เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 821 สาวเจ้าขุมทรัพย์
ตรงไปโรงแรมเลย!
พอหลังจากเย่หรูอี้พูดคำนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างตะลึง
ถังหลินก็ให้รู้สึกงง สีหน้าแสดงออกถึงความคิดไม่ถึง
พวกเขายังไม่ได้ถูกแกล้งเย้าเล่นให้เป็นที่สนุกกันเลย ไหงจึงเร่งให้มุ่งตรงไปโรงแรมเลย?
เย่จงซือกลับหยีตาอย่างเหี้ยมเกรียม มองพิเคราะห์เย่หรูอี้ “น้องเรา คิดดีแล้วเหรอ?”
เย่หรูอี้สีหน้านิ่งเฉย ตอบเสียงเยือกว่า “ฉันรู้สึกรำคาญนะ ในเมื่อเป็นการแต่งงาน ก็ให้ชัดเจนไปเลย ตรงไปโรงแรมเลย”
พอพูดจบ ทุกคนก็จึงได้รู้ในความหมายของเย่หรูอี้ ต่างคนมีแววสีหน้าหวาดวิตก
ถังหลินก็หัวเราะ คงไม่เหลือแล้วในความโหดเหี้ยมที่อยู่บนดาดฟ้าเมื่อคืนนี้
ดูท่าจะเป็นว่า เย่หรูอี้คงคิดได้แล้ว
“ที่แท้ ก็เป็นการอยากรีบแต่งเป็นของข้านี่เอง”
เขานึกกระหยิ่มอยู่ในใจ
ถังฮันเจี๋ยที่ยืนข้างหลัง กลับมองลึก ๆ ไปที่เย่หรูอี้ เขารู้สึกว่า เรื่องคงไม่ใช่ง่าย ๆ แบบนั้น
อะไรที่เป็นเรื่องเกิดขึ้นอย่างพลิกล็อคย่อมต้องมีเลศนัยแฝง โดยเฉพาะเย่หรูอี้คนนี้ ลองถ้าหล่อนทำอะไรที่ผิดไปจากปกติ ย่อมแสดงว่าหล่อนต้องมีแผนคิดเล่นงานอะไรอยู่
“ฮ่า ๆ ในเมื่อหรูอี้เร่งเร่าร้อนขนาดนี้ ก็ตัดพวกพิธีการหยุมหยิมทิ้งไปเถอะ ตรงไปโรงแรมเลย”
ถังหลินหัวเราะลั่น
คนอื่นนอกนั้นต่างมองหน้ากันและกัน ไม่กล้าจะพูดอะไรได้
ถังหลินเอื้อมมือออกทำท่าจะโอบไหล่เย่หรูอี้ แต่กลับถูกเย่หรูอี้ถลึงตาใส่ต้องหดมือกลับ
สายตาที่เยือกหนาว ปานประหนึ่งมองดูซากศพ
แต่ในสายตาถังหลินมองละเอียดลึกไปอีก กลับเห็นถึงแววตาแห่งความเย้ายวนน้อย ๆ แฝงเร้นอยู่
“จะช้าหรือเร็วฉันก็เป็นของคุณแล้ว ยังจะต้องลุกลนอะไรแบบนี้หรือ?”
หญิงสาวที่ดูเย็นชืด ลองถ้าได้โยนเสน่ห์ออกมา มันช่างแสนเย้ายวน
ในชั่วขณะนั้น ใจถังหลินตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก ถึงขนาดไม่อยากจะอดกลั้น
“โอเค ไปกันเดี๋ยวนี้เลย!”
