เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 847 พลิกตาลปัตร
“ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือคนกลายร่าง เราจะกักขังหน่วงเหนี่ยวเขาตลอดเวลาไม่ได้”
หงโฝอธิบายอย่างจริงจัง “พี่ชายของเธอก็เหมือนกับเสือตัวนั้นที่วิ่งเข้าไปในป่า”
“หา? แล้วต้องทำยังไง?”
ถงเจินตกใจมาก “ป่าในนั้นเป็นป่าเทียม คฤหาสน์ที่ผู้นำกับเจ้าแม่ตระกูลแต่งงานก็อยู่ในนั้น แต่พวกเราไม่มีใครกล้าเข้าไป เพราะกลัวจะมีสัตว์ป่าอยู่ข้างในนั้น”
หลังจากได้ยินคำพูดของถงเจิน ถังเฉาก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไปคิดบัญชีกับเว่ยหมิงจวินในคฤหาสน์ที่เว่ยหมิงจวินกับหลินรั่วหวีแต่งงานกัน และในวันนั้นเขากลับถูกเว่ยหมิงจวินล่อลวงเพื่อจะทำให้หลินรั่วหวีเข้าใจผิดว่าเขากับเว่ยหมิงจวินมีอะไรกันแล้ว
แต่ผลทำให้เว่ยหมิงจวินหาเหาใส่หัวเอง
ที่แท้ป่านี้เป็นป่าธรรมชาติที่มนุษย์สร้างขึ้น และยังมีสัตว์ป่าอยู่ด้วย
ถงเจินอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถังเฉาแล้วขอร้องเขา “ถังเฉา ฉันขอร้องเอ็งแล้วล่ะ ช่วยพาลูกชายฉันกลับมาทีเถอะ ถ้าเอ็งสามารถรักษาลูกชายฉันได้ เอ็งก็จะเป็นผู้มีบุญคุณชีวิตต่อพวกเรา แล้วเอ็งจะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะยอม”
แม้ว่าจะเกลียดถังเฉาเข้ากระดูก แต่เพื่อลูกชาย ถงเจินก็ยอมก้มหัว
อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องร้องขอ ถังเฉาก็จะไปหาหลินโป๋หลายอยู่แล้ว เพราะเขามีเรื่องสำคัญมากที่ต้องถาม
จากนั้นเขาก้มมองหงโฝ “ไปกันเถอะ ลองดูว่าจะเจอเขาไหม”
หงโฝพยักหน้าตอบและมุ่งหน้าไปยังป่าแห่งนี้พร้อมกับถังเฉา
“เดี๋ยวก่อน!”
ทันใดนั้น เสียงของหลินจิ่วจิ่วก็ดังมาจากด้านหลัง “ฉันขอไปด้วยคน”
ถังเฉาหยุดเดินแล้วหันหลังมองไปที่หลินจิ่วจิ่วและยิ้มพูด “คุณจะไปทำไม?”
หลินจิ่วจิ่วกลอกตาขาวใส่ “คนที่หายตัวไปคือพี่ชายฉันเองนะ แน่นอนว่าฉันจะตามไปเพราะห่วงเขาอยู่แล้ว อีกอย่าง ที่นี่คือป่าทึบ และตอนนี้ก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย ถ้าพวกคุณหลงทางจะทำยังไง?”
“ไม่มีฉันอยู่ด้วย พวกคุณจะหาทางออกมาได้เหรอ?”
หลินจิ่วจิ่วมองไปที่ถังเฉาและพูดอย่างเย้ยหยัน
หงโฝคิดว่ามีเหตุผลเหมือนกัน เธอจึงหันมองไปที่ถังเฉา “เจ้านาย ให้เธอไปด้วยก็ดีเหมือนกันนะ ฉันเป็นคนที่ไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทางอยู่แล้ว โดยเฉพาะในป่าทึบแบบนี้ ฉันจะหลงทางตลอด”
“แล้วเธอเดินออกมาจากบึงฉีชวนยังไง?”
