เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 859 ฉันไม่ได้แซ่หลิน
“…”
พอคำถามนี้ลั่นออกมา บรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นแข็งตัวในพริบตา
บนถนนใหญ่รถราวิ่งกันขวักไขว่ รถที่ไป ๆ มา ๆ เสียงดังหาใดเปรียบ
แต่ว่าถังเฉากับหลินรั่วหวีที่เผชิญหน้ากันอยู่นั้นกลับดูจะไม่ได้ยินเสียงที่ดังเอะอะโวยวายนี้เหมือนกับอยู่อีกมิติหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ถังเฉามองหลินรั่วหวีอยากแน่วแน่ หลินรั่วหวีเองก็มองถังเฉาอย่างแน่วแน่เช่นเดียวกัน
สายตาของทั้งสองคนคมปลาบเช่นเดียวกัน น่ากลัวเหมือนกัน ดูเหมือนความมืดยามค่ำคืนย่างกรายมาถึง เหมือนงูพิษที่เลื้อยออกมาจากถ้ำงูที่คอยจ้องจะหาโอกาสลงมืออย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนหนาวสะท้านไปทั้งตัว
พวกเขามีความสัมพันธ์เป็นพ่อตากับลูกเขย แต่ดูแล้ว เหมือนศัตรูคู่อาฆาตมากกว่า
มองอยู่พักหนึ่ง หลินรั่วหวีก็หลับตาลงอย่างฉับพลัน หลังจากที่ผ่านไปนานจึงจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
ดวงตาที่ลืมขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้เย่อหยิ่งอวดดีอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล ถึงขั้นที่พ่นลมหายใจออกมายาว ๆ เหมือนกับยกหินออกมาจากอก
ถังเฉามองออก นั่นคือสายตาแห่งความเหนื่อยล้าอย่างหนึ่ง มีเพียงคนที่ทำเรื่อง ๆ หนึ่งซ้ำไปซ้ำมาจนชินชาเท่านั้นถึงจะสามารถมีสายตาเช่นนั้นได้
ถังเฉาเองก็เก็บสายตากลับมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น เอ่ยถามว่า “พ่อตา ดังนั้นคุณยอมรับว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกับหว่างเหลี่ยง ใช่ไหมครับ?”
หลินรั่วหวีไม่ได้ตอบ เพียงแค่โบกไม้โบกมือ ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ รถทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ก็หายไปแล้ว
ถังเฉารู้ว่าบทสนทนาต่อไปพวกเขาจะเกี่ยวข้องไปถึงเรื่องลับ ไม่สามารถให้บุคคลที่สามรู้ได้อย่างเด็ดขาด
และยังมีอีกเจตนาหนึ่ง นั่นก็คือทั้งสองคน หลังจากที่ได้รับรู้ความลับแล้วจะมีความคิดที่จะฆ่าจนลงมือต่อสู้กันหรือไม่ ไม่อาจล่วงรู้ได้
“สุดท้ายก็ถูกนายจับได้แล้ว”
หลินรั่วหวีจุดบุหรี่หนึ่งมวน สายตาเปิดเผยความเหนื่อยล้าออกมาเล็กน้อย “ถ้าหากสะดวก บอกฉันได้ไหมว่านายรู้ได้อย่างไร?”
“ง่ายมาก อยู่ที่ด้านหลังภูเขาของคุณ”
ถังเฉายิ้ม “นั่นเป็นสถานที่ตั้งของเรือนหอของคุณกับน้าเว่ย ป่าโบราณแห่งหนึ่ง โรแมนติกมาก… แต่ว่า… ที่นั่นเป็นสถานที่ทดลองลับของหว่างเหลี่ยง ใช่ไหมล่ะครับ?”
“สถานที่ทดลองของหว่างเหลี่ยงทำไมถึงมาตั้งอยู่ที่ตระกูลหลินแต่ไม่ไปอยู่ที่อื่น นี่ทำให้ผู้คนสงสัยมาก”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
หลินรั่วหวีเกิดสำนึกขึ้นมาได้ ยิ้มจาง ๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าเด็กโป๋หลายนั่นก็เข้าใจว่าควรจะปกป้องตัวเองอย่างไร”
“ดังนั้น สิ่งที่คุณจะพูดต่อไปก็คือความลับที่หลินโป๋หลายนั่นรู้มาจากหว่างเหลี่ยงใช่ไหมครับ?”