พูดจบ ก้าวขึ้นรถงานวิวาห์ เย่หรูอี้ก็นวยนาดดูเป็นสง่าก้าวตามขึ้นรถ รถก็ได้มุ่งไปยังโรงแรม
อีกด้านหนึ่ง บริเวณชั้นล่างของโรงแรม
ถังเฉากับเฟิ่งหวงก็ได้เข้าไปอยู่ในโถงใหญ่ของโรงแรมแล้ว
วันนี้ที่โรงแรมได้ถูกจองไว้เกือบทั้งหมด การรักษาความปลอดภัยของโรงแรมเป็นไปอย่างกวดขัน การเข้าการออกต้องผ่านการตรวจสอบบัตรเชิญอย่างเข้มงวด
ตรงหน้าประตูทางเข้าโรงแรม ตั้งภาพที่ถ่ายคู่กันของบ่าวสาวในชุดวิวาห์สวยหรู ก็คือถังหลินกับเย่หรูอี้
เพียงแต่ว่า ถังหลินชื่นมื่นเบิกบานเต็มสีหน้า แต่เย่หรูอี้กลับเย็นชาไม่เห็นความรู้สึก
ในพื้นที่บริเวณงาน คนพลุกพล่านไปทั่ว สองคนถังเฉากับเฟิ่งหวงจึงไม่ได้เป็นที่สังเกต
มีก็แต่เพียงหน้ากากบนใบหน้า และการแต่งกายที่ดูแปลกตา ที่ทำให้คนเห็นดูแปลก
“เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง เสียงใครคนหนึ่งตะโกนมา คนในโถงโรงแรมต่างกรูกันออกไป
สีหน้าของถังเฉากับเฟิ่งหวงแสดงออกถึงความรู้สึกแปลกใจ
เวลาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมาถึงในงานฉลอง โดยทั่วไปก็ต้องอีกสองสามชั่วโมงกว่าที่จะมาถึง แต่นี่มันแค่เพิ่งเลยบ่ายโมงมาเท่านั้น
เฟิ่งหวงก็ได้แสดงสีหน้าออกแปลกใจ
“ไป ออกไปดูกัน”
ถังเฉากับเฟิ่งหวงก็จึงพากันเดินออกไปดู
แต่เพียงเดินพ้นออกประตู ก็เห็นประตูรถวิวาห์ค่อย ๆ เปิดออก ถังหลินพาเย่หรูอี้ค่อย ๆ เดินเข้าไปข้างใน
ที่เบื้องหน้าของแต่ละคน เย่หรูอี้คงดูสูงส่งเยี่ยงราชินีนาง กวาดมองและค้อมผงกหัวให้กับแขกเหรื่อไปรอบ ๆ
ส่วนถังหลินก็ดูอิ่มเอิบเต็มใบหน้าสว่างใส ให้สมกับวันนี้ที่เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิต
“คุณเย่ ยอมสยบแล้วจริง ๆ หรือ?”
มองดูเย่หรูอี้ไม่มีทีท่าขัดขืนใจ เฟิ่งหวงก็ให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หากถ้าเย่หรูอี้ยินยอมแต่งงานกับถังหลิน งั้นการบุกฉุดเจ้าสาวของรองหัวหน้า มิเป็นการหมดความหมายไปเลยหรือ?
ถังเฉานิ่งเพ่งมองอยู่นานพักหนึ่ง ส่ายหัวเนือย ๆ “หล่อนกำลังรอคนมาช่วย”
“คนมาช่วย?”
สีหน้าเฟิ่งหวงเต็มไปด้วยความสงสัย
ถังเฉาผงกหัว “ผมเข้าใจหล่อนดี ถ้าไม่ใช่ว่ามีมือที่สาม จะไม่มีทางมาถึงที่ในงานพิธีแต่งงานนี้เด็ดขาด”
“แต่หล่อนก็อยู่ในสถานะที่หมดสภาพแล้ว วิธีที่จะคิดไปใช้ได้ นอกจากแอบเปลี่ยนตัวแล้ว ก็คงต้องหาใครพาตัวหล่อนหนีไปก่อนวันงานแต่งงาน”
ในขณะที่ถังเฉากำลังคิดหาว่าใครจะเป็นคนที่มาช่วยหล่อนนั้น พลันสายตาที่กวาดมองดูฝูงคนอยู่ เหลือบไปเห็นชายหนุ่มแขนด้วนคนหนึ่ง
เห็นสายตาที่เย็นเฉียบของเขากำลังมองไปที่เย่หรูอี้ที่อยู่ในระยะไม่ห่างกันเท่าไหร่ แววตาที่หนาวเยือก ยิ่งเหมือนว่าจะกลืนกินถังหลินลงไป
เฟิ่งหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ถังเฉาขรึมไปพักหนึ่ง ถอนหายใจว่า “ดูท่า เย่หรูอี้คงมีแต่จะหวังพึ่งเขาคนนี้แล้ว แต่ทว่า จะหวังผลคงไม่ได้มาก”
เฟิ่งหวงก็ผงกหัว ที่นี่ไม่ใช่เมืองหมิงจู แต่เป็นเมืองซื่อจิ่วเมืองพยัคฆ์ถิ่นมังกร ลำพังกำลังของเย่เทียนหลงคนเดียว ยาก!