“ตอนนั้นฉันอยู่ที่เดิมเป็นเวลาสามเดือนเลยนะ หลังจากที่พบกับคนในองค์กร พวกเขาถึงจะพาฉันออกมาได้”
“……”
ถังเฉาหมดความสนใจที่จะสื่อสารกับหงโฝอีกต่อไป จากนั้นเขาจึงหันไปพูดกับหลินจิ่วจิ่วว่า “แล้วถ้าคุณไปด้วย พวกเราจะไม่หลงทางใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ”
ใบหน้าเล็กๆ ของหลินจิ่วจิ่วเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ฉันไม่ได้อวดหรอกนะ แต่ฉันเชื่อว่าป่าที่ฉันเคยเดิน มันมากกว่าเส้นทางบนถนนที่คุณเคยเดินแน่ ฉะนั้นป่าแบบนี้มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับฉัน ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”
“พวกคุณรู้วิธีเอาตัวรอดในป่าไหม ถ้าหลงทางในตอนกลางคืน พวกคุณมีวิธีที่จะเดินออกจากป่าไหม?”
ถังเฉายิ้มและส่ายหัวตอบว่า “ไม่รู้”
“ก็ใช่ไงล่ะ?”
หลินจิ่วจิ่วดูเหมือนจะฟื้นความมั่นใจในตนเองและความรู้สึกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตน เธอจึงมองไปที่ถังเฉาแล้วพูดต่อว่า “ไม่มีข้อมูลอะไรเลยก็จะเดินเข้าไปในป่าทึบแล้ว ไม่รู้จักเจียมตัวจริงๆ เลยนะ”
หลังจากนั้นนางก็เดินนำหน้าไป “ไปกันเถอะ ฉันคนนี้จะเป็นคนพาพวกคุณไปตามหาพี่ชายของฉันในป่าเอง อย่างน้อยถ้าฉันเป็นคนนำทาง การค้นหาของพวกคุณในตอนกลางคืนจะไม่ผิดพลาด”
“อีกอย่าง เมื่อวานเพิ่งฝนตกไป ดินก็ยังเปียกอยู่ เราสามารถติดตามรอยเท้าและกลิ่นของดิน เพื่อตัดสินว่ามันเป็นรอยเท้าของสัตว์หรือเป็นรอยเท้าของพี่ชายของฉันได้”
ไม่นึกเลยว่าหลินจิ่วจิ่วจะเข้าใจสิ่งนี้ นัยน์ตาถังเฉาก็เต็มไปด้วยความน่าสนใจ “คุณยังรู้จักวิธีการติดตามกลิ่นของรอยเท้าในดินเพื่อตัดสินว่าเป็นรอยเท้าของใครด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ นั่นเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเอาชีวิตรอดในป่านะ คุณไม่รู้เหรอ?”
ถังเฉาได้แต่ยิ้มตอบ
ดินเปียก โดยเฉพาะดินเปียกหลักฝนตกมันจะมีกลิ่นที่แตกต่างกัน
และสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปจะมีกลิ่นที่เป็นของตัวเอง สัญชาตญาณของสัตว์มักจะพึ่งพากลิ่นเหล่านี้เพื่อตัดสินว่าเป็นกลิ่นของพวกเดียวกันหรือไม่ แต่เมื่อเทียบกับกลิ่นของมนุษย์แล้ว มันจะจืดจางกว่ากลิ่นของสัตว์
มนุษย์สามารถดมกลิ่นของสัตว์จากดินนี้ได้ แต่กลิ่นของมนุษย์เองนั้นยากนักที่จะได้กลิ่นจากดินนี้ ดังนั้นถือได้ว่าหลินจิ่วจิ่วก็มีทักษะในตัวเหมือนกัน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเรียนรู้ได้ในกองทัพปราณมังกรเท่านั้น แต่เธอกลับเข้าใจมัน
ซึ่งนี่ก็คือประสบการณ์
