เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 873 สามสิบปีบารมีผลงาน
“……”
การจู่โจมของฉินกวนฉีเหี้ยมโหดมาก ระยะห่างที่ใกล้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะถังเฉา หรือจะเป็นฉู่หยัง ล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอการฆ่าพุ่งเข้ามาใส่ซึ่งหน้า
ฉู่หยังถึงกับกลั้นหายใจ แม้แต่ถังเฉาเอง ก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือ
นาทีต่อมานั้นเอง แววการฆ่าในตัวฉินกวนฉีมลายหายสิ้น ทุกอย่างหยุดสงบเงียบ
ให้แม้แต่ฉินผู่หยางและฉินเจียนเวยที่เฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ ต่างอดไม่ได้ลุกยืนขึ้น มองงงอ้าปากค้าง
“อะไรกันนี่……..”
ฉินผู่หยางตกใจอย่างสุดขีด ลูกกระเดือกขยับกลิ้ง พูดเสียงออกฟังไม่เป็นศัพท์แม้สักคำ
ถังเฉาหยีตาอย่างเห็นถึงอันตราย มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีใครคิดฝัน
ร่างฉินกวนฉีที่แข็งทื่ออยู่เบื้องหน้า มือขวาของเขาเงื้อง่าขึ้นสูง ในท่าที่จะกำหมัดซัดลงไป แววตาของเขายังคงดูเหี้ยม—–ถึงขนาดว่าถ้าไม่เห็นรูโหว่เขรอะเลือดตรงหน้าอก ใครก็ไม่คิดว่าชีวิตของเขาสิ้นสุดแล้ว
“ถัง…….ถังเฉา….”
ตัวฉินกวนฉีเอง ก็ได้ก้มมองรูโหว่บนร่างของตัวเอง เอามือคลำไป เป็นเลือด
ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความข้องใจมองดูถังเฉา เผยอปากหน่อย เหมือนว่าจะพูดอะไร
ฉับ!
แต่แล้ว โดนเข้าอีกทีหนึ่ง
หว่างคิ้วฉินกวนฉีโดนซัดทะลุ เลือดพุ่งสาดกระเซ็น ครั้งนี้ แววตาของเขาดับสิ้น ร่างกายอ่อนยวบล้มลง
ฉินกวนฉี ตายสนิท
บรึม!
ทุกคนที่ต่างได้สติกลับมา ตายังเบิ่งค้างด้วยงุนงง สมองว่างโล่ง เป็นเวลาครู่นาน แต่ละคนพูดอะไรไม่ออก
“ตายแล้วเหรอ? ตายอย่างนี้นี่นะ?”
ฉินผู่หยางพึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขยับมือแตะสัมผัสไม้เท้าในมือสองสามครั้ง จึงได้เชื่อว่าที่เกิดอยู่เบื้องหน้านั้นเป็นความจริง
หลังจากนั้น เขาอดไม่ได้กับความตื่นเต้นมองไปที่ถังเฉา “คุณถังครับ ดีที่คืนนี้ได้คุณช่วย ผมถึงรอดชีวิตมาได้!”
แต่ทว่า ถังเฉายังไม่พูดอะไร สีหน้าคงยังดูเคร่งเครียด พูดเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ใช่นะ เขาถูกคนอื่นฆ่าตาย”
ฉินผู่หยางทำหน้ายิ้มผงกหัว “ผมทราบครับ ก็คงจะเป็นเจ้ามังกรที่อยู่ข้างหลังคุณชายฉู่นั่นมัง?”
“……”
ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปรอบ ๆ ห้องอย่างเงียบ ๆ
เขากับเจ้ามังกรก็คือคนคนเดียวกัน ในที่นี้นอกจากฉินผู่หยางแล้ว หลายคนต่างรู้ดี ทว่าเมื่อครู่นี้เขารู้สึกอย่างชัด ๆ ด้วยตัวเองในการได้สัมผัสกับแรงพลังที่หนักหน่วง แฝงเร้นอยู่ในห้องนี้
และก็ต้องเป็นคนคนนี้นี่แหละ ที่ฆ่าฉินกวนเฉา
ภายในห้องพิเศษนี้ เงียบสนิทไม่มีเสียง
การตายของฉินกวนฉี มิเพียงไม่ได้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แต่กลับตึงเครียดหนักขึ้น
เพ่งมองไปหลายวิ. ทันใดสายตาถังเฉานั้นจ้องจับที่ตู้เก็บอุปกรณ์หมากรุก แล้วค่อย ๆ ปริปาก
“ในเมื่อฆ่าคนแล้ว ก็อย่ามัวซุกตัวอยู่เลย ทำไมไม่ออกมาให้เห็นหน้ากันหน่อยหละ?”
แชวป!