“เดี๋ยวคอยดูไปก่อน”
ถังเฉาเอ่ยคำบอกว่า “ตอนนี้งานพิธีแต่งยังไม่ได้เริ่ม ถังหลินยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม”
เวลานี้ทั้งตระกูลถังล้วนยอมสวามิภักดิ์กับเขาหมดแล้ว หากไม่กลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวเองเร็วเกินไป ป่านนี้เขาคงให้ถังเหนียนหู่สั่งระงับพิธีแต่งงานนี้ไปแล้ว
สายตาส่งเย่หรูอี้กับถังหลินเดินเข้าลิฟท์ไป ถังเฉาก็พาเฟิ่งหวงกลับไปนั่งที่เดิม
………………………
เวลาผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที
ด้วยเหตุจากคู่บ่าวสาวเข้ามายังงานที่โรงแรมก่อนเวลากำหนด แขกเหรื่อจากตระกูลเย่และตระกูลถังต่างทยอยกันเข้ามา จากบริเวณงานกว้างโล่ง กลายเป็นสภาพคนนั่งตามโต๊ะเต็มไปหมดจนดูล้น
ในชั่วครู่เดียวเท่านั้นเอง เสียงชนแก้วประสานเสียงคุยเฮฮาดูแน่นขนัดไปทั่วบริเวณงาน
เฟิ่งหวงมองสังเกตแต่ละคนที่มางาน ฉับพลันในความรู้สึกให้เห็นข้อเหมือนของแต่ละคน
นั้นก็คือบรรดาแขกที่เข้าออกไปมา ในรัศมีใกล้เคียงของแต่ละคน ต่างก็มีบอดี้การ์ดของตัวเองติดตามด้วยอยู่
แม้นว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างไม่ได้ส่งสายตากัน แต่การเคลื่อนไหวก็บ่งให้เห็นจากการที่คอยเข้าอยู่ประชิดใกล้ตัวผู้ที่ตัวเองต้องคุ้มครอง
“ดูแล้ว ในงานแต่งงานนี้ ทุกคนล้วนรู้อะไรดีอยู่แก่ใจแล้ว…..”
เฟิ่งหวงเก็บสายตากลับ หัวเราะออกไปอย่างชืด ๆ
ถังเฉาไม่พูดอะไร เพียงแต่เหลือบมองรอบ ๆ อย่างไม่ใยดีอะไร
ที่เห็นตามบางมุมของโรงแรม มีสายตาที่เหมือนทำเป็นมองไม่เห็นคอยสอดส่องมาที่พวกเขา
กลิ่นอายอ่อน ๆ ของการฆ่า ล้วนถูกถังเฉามองเห็นอย่างชัดเจน
กับสภาพแบบนี้ ทำให้เฟิ่งหวงให้รู้สึกแปลกอยู่ในใจ
“ท่านรองหัวหน้า ทำไมพวกมันสนใจพวกเราขนาดนี้?”
ถังเฉายิ้มเรียบ ๆ “เป็นเรื่องธรรมดา คนที่มาร่วมงานแต่งงานของตระกูลถังกับตระกูลเย่ ส่วนมากล้วนจะเป็นคนทีรู้จักมักคุ้นกันในเมืองซื่อจิ่ว แต่พวกเรา ไม่ได้เป็นคนในกลุ่มสังคมนี้”
ได้ยินดังนั้น เฟิ่งหวงพลันก็รู้ถึงความหมายในคำพูดของถังเฉา
คนต่างก็มีวงสังคมของตนเอง เพื่อนของเศรษฐีร้อยล้านก็อยู่ในกลุ่มเศรษฐีร้อยล้าน คงเป็นไม่ได้ที่จะไปอยู่ในกลุ่มของเศรษฐีพันล้าน
วงสังคมชั้นสูงของเมืองซื่อจิ่ว จะว่าใหญ่ก็จัดได้ว่าใหญ่มาก จะว่าเล็ก ก็เล็ก ๆ เท่านั้นเอง
คนเราต่างคนทุกวันก็ต้องเจอกัน นานๆก็กลายเป็นวงจรของคนสังคม
แต่ทว่า ถังเฉาไม่ได้อยู่ในวงสังคมนี้ แต่ก็มีความเป็นตัวตนในวงการนี้ จัดเป็นความมีอยู่ในรูปแบบพิเศษ
ในขณะนั้นเอง มีชายหนุ่มถือแก้วทรงสูง มือโอบหญิงคู่ควงเดินยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามา
พาตัวเองเข้าไปยืนหน้าถังเฉา พูดเสียงหัวเราะว่า “พี่น้อง หน้ากากสวยเท่จังนะ?”