สายตาของถังเฉาเปลี่ยนเป็นคมปลาบ มองหลินรั่วหวีแล้วเอ่ยขึ้น
หลินรั่วหวีเงียบอยู่นาน ให้คำตอบที่คลุมเครือออกมา “ใช่… และไม่ใช่”
“…”
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หรี่ตาลงน้อย ๆ รอหลินรั่วหวีพูดต่อ
“ก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ ฉันจำเป็นจะต้องถามคำถามหนึ่งกับนายก่อน”
หลินรั่วหวีสูบบุหรี่เข้าเต็มปอดคำหนึ่ง ในดวงตาที่ล้ำลึกกลับมองทะลุถึงนิสัยเข้มแข็งและอดทน “สำหรับนายแล้ว ฉันมีความสัมพันธ์แบบไหนกับหว่างเหลี่ยง?”
คำถามนี้ทำให้ถังเฉาครุ่นคิดอยู่นาน แล้วจึงให้คำตอบ “คุณกับหว่างเหลี่ยงมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือนคนของหว่างเหลี่ยง เคลื่อนไหวอยู่ในแผนของหว่างเหลี่ยง แต่กลับไม่ใช่ฝ่ายในของหว่างเหลี่ยง”
“ละเอียดลึกซึ้งมาก”
หลินรั่วหวีให้คำตอบเช่นนี้ จากนั้นก็ถามคำถามที่สองออกมา “สำหรับตระกูลหลวงของเมืองซื่อจิ่วกับราชวงศ์ต้าเซี่ย นายรู้มามากแค่ไหน?”
นึกไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องไปถึงราชวงศ์ต้าเซี่ย นี่ทำให้ถังเฉาประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เงียบอยู่นาน พูดเรื่องทุกอย่างที่ตัวเองรู้ทั้งหมดออกมา
“ตระกูลหลวง เป็นเพียงแค่ตระกูลที่ขึ้นต่อราชวงศ์ จำเป็นจะต้องให้ราชวงศ์คุ้มครอง ทุก ๆ ปีจะต้องส่งผลกำไรที่แน่นอนขึ้นไปให้ราชวงศ์ อีกทั้งฝ่ายในของราชวงศ์ถือเอาพลังบู๊เป็นสิ่งสูงส่ง!”
“พูดได้ไม่ผิด ถ้าอย่างนั้นฉันถามนาย นายรู้ไหมว่าราชวงศ์ของต้าเซี่ยเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ประกายในดวงตาของหลินรั่วหวีหายไปหมดเกลี้ยง เอ่ยถามเสียงต่ำ “เพราะอะไรถึงมีราชวงศ์เก้า ไม่มีราชวงศ์ที่สิบ?”
“…”
คำพูดของหลินรั่วหวีทำให้ถังเฉาตะลึงงัน
กระทั่งผ่านไปนานเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา ในใจมีคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้ากระเพื่อมไหว สงบใจไม่ได้อยู่นาน
ทำไมถึงมีราชวงศ์เก้า?
ราชวงศ์เก้ากำเนิดมาได้อย่างไร?
แล้วเพราะอะไรถึงไม่มีราชวงศ์ที่สิบ?
สามคำถามนี้ถามจนถังเฉาทึ่มไป สีหน้าไร้จิตวิญญาณ
เสาะหาจนถึงต้นกำเนิดประวัติของราชวงศ์ต้าเซี่ย โดยเฉพาะคำถามสุดท้าย ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล ไม่มีหลักฐาน แต่ขอเพียงคิดให้ลึกเข้าไปก็จะพบว่า ที่จริงแล้วได้อธิบายสองคำถามแรกไปแล้ว
“เพราะอะไร?”
ถังเฉาเอ่ยอย่างใจลอย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นาทีนี้เขารู้สึกว่านี่เป็นนาทีแห่งประวัติศาสตร์
คนทั่วไป ตระกูลหลวงแห่งเมืองซื่อจิ่วก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว แต่เขากลับมีโอกาสได้รู้ถึงต้นตอของประวัติราชวงศ์ต้าเซี่ย
“เดิมฉันไม่ได้แซ่หลิน”
หลินรั่วหวีพูดคำพูดที่ยากจะเข้าใจได้ขึ้นมาอย่างฉับพลันหนึ่งประโยค
สีหน้าของถังเฉาเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอจนหลังจากที่มีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “อะไรนะครับ? คุณไม่ได้แซ่หลิน?”
