เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 692 เด็กสามขวบ
ทั่วทั้งงานเลี้ยงเงียบสงัด ทุกคนล้วนเบิกตากว้าง มองไปยังถังเฉาที่อยู่ตำแหน่งตรงกลางอย่างไม่อยากจะเชื่อ
รูปร่างของถังเฉาทรงพลัง ยืนอยู่ข้างแท่นฝนหมึก ปรับสารสำคัญในร่างกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด จากนั้นจึงเริ่มจรดพู่กัน
คนที่อยู่ข้าง ๆ ค้นพบได้ด้วยความประหลาดใจว่า อิริยาบถที่ถังเฉาเขียนตัวอักษรนั้นได้มาตรฐานอย่างคาดไม่ถึง ถ้าหากไม่ได้ฝึกมาหลายปีต้องทำออกมาไม่ได้แน่
ยอดกวีจางหยู่ซึงเองก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ หลังจากเรียกสติคืนมาได้ ก็ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังมองไปยังถังเฉา
เขาหลงใหลในงานเขียนอักษรจนถึงขั้นเป็นนักสะสม พอได้พบภาพเขียนอักษรหรือภาพวาดดี ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้น อยากจะซื้อไปสะสม
ในดวงตาของหลินชิงเสว่ก็มีความทึ่ง ลั่วเย่นหัวแม่ของเธอก็เคยบอกเธอเอาไว้ว่า การเล่าเรียนจะช่วยบ่มเพาะสารสำคัญในร่างกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณได้ การวาดรูปจะช่วยบ่มเพาะลมปราณให้ยิ่งใหญ่ได้
ดังนั้นคนที่เรียนหนังสือจึงมีไฟสามดวงอยู่บนศีรษะ เคารพฟ้าดิน ไม่หวาดกลัวต่อผีสางเทวดา
หลินชิงเสว่เชื่อฟังคำพูดนี้ จึงได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เติมให้กับตัวเองเหมือนเป็นฟองน้ำก้อนหนึ่ง
เธอเองก็รักการเขียนตัวหนังสือด้วยพู่กัน รักการปักดอกไม้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่มีลมปราณที่ยิ่งใหญ่นี่!
แต่นึกไม่ถึงว่าหลินชิงเสว่จะสามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณที่เข้มข้นได้จากบนร่างของถังเฉา ทำให้โจรหรือคนชั่วรอบด้านตกใจกลัว ผีสางเทวดายากจะเข้าใกล้
ฉู่หยังตะลึงในทันที อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจ
“เป็นไปไม่ได้ หรือว่า… เขาจะสามารถเขียนงานเขียนของแท้ได้จริง ๆ งั้นหรือ?”
งานเขียนพู่กันที่ดีก็จะถูกยกย่องให้เป็น ‘งานเขียนของแท้’ ทุกขีดทุกเส้นล้วนถ่ายทอดจิตวิญญาณ มีพลัง
งานเขียนอักษรเช่นนี้ยิ่งจะถูกคนมีชื่อเสียงพวกหนึ่งแย่งกันสะสม
พวกเขาดูแล้วไม่เข้าใจ แต่ว่าการสะสมงานเขียนเช่นนี้ทำให้พวกเขามีหน้ามีตามาก
“คุณชายฉู่ไม่ต้องกังวล เขาเพียงแค่มีท่าทางที่ได้มาตรฐาน ยังไม่ได้จรดพู่กันเลยนะ ไม่แน่ถ้าหากว่าเขียนออกมาบิด ๆ เบี้ยว ๆ เหมือนไก่เขี่ยล่ะ!”
สีหน้าของเจียงเฉาเองก็ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก แต่ก็กำลังปลอบใจตัวเองเช่นนี้
สรุปแล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีความคิดต่าง ๆ นานา รอถังเฉาเริ่มเขียน
ทว่ารออยู่นาน ถังเฉาก็ยังไม่เริ่มเขียน รักษาท่าทางเช่นนี้ไว้นานมากแล้ว
เนิบนาบ ทุกคนล้วนแต่หงุดหงิดกันแล้ว ฉู่หยังกับเจียงเฉาก็ยิ่งมีใบหน้าเหน็บแนม
“ตกลงแกเขียนพู่กันเป็นหรือไม่กันแน่น่ะ? รักษาท่าทีแบบนี้ตลอด เป็นนายทวารหรือไง?”
“เฮอะ แสร้งท่าดีหลอกลวงคนอื่น ฉันว่าเขาหวาดกลัวแล้ว!”
เจียงเฉาเอ่ยขึ้น “ท่านจางยอดกวีจางหยู่ซึงอยู่ที่นี่ เขาเป็นแค่คนที่เกิดทีหลัง ไหนเลยจะกล้าสอนหนังสือสังฆราช? จริงหรือไม่ครับ ท่านจาง?”