ถังเฉากวาดตามองไป ไม่พูดว่าอะไร
ชายหนุ่มนั้นก็ไม่แสดงอาการไม่พอใจ ตรงกันข้าม กลับตบไหล่ถังเฉา
ในขณะที่เขาตบไหล่ สายตาของถังเฉาก็มองไล่ตามไปที่มือของเขา
“พี่น้อง เห็นแก่หน้าผมหน่อย เปิดที่ว่างให้นิด ผมอยากขอนั่งตรงนี้”
เขาพูดกับถังเฉาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
ในขณะที่พูด สายตาคงจ้องมองเฟิ่งหวงที่นั่งข้างถังเฉาอย่างอุกอาจ
ด้วยว่าจะมาในฐานะคู่ควงของรองหัวหน้า เฟิ่งหวงได้ถอดเอาเสื้อคลุมหนังสีดำที่ใส่อยู่ออก เปลี่ยนเป็นชุดราตรีคว้านอกลึกสีดำ ดูสง่าเหมือนหงส์ฟ้าสีดำ
หล่อนอยู่ในงานนี้ ให้ดูเด่นดั่งกระเรียนยืนเชิดในฝูงไก่ ทำเอาหวังเชาสะดุดตาตั้งแต่แรกที่หันมาเห็น
แต่ด้วยที่นั่งในงานนั่งกันเต็มไปหมด จึงได้โอกาสจะให้ถังเฉาที่นั่งใกล้หล่อนมากที่สุดสละที่นั่งให้
โดยที่ก่อนหน้านี้หวังเชาก็ได้สังเกตแล้วว่าถังเฉากับเฟิ่งหวงก็ไม่เห็นได้คุยกัน จึงได้เข้าใจเอาว่าทั้งสองคงไม่ได้รู้จักกัน
จากแววตาของหวังเชา มีหรือที่ถังเฉาจะมองไม่ออกว่าเขาคิดเล็กคิดน้อยอะไรอยู่ ก็จึงยิ้มชืด ๆ ตอบไปว่า “ผมทำไมต้องสละที่นั่งให้คุณด้วย?”
ได้ยินคำตอบย้อนของถังเฉา หวังเชาหัวเราะ
หัวเราะอย่างโอหัง โดยเฉพาะแววตา ยิ่งให้ดูเห็นการเยาะเย้ย
ยืดเหยียดนิ้วมือ ทำสะบัดไปมา “ข้าเข้าใจนะ แกคงยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใครมั้ง?”
“ข้าคือคนในตระกูลชั้นนำในเมืองซื่อจิ่วนี้ คุณชายตระกูลหวัง หวังเชา”
หวังเชาทำการแนะนำตัวเอง “ข้าอยากจะนั่งตรงที่แกนั่งนั่น จะได้อยู่ห่างเวทีใกล้หน่อย จะได้เห็นเจ้าสาวได้ใกล้ ๆ หน่อย…”
พูดจบก็ยังมองพิเคราะห์เสื้อผ้าที่ถังเฉาสวมใส่ พูดเย้ยว่า “ดูท่าทางแกนี่ คงไม่ใช่คนในวงสังคมของเรานี่นะ?”
ถังเฉาผงกหัว “อือฮึ ผมไม่ใช่คนพื้นที่ที่นี่จริง ๆ”
พอได้ยินดังนั้น หวังเชายิ่งนึกกระหยิ่ม และยิ่งมั่นใจในการจะต้องได้ครองที่นั่งนี้
โดยที่ว่าไม่ต้องใช้ความรุนแรงด้วยกำลังบังคับ เพียงแต่ใช้การหลอกล่อตามครรลอง
“พี่น้อง ดูแกน่าจะเป็นคนรู้เรื่องดีนะรู้จักว่าการจองส้วมแต่ไม่ได้ใช้มันเลวร้ายยังไง เห็นสาวสวยที่นั่งข้าง ๆ แกนั่นไหม?ไหน ๆ แกนั่งอยู่เฉยไร้น้ำยาจะอุ้มคนงามกลับไปใช้ ไม่สู้ปล่อยเป็นวาสนาของข้า—ไม่อยากคุยนะ ข้า หวังเชา แม้ไม่ใช่คนดังเท่าไหร่ในเมืองซื่อจิ่ว แต่แกลองไปถาม ๆ ดูได้นะว่ามีใครไม่รู้จักว่าหวังเชาคือข้าคนนี้?”