สำหรับคนธรรมดาแล้ว เธอสามารถพูดถึงเรื่องนี้กับพวกเขาอย่างมั่นใจได้ แต่คนที่เธอพูดด้วยคือถังเฉา
และสำหรับหลินจิ่วจิ่วแล้ว ประสบการณ์ที่เลวร้ายของถังเฉามันมากมายกว่าเธอตั้งหลายเท่า
แต่ถังเฉาไม่เคยคิดจะเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ เขาได้แต่ยิ้มและเดินตามหลินจิ่วจิ่วไป
“เราไม่รู้ว่าพี่ชายของฉันหนีไปเมื่อไหร่ และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในป่านี้หรือเปล่านะ พวกเราได้แต่คาดเดาเท่านั้น แล้วถ้าเกิดมีสถานการณ์ผิดปกติ เราต้องรีบหันหลังกลับนะ”
หลินจิ่วจิ่วหันกลับมาแล้วพูดกับถังเฉาและหงโฝอย่างจริงจัง
หงโฝก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างตั้งใจ เพราะความขี้หลงลืมทิศทางของเธอนั้นแก้ไม่ตกสักที และถ้าหากได้เรียนรู้กับหลินจิ่วจิ่วนอกสถานที่แบบนี้ บางทีอาจจะมีประสิทธิภาพก็ได้
ถังเฉาก็พยักหน้าเบา ๆ เพื่อทำตัวกลมกลืนไป
“อ่ะ รับไฟฉายไป”
หลินจิ่วจิ่วได้ยื่นไฟฉายให้กับหงโฝกับถังเฉาคนละท่อน
“อาหารค่ำเราจะล่าสัตว์แล้วกินในป่านะ”
ระหว่างที่คุยกัน ทั้งสามคนก็มาถึงปากทางเข้าป่าแล้ว
ในเวลานี้ ความมืดเข้าปกคลุม ปากทางเข้าป่าก็มืดมิด มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่อ้าปากกว้างและพร้อมที่จะกลืนกินพวกเขาทั้งสามได้ทุกเมื่อ
ฝนเพิ่งตกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ และพื้นดินก็เปียกแฉะ ทำให้มีเสียง ‘สวบ สวบ’ เมื่อเดินอยู่บนพื้น
ในช่วงกลางคืน นกจำนวนมากในป่าเริ่มบินออกมา เพียงแค่นกไนติงเกลถังเฉาก็เห็นหลายตัวแล้ว
หลินจิ่วจิ่วกับหงโฝไม่ได้รู้สึกกลัวเลย และถังเฉาก็ยิ่งไม่กลัวอยู่แล้ว
หลินจิ่วจิ่วหยุดที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นหยิบเชือกสีแดงออกมาแล้วพูดกับถังเฉาและหงโฝว่า “เห็นเชือกเส้นนี้ไหม? เราจะผูกไว้ที่นี่ จะได้ไม่หลงทาง”
หงโฝรีบพยักหน้าตอบเหมือนไก่จิกข้าว ถังเฉาได้แต่ยิ้มจางๆ โดยไม่พูดอะไร
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในป่าอีกสักพัก แต่ยังไม่เห็นรอยเท้าของใครเลย
กระทั่งถ่านของไฟฉายได้หมดไปอย่างรวดเร็ว
และตอนนี้พวกเขามืดไปทั่วทุกมุม แต่สามารถมองเห็นคนได้อย่างเลือนรางเท่านั้น
หงโฝรู้สึกตื่นตระหนกทันที ส่วนหลินจิ่วจิ่วในขณะนี้ก็เริ่มดูประหม่าเล็กน้อย
โครม!
ท้องฟ้ามืดครึ้มเริ่มส่งเสียงคำราม และอีกสัญญาณของพายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะตกลงมา
หลินจิ่วจิ่วเริ่มรู้สึกประหม่ามากขึ้นและเดินช้าลงเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอ เดินไปสิ?”
ถังเฉาหันกลับมามองเธอแล้วยิ้มพูด “คุณกลัวเหรอ?”
