เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 869 ความในใจ
“เหอะๆๆ….ฮ่าๆๆๆๆ!”
ห้องส่วนตัวเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใดๆ จู่ๆเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของฉินกวนฉีก็ดังขึ้น
เสียงหัวเราะค่อยๆเปลี่ยนจากโทนต่ำไปยังโทนสูง ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างเหิมเกริมในที่สุด
ฉินกวนฉีหัวเราะ แต่ไม่ว่าจะเป็นฉินผู่หยางหรือฉินเจียนเวยต่างขำไม่ออกเลยสักนิด สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดอย่างไม่อาจอธิบายได้
ใครๆก็ฟังออกว่าเสียงหัวเราะของฉินกวนฉีนั้นออกจะดุร้ายน่ากลัว ซึ่งแตกต่างจากอารมณ์ของเขาตอนปกติอย่างสิ้นเชิง
ฉินกวนฉีตอนปกตินั้น สุภาพเรียบร้อย เป็นคนมีมารยาท ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มักจะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเสมอ รอยยิ้มนั้นราบเรียบทว่าแฝงไว้ด้วยภูมิปัญญา แต่ฉินกวนฉีในตอนนี้กลับเหมือนอสูรที่กำลังคลุ้มคลั่ง รอยยิ้มบนใบหน้านั้นเห็นแล้วน่าขนลุกยิ่งนัก
ฉินผู่หยางและฉินเจียนเวยต่างมีความรู้สึกผวาในใจ ขนลุกไปทั้งแขน
พวกเขารู้ว่าถังเฉาประสบความสำเร็จในการทำให้เขาโมโห
แต่หันกลับมามองถังเฉา สีหน้าของเขาดูสงบอย่างน่าประหลาด เขายกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่ม
แปะแปะแปะ!
เมื่อหัวเราะจนพอแล้ว ฉินกวนฉีก็ปรบมือและหันมองถังเฉาพร้อมเอ่ย “สมกับเป็นคนที่ฉันเห็นเป็นคู่ต่อสู้ นายเดาถูกแล้ว ฉันระแวงนายจนแทบจะกลายเป็นมารในใจแล้วล่ะ—-”
“ครั้งแรกที่ฉันเห็นนาย ฉันก็รู้แล้วว่านายไม่ใช่คนธรรมดา การได้ประมือกับนายทำให้ฉันอึ้งไปเลย”
“ครั้งแรกที่พบกันนายก็ทำให้ฉันอึ้งเหมือนกัน ไม่ค่อยมีคุณชายที่มีแรงภายในเท่าไหร่หรอกนะ”
ถังเฉาแทรกขึ้นอย่างถูกจังหวะ
“……”
สายตาของฉินกวนฉีมืดมนไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่ได้อาละวาด เขาพูดต่อ “แต่ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เห็นนายเป็นคู่ต่อสู้ ตอนที่ฉันให้ความสำคัญกับนายจริงๆคือตอนประชุมแดนเหนือในเมืองเจียงเฉิง คนที่ทำให้หงเทียนหยา หัวหน้าสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิงยำเกรงได้ต้องแข็งแกร่งขนาดไหน”
“น่าเสียดายที่คำถามนี้ถูกกำหนดให้ไม่มีคำตอบ นายไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในการประชุมแดนเหนือ”
“เรื่องนั้นก็ไม่แน่”
ถังเฉาแทรกขึ้นอย่างถูกจังหวะอีกครั้ง แม้แต่ฉู่หยางที่เมาอยู่ข้างๆก็สร้างขึ้นมาบ้างแล้ว
ฝ่ายหลังตาโต มองถังเฉาอย่างเหลือเชื่อ เขากำลังจะปริปาก สายตาของถังเฉาก็มองมาทางนี้
ฉู่หยางจึงหุบปากและรู้ว่าถังเฉาไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตน
หากฉินกวนฉีรู้ว่าม้ามืดที่ใหญ่ที่สุดในการประชุมแดนเหนือก็คือถังเฉา ไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาจะน่าตื่นตาขนาดไหน?