“ใช่ ตอนหลังฉันจึงจะเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่หลิน นั่นเป็นแซ่ของผู้มีพระคุณคนหนึ่งของฉัน”
หลินรั่วหวีเอ่ยอย่างสงบ
ถังเฉาพูดไม่ออกอยู่นาน ข้อมูลนี้แปลกใหม่มากไปหน่อย
หลินชิงเสว่และลั่วเย่นหัวรู้ข้อมูลนี้หรือไม่?
“เช่นนั้น พ่อตา คุณแซ่อะไร?”
ถังเฉาถามอย่างระมัดระวัง
เขารู้ว่าตนเองกำลังเข้าใกล้ความจริงในประวัติศาสตร์ทีละนิด ๆ
มวนบุหรี่ที่อยู่ระหว่างนิ้วมือของหลินรั่วหวีมอดจนหมดไปแล้ว เมื่อลมพัดก็ปลิวลงมาอย่างช้า ๆ
เหมือนกับชีวิตหนึ่งของคนเรา เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ไม่ว่าจะรุ่งโรจน์สักเพียงใด สุดท้ายก็ต้องปิดฉาก
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ค่อย ๆ พูดคำคำหนึ่งที่ถังเฉาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“กู่”
“เดิมฉันแซ่กู่”
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปนานเขาก็กลืนน้ำลายลงไปแรง ๆ หนึ่งอึก แล้วจึงเอ่ยถามต่อไปว่า “พ่อตา แล้วทำไมคุณถึงเปลี่ยนแซ่เป็นหลินแล้วล่ะครับ?”
“เพราะว่าคนที่ช่วยชีวิตฉันแซ่หลิน”
ดวงตาของหลินรั่วหวีล้ำลึกหาใดเปรียบ พูดคำพูดเมื่อครู่ซ้ำอีกรอบหนึ่ง
ถังเฉามองเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายจากในดวงตาของเขา มองเห็นความรัก ความเกลียดชัง ความแค้น จากนั้นทั้งหมดก็กลับเข้าสู่ความสงบ
นิ่งไปพักหนึ่ง หลินรั่วหวีก็เอ่ยต่อไปว่า “ตระกูลของฉันล่มสลายไปแล้ว มีเพียงฉันกับลูกพี่ลูกน้องของฉันเท่านั้นที่เป็นผู้รอดชีวิต ผู้มีพระคุณของฉันบอกกับฉันว่า จำเป็นจะต้องปกปิดแซ่ของตัวเองเอาไว้ ดังนั้น ฉันจึงปกปิดแซ่ของฉัน เปลี่ยนเป็นแซ่หลิน”
หัวใจของถังเฉาเต้นระรัว นี่เดิมทีควรจะเป็นความแค้นที่สูงเทียมฟ้า แต่ว่าหลินรั่วหวีกลับใช้น้ำเสียงที่สงบนิ่งถึงเพียงนี้พูดมันออกมา
แต่ก่อนถังเฉาคิดว่าตนเองกับหลินรั่วหวีต่างกันไม่เท่าไหร่ แต่ว่าในตอนนี้เขาถึงจะได้รู้ว่า สิ่งที่หลินรั่วหวีพบเจอมาห่างจากที่เขาคิดเอาไว้มาก
“ดังนั้นคุณมาจากตระกูลกู่ ราชวงศ์ที่สิบ!”
สีหน้าของถังเฉาเคร่งขรึม เอ่ยเสียงต่ำ
“ใช่ นั่นเป็นตระกูลใหญ่ที่รุ่งโรจน์ตระกูลหนึ่งที่ไม่มีเรื่องราวบันทึกในประวัติศาสตร์!”
“ทั้งใต้หล้านี้มีเพียงตระกูลกู่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด!”
“ไม่มีศัตรูหน้าไหนที่ตระกูลกู่ปราบไม่ได้ ราชวงศ์ต้าเซี่ยในตอนนี้ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลกู่ในตอนนั้น!”
หลินรั่วหวีเอ่ยอย่างช้า ๆ บรรยายประวัติศาสตร์ในอดีตที่ยาวนานนั่น
ถังเฉาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า ที่มีตระกูลหลวงแห่งเมืองซื่อจิ่วในตอนนี้รวมไปถึงราชวงศ์ต้าเซี่ยด้วย ล้วนแต่หนีไม่พ้นตระกูลกู่
แม้ว่าต่อให้มีการเตรียมใจมาแล้ว ประโยคแรกของหลินรั่วหวีก็ยังทำให้เขาตกตะลึงไป
“พวกที่ล้างบางทั้งตระกูลกู่ที่เป็นตระกูลหนึ่ง ก็คือราชวงศ์แปด!”