ประโยคนี้ทำให้หลินจิ่วจิ่วโกรธมาก “คุณสิกลัว ฉันก็แค่ไม่อยากทำให้รองเท้าเปื้อน”
หลินจิ่วจิ่วก้าวเท้ายาวขึ้น แต่ท่าทางดูแข็งทื่อมาก เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังปากแข็งอยู่
“โอ๊ย……”
ทันใดนั้น หลินจิ่วจิ่วก็ส่งเสียงอุทานออกมา
เนื่องจากมันมืดเกินไป เธอไม่ทันระวังจึงเกือบจะลื่นล้ม
“ไหวมั้ยเนี่ย?”
ถังเฉายิ้มพูดกับหลินจิ่วจิ่ว
“นี่คุณ……”
หลินจิ่วจิ่วถึงกับว้าวุ่นและความโกรธก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
การที่ถูกถังเฉาเยาะเย้ยแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจมาก
โดยเฉพาะก่อนมาในป่าเธอยังบอกข้อควรระวังต่างๆ นานาให้กับเขาฟัง
แต่ไม่คิดเลยว่าเธอกลับหลุดปากมาก่อน
ถังเฉายิ้มและกำลังจะพูดต่อ แต่ทันใดนั้น เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่างและสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
จากนั้นเขาผลักหลินจิ่วจิ่วที่อยู่ด้านหน้าอย่างกะทันหัน
“ระวัง!”
“คุณจะผลักฉันทำไม ……”
หลินจิ่วจิ่วที่ถูกผลักก็เดินเซและกำลังจะเสียอารมณ์
“โฮก……”
พุ่มไม้ด้านข้างมีการเคลื่อนไหว เสียงคำรามเบาๆ ดังขึ้น เหมือนกับว่ามีบางอย่างกำลังจะกระโดดออกจากพุ่มไม้
ฝุบ!
เงาร่างที่คลุมเครือขนาดใหญ่ลอยผ่านไป และทันใดนั้นมันก็กระโดดเข้ามาหาหลินจิ่วจิ่ว
“กร๊ากกกก!!!”
หลินจิ่วจิ่วยังไม่ทันได้ระวังตัว เธอรู้สึกเพียงว่ามีเงาสีดำร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเธอ แม้กระทั่งน้ำลายที่เหนียวเหนอะหนะก็ถูกลมพัดเข้ามาที่ใบหน้าของเธอ
จนกระทั่งเงาสีดำตัวใหญ่นี้เข้ามาถึงตรงหน้า เธอถึงจะรู้ว่ามันเป็นตัวอะไร
นั่นคือเสี่ยวแปด เสือของเธอเอง
หลังจากมันได้กลับสู่ป่า ความดุร้ายของมันก็ได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ดวงตาของมันดุร้ายไร้ความปรานี และมันยังมองว่าหลินจิ่วจิ่วเป็นอาหารมื้อค่ำของมันด้วย
หลินจิ่วจิ่วตกใจจนยืนนิ่งและขยับขาไม่ได้ เธอกลัวจนลืมว่าจะต้องวิ่งหนีแล้วด้วยซ้ำ
ขณะที่เธอกำลังเข้าใกล้ความตาย ร่างคนคนหนึ่งก็พุ่งเข้าไปตรงหน้าเธอและชนเธอจนล้มลงกับพื้น
ทั้งสองกอดกันและกลิ้งไปหลายตลบ เสือตัวนั้นได้แต่กระโจนความว่างเปล่า จากนั้นมันงอหลังขึ้นเหมือนแมวที่กำลังโกรธและส่งเสียงครวญครางต่ำ ๆ
“โอ๊ย……”
เมื่อมนุษย์เราตกใจจนถึงขีดสุด เรามักจะหาอะไรมากเกาะไว้เพื่อความรู้สึกปลอดภัยของตัวเราเอง
หลินจิ่วจิ่วก็ตกใจจนสุดขีด ตอนนี้เธอเกาะร่างของถังเฉาเหมือนปลาหมึกตัวหนึ่งโดยที่ไม่สนใจอะไรอีก ทำให้กลิ่นกายของสาวสวยระคายเคืองจมูกของถังเฉาอย่างไม่หยุด
จากนั้นถังเฉาขมวดคิ้วแล้วพูดกับหลินจิ่วจิ่วว่า “ลงไปจากตัวผม”
“ไม่ มันน่ากลัว……ฮือ ฮือ ฮือ รู้งี้ไม่มาดีกว่า”
หลินจิ่วจิ่วหลับตาแน่นๆ และกอดถังเฉาแน่นขึ้น
ถังเฉาทำอะไรไม่ถูก ในเวลานี้ เสียงคำรามของเสือโคร่งก็ดังมาจากด้านหลังอีกครั้ง
เสือโคร่งนั้นยังคงหมุนวนถังเฉาอย่างไม่หยุด
“โฮก!”
เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาเหมาะเจาะแล้ว เสือก็กระโดดไปข้างหน้าและพุ่งเข้าหาถังเฉาอีกครั้ง
ดวงตาของถังเฉาหรี่ลงและจ้องเขม็งไปที่เสือตัวนั้น
“ไปให้พ้น!”
ทันใดนั้น ออร่าสังหารที่แข็งแกร่งก็ถูกปลดปล่อยออกมา
เสือรู้สึกเพียงว่ามันกำลังถูกสัตว์ร้ายที่ตื่นจากการหลับใหลจ้องมองมาที่ตัวมัน ทำให้มันตกใจกลัวจนขวัญหายไป มันค่อยๆ ถอยห่างไปและมองดูถังเฉาด้วยความกลัว
แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์ แต่มันมีสัญชาตญาณ และมันก็รู้ว่าต้องกลัวอะไร
มันรู้สึกว่าถังเฉาแตกต่างจากคนทั่วไปและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ดังนั้นหลังจากมองดูสักพัก เสือตัวนี้ก็หันหลังวิ่งหนีไป
ถังเฉาเหลือบมองหลินจิ่วจิ่วในอ้อมแขนของเขาและพูดว่า “ไม่มีอะไรแล้ว มันหนีไปแล้ว”
“หนีไปแล้วเหรอ?”
หลินจิ่วจิ่วไม่เชื่อ และยังคงหลับตาแน่นๆ
ด้วยความหวาดกลัว เธอสูญเสียความห้าวหาญก่อนหน้านี้ไปบางส่วนแล้ว
“หนีไปแล้ว”
ถังเฉาพูดเบาๆ
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
ในเวลานี้ หลินจิ่วจิ่วเริ่มได้ยินเสียงหยาดฝนที่ตกลงมา
เสียงนั้นมันช่างเป็นเหมือนเสียงจากเทวดาจริงๆ จากนั้นหลินจิ่วจิ่วถึงกล้าลืมตาขึ้น
ทันทีที่เธอลืมตา เธอก็พบว่าตัวเองเหมือนกับปลาหมึกตัวหนึ่งที่เข้าไปพัวพันกับถังเฉา และเธอก็กรีดร้องออกมาทันที
“อ๊าก!”
เธอรีบกระโดดลงจากถังเฉา แก้มของเธอแดงก่ำและไม่กล้าสบตาถังเฉาอีก
“ฉันจะกลับไปแล้ว”
หลินจิ่วจิ่วเริ่มงอแง
ถังเฉาก็เริ่มสงสัยแล้วว่าเธอคนนี้เป็นตัวภาระหรือเปล่านะ?
แต่หลังจากเดินวนอยู่หลายรอบ พวกเขาก็ไม่พบกับต้นไม้ที่ผูกบิ้นสีแดงไว้เลย
หลินจิ่วจิ่วรู้สึกใจหายมาก
“พวกเรา……เหมือนจะหลงทางแล้ว”
ถังเฉาถอนหายใจ “ใครบอกนะว่า ถ้ามีเธออยู่ เราจะไม่หลงทาง?”
“……”
หลินจิ่วจิ่วหน้าแดงราวกับก้นลิง
หลังจากที่ถังเฉาเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตกใจ เพราะมีรอยเท้าปรากฏอยู่บนดินชื้นข้างหน้าเขาเป็นแถว
ซึ่งเป็นรอยของรองเท้า