ฉินกวนฉีพูดต่อ “ตอนนี้นายเป็นคนที่พอมีชื่อเสียงในเมืองซื่อจิ่วแล้ว รู้มั้ยว่าพวกเขาเรียกนายว่าอะไร พวกเขาเรียกนายว่า ‘ท่านอ๋องน้อย’”
“ท่านอ๋องน้อย?”
ถังเฉาตลกกับคำเรียกขานนี้
“ใช่แล้ว นายคือแกะดำในแวดวงของพวกเรา การกระทำของนายคาดการณ์ไม่ได้ นายแทบจะล่วงเกินตระกูลหลวงในเมืองซื่อจิ่วไปหมดแล้ว แต่นายกลับยังมีชีวิตอยู่ ฉันรู้สึกทึ่งมากเลยล่ะ เอาแค่เรื่องนี้ฉันสู้นายไม่ได้”
ฉินกวนฉีมองถังเฉาและพูดอย่างเปิดเผย
เมื่อได้ฟัง สายตาของถังเฉาฉายแววประหลาดใจ
สามารถยอมรับข้อบกพร่องและความผิดพลาดของตัวเองต่อหน้าศัตรูได้เป็นเรื่องที่หลายๆคนไม่สามารถทำได้ แค่จุดนี้ฉินกวนฉีก็นำหน้าคนจำนวนมากไปแล้ว
“คนแบบนาย หากได้เป็นเพื่อนนั้นอันตรายมาก ได้เป็นศัตรูจะยิ่งอันตรายกว่า”
ฉินกวนฉีพูดตรงเข้าประเด็น
เมื่อได้ฟัง ฉินผู่หยางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเรื่องนี้เขาเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์
ตั้งแต่นาทีที่ถังเฉาหวนกลับหลังจากหายตัวไปห้าปี เขาก็เป็นแกะดำมาโดยตลอด
กฎและข้อจำกัดเป็นเหมือนเพียงของจำลองในสายตาเขา ในแวดวงคนชั้นสูง ทุกคนต่างสุภาพและสง่างาม แต่ละวันต้องสวมหน้ากากเสแสร้งปั้นยิ้มเพื่อพูดคุยกับผู้อื่น ต่อให้จะเกลียดคนคนหนึ่งมากขนาดไหนเวลาเจอกันก็ต้องยิ้มทักทาย และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น—-คนไม่รู้คงนึกว่าพวกเขาสนิทกันมาก
แล้วค่อยแทงข้างหลังกันอีกที ไม่เอาให้บ้านแตกสาแหรกขาดก็จะไม่ยอมเลิกรา
ก่อนที่ถังเฉาจะปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแวดวงคนชั้นสูงในหมิงจูหรือเมืองเจียงเฉิงหรือแม้กระทั่งเมืองซื่อจิ่ว ต่างเป็นสภาพนี้หมด
แต่การปรากฏตัวขึ้นของถังเฉาทำลายความสมดุลนี้ เขาทำให้การสมาคมระหว่างผู้คนไม่ต้องซับซ้อนขนาดนั้น และไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากเสแสร้งทุกวัน
ฉันไม่ชอบหน้านายก็จะด่านาย นายกล้าด่าฉันฉันก็จะเล่นงานนายจนแม่นายยังจำนายไม่ได้—-สุภาพบุรุษไม่ลงมือต่อกัน คุณชายตระกูลใหญ่ที่เคยถูกถังเฉาสั่งสอนไม่ถึงร้อยก็หลายสิบคนอยู่
แต่ตอนนี้ถังเฉากลับยังอยู่ดี เรื่องนี้ทำให้ฉินผู่หยางทึ่งมาก
“เช่นนั้น ฉันจึงเหมือนตือโป๊ยก่ายที่ส่องกระจก ไม่เหลือความเป็นคนแล้วสินะ?”