พอเสียงพูดออกไป ไม่ว่าจะฉินผู่หยาง หรือจะฉินเจียนเวย ต่างเปลี่ยนสีหน้า หันมองไปรอบด้าน
ในห้องพิเศษนี้ ยังมีคนอื่นแอบซ่อนอยู่ด้วยอีกหรือ?
แกร๊ก!
เสียงพูดเพิ่งจบ ประตูตู้เสื้อผ้าค่อย ๆ แง้มออกเห็นเป็นร่อง
ชายหนุ่มวัยกลางคนในเสื้อสีเขียวคนหนึ่งเดินออกมา มองถังเฉาด้วยสายตาทึ่ง พูดเสียงเยือกเย็นว่า “ไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้ว่าข้าซ่อนตัวอยู่ตรงไหน?”
ฉินผู่หยาง ฉินเจียนเวยกับทุกคน ขยับก้าวถอยโดยสัญชาตญาณ เหงื่อซึมเย็นวาบกันกลางสันหลังอย่างไม่รู้ตัว
เจ้าหนุ่มวัยกลางเสื้อเขียวคนนี้ ยืนมองพวกเขาอยู่ในตู้ตั้งแต่ต้นเลยหรือนี่?
ฉินกวนฉี ก็ถูกสังหารด้วยคนคนนี้หรือ?
ถังเฉายิ้มพลางจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง “คุณปลอมตัวได้ดีมาก ๆ ใช้ในการซ่อนตัวหนีตาย ก็จัดได้ว่าไม่เลว”
หนุ่มกลางคนเสื้อเขียวได้ยินดังนั้น แววตาฉายแสงวาวเฉียบ แต่ไม่มีอาการโกรธ
เขาหัวเราะแล้วพูดกับถังเฉาว่า “เจ้าหนุ่มน้อยมีเกมหมากที่ไม่เลวเลยนะ”
“มาลองกันสักเกมไหมละ?”
ถังเฉาถามกลับด้วยสีหน้าสบาย ๆ
หนุ่มกลางคนเสื้อเขียวปฏิเสธนิ่ม ๆ “คงไม่ละ ข้ายังมีภารกิจแบกอยู่ เอาไว้วันอื่นเถอะ”
ฉินผู่หยาง ฉู่หยัง และยังมีฉินเจียนเวยต่างมองหนุ่มกลางคนนั้นด้วยสีหน้าหวาดผวา พวกเขารู้ดีถึงพลังฝีมือของฉินกวนฉี แต่เจ้าหนุ่มกลางคนคนนี้สามารถปลิดชีวิตฉินกวนฉีได้อย่างไม่มีใครรู้ตัว แสดงให้เห็นได้ว่ามีพลังฝีมือที่น่าสะพรึงกลัวมาก
ถังเฉากลับให้รู้สึกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรเอาแต่จะคุยกับเขาต่อไป
เขาทำหยีตาขึ้นมา มองสำรวจดูหนุ่มใหญ่เสื้อเขียวนั่น พูดว่า “ในเมื่อไม่เล่นหมากรุก แล้วทำไมภายในตาของท่านจึงมีแต่แววฆ่า?”
“มีเหรอ?คุณจะไวในจริตมากไปมั้ง”
หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวก็หยีตา จ้องมองถังเฉาแล้วพูด
เหล่าคนที่อยู่ทั้งหมดให้รู้สึกได้ถึงภาษาพูดของการเสียดสีทิ่มแทงใส่กัน บรรยากาศกดดันอากาศควบแน่น พาให้หายใจกันไม่ทั่วท้อง
“ไหน ๆ คนก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว ภารกิจของท่านก็น่าจะเสร็จสิ้น มาถึงงานชมรมหมากรุกเป่ยโต่วไม่เล่นหมากรุกแล้วก็จะกลับ มันดูไม่สมเหตุผลเลยนะ เล่นสักเกมแล้วค่อยไปเถอะ”
ถังเฉาพูดด้วยเสียงหัวเราะ จะรั้นดึงหนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวอยู่เล่นหมากรุกให้ได้
“ฉู่หยัง จัดกระดานหมากรุก!”
ถังเฉาร้องสั่งเสียงดัง
ฉู่หยังชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าขัด นำหมากดำกับหมากขาวออกมา จัดวางในตำแหน่ง
ในดวงตาชายกลางคนเสื้อเขียวสาดประกายแสงแวบหนึ่ง “เจ้าหนุ่ม นี่แกจะรั้นให้ข้าอยู่เล่นหมากรุกกับแกให้ได้เลยเชียวหรือ?”
“ท่านผู้เฒ่าก็ตัดสินใจจะไม่ปล่อยคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?”
ถังเฉาอมยิ้มย้อนถาม
ส้วบ!