มองเห็นถังเฉาอ้อยอิ่งอยู่นานไม่ยอมลงมือเขียนสักที เจียงเฉาก็ชี้ขาดภาพรวมได้ทันทีว่าถังเฉาเขียนพู่กันไม่เป็น
ท่าทางการจับพู่กันดี ต้องเป็นเพราะว่าเขาเคยจับมาก่อนแน่
“ไม่มีความรู้แล้วยังจะกล้ามาพูดจาเลอะเทอะที่นี่อีก ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ!”
ทุกคนเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว ในสายตาพวกเขา ถังเฉาก็คือตัวตลกที่เอาใจทุกคนเพื่อที่จะได้รับความรักและความเชื่อถือคนหนึ่ง!
“ผมกลับไม่คิดอย่างนั้นนะ”
ในตอนนี้เอง เสียงที่ไม่เหมือนกันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ทุกคนหันไปมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นยอดกวีจางหยู่ซึง!
จางหยู่ซึงเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง ฐานะทางสังคมดีเลิศ เขาเป็นอาจารย์สอนภาษาประจำชาติให้กับหลงเจียเจีย
ตระกูลหลงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และหวังว่าต่อไปหลงเจียเจียจะกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของประเทศชาติ
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นทหาร ขอเพียงเป็นประโยชน์ต่อต้าเซี่ย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ยิ่งรวมไปถึงว่านี่เป็นเรื่องที่เขาชำนาญ ดังนั้นจางหยู่ซึงที่เป็นอาจารย์ที่ให้ความรู้ในระดับสูงท่านนี้ มีอิทธิพลในการพูดเป็นอย่างมาก
สีหน้าของฉู่หยังกับเจียงเฉาไม่น่ามองอยู่บ้าง “ท่านจาง คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรครับ?”
สายตาที่จางหยู่ซึงมองไปที่ถังเฉาเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ก่อนหน้านี้ผมได้พูดแล้วว่าการเขียนอักษรไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่พวกคุณคิด ไม่ใช่แค่การเขียนเลียนแบบ เขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวก็ได้อย่างนั้น”
“แต่จะต้องเอาความหมายของตัวอักษรที่อยากจะเขียนที่อยู่ในใจแสดงออกมาในตัวอักษร นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ แล้ว ไม่เพียงแต่จะต้องปรับสารสำคัญในร่างกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด แต่ยังจะต้องคิดให้ดีว่าในใจอยากจะเขียนอะไร สถานการณ์ในตอนนี้ จะแสดงออกมาได้อย่างไร”
“หวางซีจือยอดกวีในยุคโบราณ ทำไมถึงได้จรดพู่กันราวกับมีจิตวิญญาณ ความคิดความอ่านลึกล้ำ นั่นเป็นเพราะว่าเขาเขียนอักษร ใส่สารสำคัญในร่างกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของตนเองเข้าไป ตัวอักษรที่เขาเขียนจึงมีชีวิต คนที่เข้าใจในตัวอักษรจริง ๆ เขียนภาพอักษรภาพหนึ่งจึงสิ้นเปลืองสารสำคัญในร่างกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก!”
“ท่าทางตอนนี้ของพ่อหนุ่มคนนี้ไม่เลวมากจริง ๆ ถ้าหากว่าเขียนออกมาส่ง ๆ ไม่กี่ตัวสิ ถึงจะทำให้ผมผิดหวัง!”
“ตั้งแต่นี้ไป ทุกคนอย่าได้พูดอะไร อย่าให้กระทบถึงพ่อหนุ่มคนนี้!”
เพิ่งจะสิ้นเสียงของจางหยู่ซึง ท่านเจ้ามังกรก็โบกไม้โบกมือ เอ่ยสั่งว่า “ทำตามที่อาจารย์จางพูด ต่อไปใครก็ห้ามพูดเด็ดขาด!”