ถังเฉาสนใจกับความคิดเห็นของฉินกวนฉีมาก เขายิ้มกว้างและถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินกวนฉีไม่ได้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ส่ายหน้า กลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องเคียดแค้นต่อกัน ชีวิตทั้งชีวิตก็ต่างคนต่างอยู่ แต่ห้าปีก่อนนายตัดขาข้างหนึ่งของน้องชายฉัน”
“แล้วไง?”
ถังเฉามองขาข้างหนึ่งที่ขาดไปของฉินผู่หยางและถาม
ความหมายก็คือ ขาที่ฉันตัดไปเป็นของฉินผู่หยาง เกี่ยวอะไรกับนาย?
ฉินกวนฉีหัวเราะและกล่าวขึ้น “ถังเฉา นายยังไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลใหญ่เป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าการจะเป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง—-ภูมิปัญญา ความกล้าหาญ เส้นสาย อิทธิพล เงิน ขาดไม่ได้สักอย่าง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ส่วนสำคัญ”
ฉินกวนฉีเปลี่ยนประเด็นและเอ่ยขึ้น “สำคัญที่สุดคือต้องปกป้องพวกพ้องตัวเอง”
“นายตัดขาข้างหนึ่งของผู่หยางเท่ากับตัดขาข้างหนึ่งของฉัน ฉันต้องล้างแค้นนาย ตระกูลฉินไม่เคยกล้ำกลืนความอัปยศไว้กับตัวเองเด็ดขาด”
“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”
ถังเฉาเข้าใจแล้วว่าทำไมอยู่ๆฉินกวนฉีถึงเป็นปฏิปักษ์กับตัวเองโดยไม่มีเหตุผล หากจะหาสาเหตุกเพราะห้าปีก่อนเขาตัดขาข้างหนึ่งของฉินผู่หยาง
แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลนี้ทั้งหมด ประเด็นหลักคือฉินกวนฉีอยากเป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูลฉี
“พูดได้น่าฟัง แต่สุดท้ายก็เพื่อความพึงพอใจของตัวนายเองนี่”
ถังเฉามองฉินกวนฉีและหัวเราะเย็นๆ “แต่ฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว นายคิดว่านายจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่?”
ฟึ่บ!
ประโยคนี้ของถังเฉานี้ทำให้สีหน้าของทุกคนในที่นี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยในชั่วพริบตา
ฉินผู่หยางตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด
“ถังเฉา นี่นาย…..”
ฉินกวนฉีก็เข้าใจแล้วว่าจุดประสงค์ที่ถังเฉามาเยี่ยมชมรมหมากรุกเป่ยโต่วในยามค่ำคืนนั้นคืออะไร สายตาของเขาอึมครึมลง “นายมาเพื่อฉินผู่หยางหรอ? แต่นายบอกว่าจะยุติการร่วมมือระหว่างนายกับฉินผู่หยางนี่?”
“นั่นก็เป็นแค่ระเบิดควันที่ทำให้นายไม่คลางแคลงใจเท่านั้นแหละ”
ถังเฉายิ้มและเอ่ยขึ้น “นายดักฟังโทรศัพท์ของฉินผู่หยางใช่มั้ย? ฉินผู่หยางรู้ว่าคืนนี้นายจะไม่กักเก็บความทะเยอทะยานของนายอีกต่อไป เขาต้องหาคนช่วยแน่ นายจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า นายคิดว่าฉันไม่รู้ตัวหรอ?”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ สีหน้าของฉินผู่หยางก็ยิ่งไม่ไหวอีก เขาหันมองฉินกวนฉีอย่างควบคุมไม่ได้
มือถือของตัวเองโดนดักฟังหรือนี่?
สายตาของฉินกวนฉีก็มืดมนลง “ดังนั้น นายจึงแกล้งพูดว่าจะยุติการเป็นพันธมิตรกับฉินผู่หยางใช่มั้ย?”
“ถูกต้อง ตอนนี้ได้เวลาห้ำหั่นแล้ว”
ถังเฉาค่อยๆยืนขึ้น พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