พูดจบ เขาถามอีก “แกเป็นคนที่ไหนกันนะ?ฝ่ายเจ้าบ่าว หรือฝ่ายเจ้าสาวเหรอ?”
“อ๋อ ผมคนหมิงจู คงต้องจัดเป็นฝ่ายเจ้าสาวนะ”
“อ้อ คนหมิงจูนี่เอง นั่นข้ารู้จักดี ก็จัดว่าร่ำรวยนะ แต่จะมาเทียบกับเมืองซื่อจิ่วของพวกข้าคงไม่ได้นะ….แกมาร่วมงานแต่งงานฝ่ายเจ้าสาวนี้คนเดียว ก็คงเป็นประเภทพวกเกาะตามกินมัง?”
หวังเชาพูดยิ้ม ๆ ในคำพูดแฝงการเหน็บแนม “ถ้างั้นแล้ว แกยกที่นั่งนี้ให้ข้า ข้าจะนั่งคุยกับสาวสวยข้าง ๆ นี้ ถ้าได้พาสาวงามกลับไปด้วยแล้ว จะไม่ลืมความดีที่ช่วยเป็นสื่อในครั้งนี้ หลังจากนี้ไปแกก็เป็นคนของข้านี่ละ รับรองว่าแกได้อยู่ในเมืองซื่อจิ่วนี้ได้อย่างโลดแล่นโฉบฉิว มีกินอย่างดี ดื่มสนุกเมาสบาย”
“……”
หวังเชาคุยฟุ้งฟองน้ำลายแตกกระเซ็น เต็มไปด้วยวาจาไร้สาระ ว่าไปจนเฟิ่งหวงขมวดคิ้วแน่น มีแต่ความเหยียดแคลนในสายตา
คนประเภทนี้หรือจะมีค่าพอจะมาจีบหล่อน?
ถังเฉาฟังแล้ว ก็ได้แต่หัวเราะว่า “โอเคเลยนะ ผมยกที่นั่งให้คุณได้เลย ว่าแต่ว่าคุณจะได้อุ้มพานางกลับได้หรือไม่นั้น คงพูดได้ไม่ง่ายนะ สาวสวยข้าง ๆ ผมคนนี้นะ รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยจะดีเลย”
พูดจบก็ลุกยืนขึ้น
พอได้ยินดังนั้น หวังเชาก็มีท่าทีดีใจเป็นนัก
“ได้ไม่ได้ มันก็ต้องลองให้ได้รู้”
ทันทีที่ถังเฉาลุกขึ้น หวังเชาก็นั่งลงแทนที่ จ้องไปที่เฟิ่งหวงส่งยิ้มที่ตัวเองคิดว่ามีเสน่ห์สุด ๆ ไปให้
ยังไม่ทันได้ปริปากพูดอะไร เฟิ่งหวงก็ยิ้มให้ “ฉันก็ไม่ใช่หูหนวกนะ คุณคือคุณชายใหญ่ตระกูลหวัง คิดจะจีบฉัน ใช่ไหมคะ?”
เล่นเอาหวังเชาอึ้งไปพัก แล้วทำกระแอมไอออกมาหน่อย ปิดบังความเขินอาย “ใช่อ่ะ……..”
ถึงแม้ฉากเริ่มต้นออกจะผิดคาด แต่ก็คงดีที่ไม่ต้องเปลืองคำพูดให้มากหลาย
แต่แล้ว เฟิ่งหวงทำหน้าจริงจังพูดว่า “คิดจีบฉัน ได้นะ ฉันไม่ได้หวังต้องการเงินคุณ และก็ไม่หวังในตัวคุณ มีเรื่องขออยู่ข้อเดียว”
“ขอเรื่องอะไรเหรอ?”
หวังเชางงเซ่อ นึกสงสัยว่าตัวเองพบเจอกับสาวเจ้าขุมทรัพย์ซะแล้ว
“จะต้องเหยียบข้ามฉันได้ด้วยกำลังฝีมือ”
“……”
####บทที่ 822 จำได้ที่หน้ากาก
จะต้องเหยียบข้ามฉันได้ด้วยกำลังฝีมือ!
ในเมื่อสาวน้อยแสนสวยพราวเสน่ห์หน้าเย็นชาพูดกับคุณแบบนี้ แล้วคุณจะทำยังไง?
