้วยสายตาขุ่นพร่า พูดราบเรียบว่า “ข้ามันแก่แล้ว เอวไม่ค่อยดี ไม่ชอบจะค้อมหัว”
“และยังอีก เธอเอาท่านผู้พิทักษ์มู่กับคนบ้าบู๊ไปวางไว้ตรงไหน ?”
ฉินโซ่ววงปริปากอย่างเย็นชา
บรึม!
คำพูดที่ออกมา ทำเอาคนทั้งหมดสะท้านไปทั้งตัว
ใช่สิ พวกเขายังมีมู่ตงเฟิงกับคนบ้าบู๊อีก
“นังหญิงฝรั่งตะวันตก แกไม่อยู่ที่บ้านเมืองของแกดี ๆ ผ่าวิ่งมาที่นี่คิดจะทำอะไร ?”
ทั่วทั้งบริเวณก้องดังเสียงเย็นเยือกของมู่ตงเฟิง
กึง! กึง! กึง!
ในบริเวณพื้นที่ ก็ก้องดังมาด้วยเสียงฝีเท้าที่หนักหน่วง
บรรยากาศการล้างฆ่าคืบคลานตามมา
มู่ตงเฟิงยังคงอานุภาพของความเป็นผู้พิทักษ์แดนตะวันตก ตอนนี้พลังแฝงแห่งความโหดถูกปล่อยกระจายออกมา ในบัดดลนั้นทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมเต็มไปด้วยบรรยากาศการล้างฆ่า
“มือแขนหว่างเหลี่ยงของพวกแก มันจะยื่นออกมายาวเกินไปแล้ว หรือเห็นว่าต้าเซี่ยของข้าไม่มีคนหรือไง ?”
คนบ้าบู๊ก็ถอนใจออกมาเบา ๆ สาวเท้าก้าวเดินออกมา
“สมาคมการต่อสู้ไปอยู่ที่ไหน ?”
เสียงราบเรียบของคนบ้าบู๊กระจายกว้างแทรกไปทั่วบริเวณ
ภายใต้เสียงนี้ เหล่ายอดนักบู๊ของสมาคมการต่อสู้ที่หมดกำลังใจแล้ว แต่ละคนเหมือนได้รับการสนับสนุน ตาลุกวาวมองไปที่คนบ้าบู๊
นี้แหละคือศรัทธาของพวกเขา
เทพเจ้าของพวกเขา
คนบ้าบู๊คือผู้ไร้เทียมทาน มีท่านคนบ้าบู๊อยู่ด้วย พวกเขาต้องชนะ!
ณ. ที่บนลิฟท์ หลินโป๋หลายมองหมากค่ายในการรบเหล่านี้ด้วยความหวาดผวา พูดกับไวโอเล็ตว่า “คุณผู้หญิงครับ ตอนนี้เราจะทำยังไงดี พวกเขาสองคนนี้ คนหนึ่งปักหลักเป็นผู้พิทักษ์อยู่แดนตะวันตก อีกคนคือคนบ้าบู๊ผู้ก่อตั้งสำนักMars ทั้งสองล้วนสุดยอดฝีมือไร้เทียมทานในโลก”
ปึง!
ขณะนั้น แสงเงาดำพุ่งปราดเข้ามา ถือมีดดาบในมือ สันโดษและโดดเดี่ยว
ตามมาข้างหลังก็เป็นหญิงในชุดหนังสีดำเหมือนกัน
เจียงไป๋เสว่กับเฟิ่งหวงนั้นเอง
“ต้องขออภัย ดิฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหล่อน”
ทั่วร่างของเฟิ่งหวงเต็มไปด้วยรอยแผล ที่มุมปากก็ยังมีรอยเลือด พูดด้วยเสียงที่อ่อนล้า
หลินโป๋หลายเห็นดังนั้น สีหน้ายิ่งเพิ่มความรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น
“จบกัน จบกัน เฟิ่งหวงก็แพ้มา ทีนี้จะทำยังไงดี ? คุณผู้หญิงครับ ใช่ว่าเราเล่นวงกว้างเกินไปไหมครับ ?”