“…”
ด้วยเหตุนี้ ช่วงเวลาต่อจากนั้น ทั่วทั้งห้องโถงจึงเงียบสงัด ทุกคนล้วนแต่ปิดปากเงียบ มองถังเฉาใช้ความคิดอย่างเหม่อลอย
ถังเฉาหลับตาตั้งแต่ต้นจนจบ ราว ๆ สิบนาทีได้ ถังเฉาก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่มีสมาธิตั้งมั่น
ครั้งนี้เขาจรดพู่กันจริง ๆ แล้ว
มือของถังเฉาควบคุมพู่กันคล่องแคล่วราวกับมังกรฉวัดเฉวียน กำลังเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษเซวียนจื่อสีขาวราวหิมะ
ท่าทางอ่อนช้อยมาก ทุกคนมองจนตาลายไปพักหนึ่ง ล้วนแต่มองได้ไม่ชัดเจนว่าถังเฉาจรดพู่กันอย่างไร
ไม่เพียงเท่านี้ ทุกคนยังมีความรู้สึกแปลก ๆ
เห็นได้ชัดว่าความเร็วที่ถังเฉาจรดพู่กันนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก แต่กลับทำให้รู้สึกเหมือนจรดพู่กันอย่างหนักหน่วง ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาของหลินชิงเสว่สว่างโรจน์ ดูเหมือนเธอจะค้นพบข้อดีหนึ่งอย่างจากบนร่างของถังเฉา
เมื่อก่อนเธอกับถังเฉาอยู่ด้วยกัน เพียงเพื่อถังเสี่ยวลี้ ไม่อยากให้ลูกสาวไม่มีพ่อ
แต่ว่าพอใช้ชีวิตอยู่กับถังเฉาไปเรื่อย ๆ เธอก็ค่อย ๆ ค้นพบความเปล่งประกายจากบนร่างของถังเฉา สิ่งเหล่านี้ได้มอบความรู้สึกมั่นคงให้กับเธออย่างเพียงพอ
ตอนนี้คนที่รู้สึกไม่คู่ควรไม่ใช่ถังเฉาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นตัวเธอเอง
อย่างแรกไม่มีความสามารถด้านอักษร อย่างที่สองไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้ ผู้ที่มีพร้อมทั้งสองอย่างจึงสมบูรณ์แบบ
ถังเฉาในตอนนี้เป็นสามีที่เพียบพร้อมที่สุดในความคิดและมุมมองของหลินชิงเสว่
การเขียนพลิ้วไหว น้ำหมึกสีดำแต่ละหยดสาดกระเซ็นลงบนเสื้อสีขาวของถังเฉา เหมือนจุดสีดำจุดหนึ่งบนหิมะขาวโพลนเป็นอย่างยิ่ง
เขียนอักษรเสร็จด้วยความรวดเร็ว
ขวับ!
ถังเฉายึดเอาภาพอักษรกลอนคู่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา กลอนคู่มังกรเหินหงส์เริงระบำวรรคหนึ่งปรากฏแก่สายตาของทุกคน
ทันใดนั้น ทั้งโถงที่เดิมเงียบสงัดก็ยิ่งเงียบจนถ้ามีเข็มตกก็ยังได้ยินเสียง
ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึง จ้องภาพเขียนพู่กันที่ถังเฉาเขียนตาเขม็ง
บนใบหน้าของถังเฉามีความมั่นใจในตนเอง อนุญาตให้ทุกคนชื่นชม
ฉู่หยังอ่านอยู่นาน ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ที่เขียนนั่นมันอะไรกัน? ไม่เป็นระเบียบขนาดนี้ แกเขียนอักษรได้จริง ๆ เหรอ?”
เจียงเฉาก็ยิ้มออกมา “ตัวผมนั้นไม่มีความสามารถ เกิดมาในตระกูลแพทย์ตั้งแต่เด็ก รู้เรื่องอักษรแค่งู ๆ ปลา ๆ ขออภัยที่ต้องพูดตรง ๆ ตัวอักษรนี้เขียนได้… ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็ยังเขียนได้ดีกว่าเขา!”
แขกทุกคนก็ส่ายศีรษะกันไม่หยุด ตัวอักษรที่ถังเฉาเขียนไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเกินไป ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็นตัวอักษรอะไร
หลงเจียเจียเองก็มีสีหน้างงงวย เธอเบิกตากว้าง มองอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ยังมองไม่ชัดว่าที่เขียนนั้นคืออะไร
ฉู่หยังมาอยู่ตรงหน้าของถังเฉาพลางหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า “ภาพอักษรนี้ไม่มีค่าแม้แต่สตางค์เดียว มอบให้เจียเจีย อัปยศต่อเจียเจียจริง ๆ เลย”
“ใครก็ได้ ฉีกภาพอักษรนี้ซะ!”
นาทีต่อมาฉู่หยังก็เอ่ยสั่งการเสียงดัง
โครม!
ทว่าห้องโถงที่เงียบสงัดกลับมีเสียงเก้าอี้ล้มบนพื้นดังขึ้น
ทุกคนหันกลับไปมอง เห็นเพียงยอดกวีล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นอย่างคาดไม่ถึง ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองภาพที่อยู่ในมือของถังเฉาเขม็ง
นาทีต่อมาเขาก็ม้วนตัวไต่ขึ้นมา มาอยู่ตรงหน้าของถังเฉาด้วยความตื่นเต้น เอ่ยว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ ไม่ทราบว่าภาพเขียนนี้จะขายให้ได้ราคาเท่าไหร่?”