แน่นอนว่า มือฆ่าอันดับหนึ่งของโลกที่ผุดขึ้นมาจากกองซากศพอย่างเฟิ่งหวง โดยพื้นฐานจะว่าสวยสาวพราวเสน่ห์นั้นคงไม่น่าจะใช้นิยามได้
แต่ความสวยงามในความเยือกโหดนั้น เป็นอะไรที่ทำให้หวังเชาตื่นใจใคร่อยากได้—หวังเชาไม่เคยรักชอบอะไรเว้นแต่มีความใคร่อยากในการปราบพยศสยบสาวห้าว
ดังคำกล่าวที่ไม่รู้มาจากไหนว่า—ความน่ารักนั้นมีค่าเป็นศูนย์ในความเซ็กซี่
หวังเชาก็ว่าคำพูดนี้พูดได้ถูกต้องดีมาก
ร่างสูงโปร่งของเฟิ่งหวง หุ่นสวยอย่างลงตัว กอปรกับหน้าตาที่เย็นชาเหมือนเชิดไล่คนให้ไปห่างพ้น และมาพูดย้ำอย่างหนาวเหน็บว่า
จะต้องเหยียบข้ามฉันได้ด้วยกำลังฝีมือ สมบูรณ์แบบในการสนองความใคร่อยากสยบสาวห้าวของหวังเชา
พีสาวสวยโหดร้ายมันจะมีความคิดร้ายอะไรตรงไหน?
หวังเชาให้รู้สึกรื่นอารมณ์เบิกบาน ทำหน้าทะเล้นยื่นมือออกไป ตั้งใจลูบแก้มเนียนละมุนของเฟิ่งหวง
“น้องคนสวย กำลังฝีมือของข้านั้นเธอวางใจได้ รับรองจะ ‘เหยียบสยบ’เธอได้แน่ ๆ….”
เห็นภาพข้างหน้านี้แล้ว แม้ถังเฉาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเขม่นในตาอย่างรุนแรง
เฟิ่งหวงอุตส่าห์ตั้งใจพูดตรง ๆ กับเงื่อนไขในการที่จะเป็นคู่รักกันได้ แต่กลับถูกมองเป็นการพูดเรื่องลามกอยู่—ไอ้นี่มีการตอบสนองของสมองไปทางพิลึกแบบไหนกัน ถึงได้คิดไปในทางบัดสีได้?
แววตาของถังเฉาพลันเปลี่ยนให้เห็นถึงความรู้สึกสมเพช อีกชั่วครู่คงได้เห็นเลือดสาดกันเป็นแน่
แต่ว่าหวังเชายังไม่รู้สึกสะกิดใจ คงยังหัวเราะเดินเข้าไปลูบแก้มสวยของเฟิ่งหวง
“โอ้ย…….”
และแล้วในชั่วเพียงวินาทีต่อมา ในบริเวณงานพลันเกิดเสียงแผดร้องเหมือนหมูถูกเชือดดังลั่น
ช่วงเพียงมือของหวังเชากำลังจะสัมผัสถูกแก้มของเฟิ่งหวง เฟิ่งหวงคว้าจับแขนของเขา ใช้กำลังบิดอย่างแรง
เสียงดังเพียงแคร๊ก ปรากฏเห็นมือของเขาพลิกกลับในมุม 180 องศา
ปัง!
เ พ ล้ ง !
ตามมาด้วย หวังเชาถูกเฟิ่งหวงเตะอย่างแรง ลอยกระเด็นออกไปชนเข้ากับแผงกระจกราคาแพง ม่านกระจกสลักลายสวยวิจิตรพลันแตกละเอียดด้วยแรงกระแทกของตัวหวังเชา
เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น พลันดึงดูดเอาความสนใจจากแขกเหรื่อทั้งหมดที่มาในงาน
แต่ละคนต่างหันไปมองอย่างประหลาดใจ เห็นหวังเชานอนกองลุกไม่ขึ้นอยู่กับพื้น พากันฮือฮาหายใจกันไม่ทั่วท้อง
นั่นมันใครกัน กล้าดียังไงมาตีกันในงานแต่งงานของสองตระกูลหลวง?
นี่มันจะไม่ให้เกียรติกันเลยหรือ?
“ลูก!”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอย่างปวดใจดังมาจากด้านลึกเข้าไปของบริเวณงาน
หญิงสูงศักดิ์ร่างอวบในผ้าต่วนชุดจีนวิ่งเข้ามากับเสียงร่ำไห้ ถลาล้มลงกระเสือกกระสนเข้าไปข้าง ๆ ตัวหวังเชา
เมื่อเธอเห็นแขนที่บิดเบี้ยวอย่างมากของหวังเชานางก็ร้องไห้และตะโกนทันที
“ใคร?ใครทำลูกหัวแก้วหัวแหวนฉันถึงขนาดนี้?”