ฝ่ายตรงข้ามมีสองผู้แข็งแกร่งนั่งแท่น ส่วนด้านเขาเองทางนี้ ก็มีแค่คนที่อยู่ในชุดคลุม ดูแล้วตกอยู่ในสภาพแพ้เปรียบอย่างที่สุด
สำหรับตัวไวโอเล็ต หล่อนก็เพียงมีความลุ่มลึกทางเล่ห์เหลี่ยม ทางด้านพลังฝีมือ ไม่น่าจะพึ่งหวังได้เลย
ไวโอเล็ตไม่พูดอะไร ได้แต่หรี่ตา สังเกตมองดูเฟิ่งหวงที่ยืนอยู่ข้างล่าง
เลือดบนตัวหล่อน เลือดจริง โดนเจียงไป๋เสว่ซัดจนบอบช้ำ
สุดท้ายหล่อนก็เบือนสายตากลับ
เฟิ่งหวงจึงได้ถอนหายใจ สายตาเหลือบมองเจียงไป๋เสว่นิดหนึ่ง
สายตาสองสาวประสานกัน เหมือนได้บรรลุความร่วมมืออะไรบางอย่าง
ชายในชุดคลุมมีท่าทีสงบเรียบ “พวกเขาแค่สองคน ไม่ถึงกับรับไม่อยู่”
“งั้นก็เพิ่มข้าอีกคนหละ ?”
ทันใดนั้น เสียงเรียบ ๆ จากชายคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในบริเวณ
หลินรั่วหวีก้าวใหญ่กว้างเดินเข้ามา สีหน้านิ่งสงบ
“ท่านผู้นำ?!”
หลินโป๋หลายตกตลึงเต็มใบหน้า เขาได้เห็นถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของหลินรั่วหวีแล้ว หากให้ทุ่มกำลังกันเต็มที่ ประเมินได้ว่าไม่ได้ด้อยกว่าคนบ้าบู๊หรือมู่ตงเฟิงเลย
บนใบหน้าหลินรั่วหวีแขวนไว้ด้วยยิ้มเรียบ ๆ “นอกจากข้าแล้ว ยังอีกคนที่สามารถยืนซัดกับข้าได้อย่างสูสี คิดวาเขาก็คงไม่ยืนมองอยู่เฉย ๆ หรอกนะ พวกเราสี่คน ถล่มคุณคนเดียว เป็นยังไง ?”
“……”
มาคราวนี้ ชายในชุดคลุมไม่พูดเสียแล้ว
สองต่อหนึ่ง เขามั่นใจไหว
สามต่อหนึ่ง เห็นท่าจะเป็นกระสอบทรายแขวนให้ถล่ม
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังมี ‘เจ้ามังกร’ อีกคนหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่าหลินรั่วหวีเลย
พลังฝีมือจริงแท้ของเขา มีทางเป็นไปได้ว่ากล้าแกร่งที่สุดของพวกเขา
“คนที่อยู่ข้างในทั้งหมดฟังทางนี้ พวกคุณถูกเราล้อมไว้หมดแล้ว ขอให้ทุกคนยอมแพ้โดยทันที มิฉะนั้นพวกเราจะบุกเข้าไป”
ทันใดนั้น ด้านนอกของสนามกีฬาส่งเสียงดังมาจากเครื่องขยายเสียง
ครืน……….
ในขณะเดียวกันนั้น ทุกคนต่างได้ยินเสียงสั่นสะเทือนเบา ๆ ของผิวพื้นดิน
กองทหารของสนามรบได้เข้ามาแล้ว พร้อมยังมีปืน ค.มาด้วย
บรึม!
เพื่อเป็นการข่มขวัญ ที่ด้านนอกได้ยิงปืน ค.ขึ้นฟ้าหนึ่งนัด
ทันทีนั้น เกิดเป็นหมอกควันคละคลุ้งไปทั่ว บรรยากาศเข้าถึงความเคร่งเครียดสุดขีด
“จะเปิดสงครามไหม ?”
มู่ตงเฟิง คนบ้าบู๊ หลินรั่วหวี มีแววตาเหี้ยมเกรียม ตาทุกคู่ลุกวาว