คำพูดนี้ออกมา แต่ละคนชะงักอึ้ง ตามด้วยความหวาดผวาเข้มข้นผุดขึ้นในตา
หนุ่มกลางคนเสื้อเขียวสังหารฉินกวนฉี เป็นที่เห็นประจักษ์ของพวกเขาทั้งหมด คู่กรณีจะยอมปล่อยพวกเขาออกไปได้หรือ?
ได้ยินดังนั้น หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวก็มีอาการอึ้งชะงัก แต่ก็ไม่พูดอะไร
ถังเฉาพูดต่อว่า “ไหน ๆ การปรากฏตัวของคุณก็เป็นที่ปรากฏแล้ว ไม่สู้ให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของคุณก็ให้ได้รับเชิญออกมาด้วยเถอะ ให้ผมได้ดูหน่อยว่า ผู้ที่อยากจะฆ่าฉินกวนเฉานั้นเป็นใครกันแน่”
ใบหน้ายิ้มแย้มของหนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวเข้มข้นขึ้นอีก พินิจพิศมองถังเฉา หัวเราะเบา ๆ พูดว่า “เจ้าหนุ่ม มีคำพูดอยู่คำหนึ่งพูดไว้ดีมากนะ ความสอดรู้พาแมวไปตาย เรื่องอะไรต่าง ๆ จะต้องอยากไปรู้ทั้งหมด ระวังจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
“เหมาะพอดีเลย บังเอิญไอ้ตัวผมนี้ มีนิสัยเสียแบบนี้ด้วย อะไรที่รู้ไม่แจ่มแจ้ง มันจะพานอนไม่หลับ”
ถังเฉาพูด ๆ ไป ทันใดนั้นก็ได้หัวเราะออกมา ส่งเสียงกังวานออกไปว่า “ท่านผู้เฒ่าฉิน ผมทราบดีว่าเป็นท่าน จะไม่ปรากฏตัวออกมาให้ได้พบหรือ?”
บรึม!
คำพูดนี้ออกมา ฉินผู่หยางกับฉินเจียนเวยทั้งคู่ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง มองไปที่ประตูของห้องพิเศษนี้โดยสัญชาตญาณ
เห็นแต่นอกประตูมีแต่ความว่างเปล่าไม่เห็นมีคน สิ่งที่มีให้เห็นเป็นเงาเฉียง ๆ ทอดนิ่งไม่ขยับอยู่นอกประตู
ผ่านไปสักครู่ เงาที่เห็นนั้นเดินตามไม้เท้าเข้ามา ปรากฏเป็นชายชราอายุกว่าแปดสิบปี
เขาเดินค้ำมากับไม้เท้า รอยยิ้มเต็มบนใบหน้า ดูเหมือนคุณปู่ผู้มีใจเมตตาอารี
คือหัวหน้าตระกูลฉิน ฉินโช่ววงนั่นเอง
เป็นถึงหัวหน้าตระกูลฉิน ฉินโช่ววงไม่มีความเย่อหยิ่งกักขฬะผยอง ใช้ชีวิตกินอยู่อย่างเรียบง่ายสมถะอยู่กับที่ น้อยครั้งนักที่จะออกสังคม แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่ ก็ยังตัดด้วยผ้าดิบแถมมีรอยปะ
หนุ่มวัยกลางคนเสื้อเขียวเห็นฉินโช่ววงปรากฏตัวมาจริง ๆ ทำเอาตระหนกตื่นออกนอกหน้าขึ้นมาโดยพลัน
“สามสิบปีเคล้าคลุกธุลีดินสร้างผลงานบารมี แปดพันลี้ผันผวนกับเมฆครึ้มจันทร์ผ่อง”
ฉินโช่ววงนั่งลงข้างหน้าถังเฉา ในมือล้วงเอาหมากตัวขุนสีดำออกมา ค่อย ๆ คลึงเล่นด้วยนิ้วมือ สีหน้ายังคงเป็นรอยยิ้มที่นุ่มเนียน และดูเหมือนพึมพำพูดกับตัวเอง “ไล่เรียงจากตระกูลฉินที่เป็นจากเผ่าตระกูลเล็ก ๆ ผันผ่านแพร่พันธุ์ขยายเผ่า ท้ายนี้ได้มาหยัดยืนค้ำฟ้าเป็นตระกูลใหญ่บนผืนแผ่นดินนี้ นับได้ครึ่งศตวรรษอย่างยาวนานมา ที่ข้ากลัวมากที่สุดไม่ใช่ตระกูลจะมีอันเสื่อมทรามลง และก็ไม่ใช่เพราะรอบข้างมีศัตรูที่แข็งกล้า แต่มันคือเรื่องไม่มีทายาทสืบทอด—-ข้ามาเฉพาะด้วยเรื่องนี้ หวังว่าคุณจะไม่ขวางข้า”