ตามมาด้วย คนกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา คนหน้าเหลี่ยมวัยกลางคนคนหนึ่งมองดูสภาพแล้ว สีหน้าพลันเครียดลง
“ยังมีทางรอด รีบส่งโรงพยาบาล!”
พ่อของหวังเชานั้นเอง หวังเจี้ยนหลู้สั่งคำออกไปเสียงเข้ม
ด้วยความรวดเร็ว เจ้าพนักงานของโรงแรมเข้ามาถึง หามตัวหวังเชาขึ้นอย่างตื่นตระหนก จัดการต่อโทรศัพท์ตามรถพยาบาล
บริเวณจัดงานที่กว้างใหญ่ของโรงแรม เงียบกริบ
สายตาทุกคู่ รวมศูนย์เป็นจุดเดียวที่ถังเฉากับเฟิ่งหวงที่นั่งในห้องโถง ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสะทกสะท้าน
ในบริเวณทั้งงาน ทั่วไปล้วนคุยสันทนาการกันด้วยเป็นคนมักคุ้น มีก็เพียงคนแปลก ๆ ที่ใส่หน้ากากนั่นกับเฟิ่งหวง นั่งกันอยู่นอกวง
คนร้ายก็คือทั้งสองคนนั่น!
ภายใต้การจ้องมองจากสายตามากมาย เฟิ่งหวงไม่เพียงไม่มีอาการหวั่นหวาด กลับวางตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประคองกาน้ำชาหลงจิ่ง บรรจงรินใส่แก้วให้ถังเฉา
“ท่านรองหัวหน้า ดื่มน้ำชาค่ะ”
บรึม!
ภาพที่ปรากฏนั้น กระแทกกระทั้นอย่างแรงต่อสายตาทุกคนที่อยู่ในบริเวณ
หัวใจของแต่ละคนเต้นแรงผิดปกติ ดั่งจะแตกระเบิดปานนั้น
ไอ้สองคนนี้ ท่ามกลางคนมากมาย ทำร้ายทายาทคนเดียวของตระกูลหวังไปต่อหน้าต่อตา
ยังไม่รู้สึกตกตื่นผวากลัวหดหางหนีไปให้ไกล กลับยังกล้าวางตัวท้าทายขนาดนี้
ในขณะที่ทุกคนล้วนได้สัมผัสถึงความโกรธเกรี้ยวของผู้นำตระกูลหวัง-หวังเจี้ยนหลู้ กับภรรยาของเขา-ถานหลี้
“ไอ้หนู ให้แม้ว่าลูกข้าจะมีการเสียมารยาทในตอนเริ่มต้น แต่มันก็ไม่น่าต้องลงมืออย่างหี้ยมโหดขนาดนี้มั้ง?”
หวังเจี้ยนหลู้ เก็บกดระงับไฟโกรธ มองหน้าถังเฉา พูดเสียงขรึม
“แก…นังแพศยา แกกล้าดียังไงมาทำร้ายลูกข้า?ข้าจะไม่ปล่อยแกแน่!”
ถานหลี้ที่ร้องไห้คร่ำครวญไปพักใหญ่ จู่ ๆ ก็ลุกขึ้นตะคอกใส่เฟิ่งหวงอย่างบ้าคลั่ง
“ไปตายซะ…….ข้าจะให้แกไปตาย!”
ถานหลี้ ตะคอกใส่ในอาการออกฮิสทีเรีย แต่ก็ไม่กล้ารุกเข้าหา
หล่อนแม้จะโกรธจัด แต่สมองยังไม่ได้ถูกไฟโกรธบดบัง
ถ้าพวกเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไป หล่อนคงไม่ลังเลที่จะสั่งคนจัดการเอาสองคนนี้ให้ถึงตายไปแล้ว
แต่ดูท่าทางแล้วสองคนนี้คงไม่ใช่
และแต่ละคนก็ไม่ใช่คนโง่
วันนี้เป็นวันมงคลยิ่งใหญ่ของตระกูลเย่ กับตระกูลถัง สองตระกูลหลวง ต่อให้เป็นลูกหลานสายตรงตระกูลหลวงแท้ ก็คงไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่อง ไอ้เจ้าหนุ่มคนใส่หน้ากากคนนี้ เรียบสงบเฉยนิ่งท่วงท่าสบาย ๆ ดูทีคงจะมีที่มาไม่ธรรมดา
ก่อนจะรู้ข้อเท็จจริงในสถานะของเขา หวังเจี้ยนหลู้คงยังจะไม่คิดทำอะไรบุ่มบ่ามลงไป
ทว่า เฟิ่งหวงเพียงชายตามองพวกเขาอย่างชาเย็น ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย
ส่วนถังเฉา ยิ่งกว่านั้นไปอีก แม้แต่ตายังไม่ได้เหลือบขึ้นมองเลย ตั้งแต่ต้นคงนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์
“แก!”
เห็นพวกเขาถึงขนาดมองไม่เห็นการมีตัวตนของตัวเอง หวังเจี้ยนหลู้ กับถานหลี้ ยิ่งโกรธจัดหนักขึ้น
“ดีละ การมาก่อกวนหาเรื่องในงานมงคลใหญ่ของตระกูลเย่กับตระกูลถัง แกจะต้องได้รับผลอย่างคุ้มค่า!”
หวังเจี้ยนหลู้โกรธจนหน้าคล้ำเขียว รุดออกจากพื้นที่ไปอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ใช่เขาจะจากไป แต่กลับเป็นการไปนำเอาคนเข้ามากลุ่มหนึ่ง
ถังเฉาปรายตามองไป พลันส่งเสียงหัวเราะออกมา
กลับกลายเป็นไปชักนำเอาคนตระกูลหลวงตระกูลเย่เข้ามา
ตระกูลหวังเป็นตระกูลในอานัติของตระกูลเย่ หวังเชาถูกทำร้ายหมดสภาพ หวังเจี้ยนหลู้ย่อมต้องไปหาคนตระกูลเย่มาช่วยออกหน้า
คนที่นำหน้ามานั้น เป็นหนุ่มหน้าเข้มขรึม หุ่นสูงสมาร์ท
เย่จงซือ
เฟิ่งหวงก็ปรายตามองไปเหมือนกัน แจงอธิบายว่า “ตระกูลหวัง ได้รับการสนับสนุนขึ้นมาโดยเย่จงซือ จึงฟังแต่คำสั่งของเย่จงซือ”
“เป็นอย่างนี้เองนะ”
ถังเฉาก็เพิ่งรู้แจ้งชัด แต่ก็ไม่มีทีท่าจะต้องหวาดวิตก ยังคงรอยยิ้มเรียบ ๆ อยู่ภายใต้หน้ากาก
“พวกแกนี่นะ ที่มากวนก่อเรื่องในงานมงคลของตระกูลเย่ของข้า?”
เย่จงซือมาอยู่ตรงหน้าถังเฉา สีหน้าเย็นเยือกจนแทบจะมีไอระเหยออกมา
แต่ทว่า ถังเฉาก็เพียงเงยหน้าขึ้นเนือย ๆ ยังคงไม่พูดไม่จา
“แม่มึงนี่ ยังมาแกล้งทำเซ่อ?”
ชายหนุ่มเลือดร้อนหลายคนที่ตามเย่จงซือมากลั้นอารมณ์ไม่อยู่ เตรียมจะสั่งลงมือลุย
เย่จงซือกลับเลิกคิ้วขึ้น ห้ามพวกเขาเอาไว้
ตัวเขาเองเดินเข้าไปหาถังเฉา มองอย่างละเอียดที่หน้ากากของเขา แล้วหัวเราะขึ้นมา “คุณคนนี้ ดูเหมือนคุ้นกันมากนะ เราน่าจะเคยพบกันที่ไหนมาสักแห่ง?”
ถังเฉาก็หัวเราะ “ใช่หรือ ข้าทำไมไม่เห็นรู้สึกคุ้นเลย?”
“…….”
เย่จงซือสีหน้าเครียดลง ถามว่า “คุณเป็นใครกันแน่?กล้าจริงถอดหน้ากากออก เอาหน้าตาแท้จริงออกมาให้เห็น ๆ กัน”
ถังเฉาหัวเราะคิ๊ก ไม่ตอบอะไร
เย่จงซือกลับเพ่งมองไปที่หน้ากากของถังเฉา สีหน้าดู ๆ ไป ยิ่งดูยิ่งดูแปลก
ฉับพลันนั้น เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้ากลับเปลี่ยนดูไม่จืด
“หน้ากากอันนี้………คุณ คุณคือเจ้ามังกรที่งานประชุมแดนเหนือ?”