เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 880 เจ้าแห่งซื่อจิ่ว
“แก…..”
หลังจากฉินผู่หยางได้พูดแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของตัวเองแล้ว แววตาฉินโซวเวิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เป็นแววตาที่ยากจะอธิบายได้ด้วยภาษาพูด
ภายในลูกตาที่พร่ามัว มีทั้งความโกรธ ความระอาใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือความผิดหวัง
นอกเหนือจากนั้น ยังมีเหมือนอะไรใหม่สักอย่าง
ฉินโช่ววงรับใช้ราชวงศ์ตระกูลฉินมาทั้งชีวิต และภักดีมาตลอดชีวิต ไม่เคยคิดจะทรยศต่อราชวงศ์ตระกูลฉิน
แต่มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของหลานคนเล็กนี้ เขามองเห็นสายพันธุ์ทรยศ กำลังแตกรากงอกต้นกล้า
หากตระกูลหลวงตระกูลฉินแยกออกไปจากตระกูลราชวงศ์ รูปแบบชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร ฉินโช่ววงไม่เคยได้คิดถึงปัญหานี้เลย
เผชิญหน้าประสานตากับฉินโช่ววง ฉินผู่หยางไม่หลบเลี่ยง
แววตาของเขาให้รู้สึกสว่างใสกว่าตัวตนเขาเองเสียอีก
“เอาเถอะ”
ฉินโช่ววงถอนสายตากลับ ที่สุดได้แต่สะบัดโบกมือไป แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สว่างแล้วนั้น พูดไปว่า “แกคิดจัดการยังไง ก็จัดการไปแล้วกัน”
“ครับ ท่านปู่!”
“ท่านปู่ โปรดอภัย!”
ฉินผู่หยางโค้งคารวะอย่างสุดเคารพ น้อมรับคำสั่ง ติดตามด้วยกล่าวคำขอขมา
บัดนี้ รุ่งอรุณมาถึงแล้ว ชีวิตของเขาได้อยู่ต่อ
ตระกูลฉิน ก็กำลังก้าวเริ่มสู่ยุคใหม่ คนยุคเก่าจะได้ปิดฉากตัวเองลงแล้ว
บรรยากาศเศร้าสร้อยที่สุดไม่มีใดเกินตอนจบของวีรชน คาดการณ์ได้แล้วว่า ผู้ที่มาควบคุมดูแลตระกูลฉินหลังจากนี้ก็คือฉินผู่หยาง
ฉินโช่ววงผู้นั่งเฝ้ามองความผันแปรต่าง ๆ ในเมืองซื่อจิ่วมาสองสมัย ในสุดท้ายก็ต้องลาโรงถอยไป
มองหลานที่คำนับโค้งตัวอยู่ แววตาของฉินโช่ววงดูสับสน สะบัดโบกมือไป “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ลุกขึ้นเถอะ”
ฉินผู่หยางลุกขึ้นกลับมา ขณะนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งเริ่มขึ้น แสงส่องบาดตา ตัดฝ่าชั้นเมฆ ส่องจ้าทั่วผืนปฐพี
“ผู่หยาง แกบอกข้ามาหน่อย ที่ว่าจะไม่ยอมสวามิภักดิ์กับตระกูลราชวงศ์ น่าจะไม่ใช่ว่าจะขออยู่เป็นหัวไก่ ไม่ยอมเป็นหางหงส์กระนั้นมัง?”
ฉินผู่หยางมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นเอื่อย ๆ อยู่ไกล ๆ ถามด้วยน้ำเสียงซึม ๆ
นิ่งขรึมอยู่พักใหญ่ ฉินผู่หยางก็ยังคงได้ผงกหัว “ครับ!”
“แกหาคนหนุนหลังได้แล้วหรือ?” แววตาฉินโช่ววงดูลุ่มลึก
ฉินผู่หยางผงกหัวอีก “ไกลห่างถึงฟากฟ้า ใกล้เพียงเบื้องหน้า”
“……”
ขาดคำที่พูดออกมา ฉินโช่ววงงงขึ้นมานิด แต่ก็เข้าใจได้เหมือนว่ารู้อะไรอยู่ พลันหันมองไปยังถังเฉา สีหน้าแสดงออกบอกไม่ถูก
“เขานะหรือ!”
ตั้งสติกลับมาอีกที สีหน้าฉินโช่ววงเปลี่ยนสลับกลับไปมาหลายตลบ ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเลย “ทำไมนะ?ไอ้นี่มันคู่แค้นแกไม่ใช่หรือที่ฟาดขาแกหักไปทั้งสองข้าง?”
“ผมรู้ครับ นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
“คนเราต้องมองไปข้างหน้า”
ฉินผู่หยางหัวเราะอย่างสาแก่ใจ พูดไปว่า “ช่วงก่อนนั้นใจผมก็ยังไปผูกพันกับขาทั้งสองข้างของผม แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว ผมไปถูกเรื่องขาทั้งสองนี้ครอบงำไว้ มันน่าสมน้ำหน้าจริง ๆ ”
“จะว่าไปแล้ว ท่านปู่ ท่านน่าจะรู้ดีในสัจธรรมอันหนึ่งได้ดีกว่าผม—-ในวงการของพวกเรานี้ ไหนเลยจะมีศัตรูจริงและมิตรแท้ตลอดไป เพียงให้มีผลประโยชน์ต่อกันมาถึง ศัตรูมันก็กลายเป็นมิตรกันได้”
ฉัวะ…….
พูดคำนี้ออกมา สีหน้าฉินโช่ววงเปลี่ยนไปลึก ๆ มองไปที่ถังเฉาและฉินผู่หยาง ถามอย่างคิดไม่ตกว่า “พวกเธอก่อนหน้านี้………………”
“ใช่แล้วครับ”
ฉินผู่หยางผงกหัว “ตั้งแต่ในงานประชุมแดนเหนือ เราก็ได้เริ่มมีพันธสัญญากัน มาจนถึงขณะปัจจุบัน”
“ถึงจะเป็นเช่นนี้แล้วก็ตาม ข้าก็ยังไม่เชื่อว่าลำพังเขาคนเดียว จะสามารถไปเทียบสู้กับตระกูลฉินแห่งตระกูลราชวงศ์ทั้งหมดได้”
ฉินโช่ววงยังคงมีสีหน้าเหยียด ๆ “แล้วยังอีก ตัวมันเองก็จะเอาตัวเองไม่รอดอยู่แล้ว ไปสร้างความแค้นเคืองให้กับตระกูลเย่และตระกูลถังสองตระกูลราชวงศ์ แล้วแกยังเชื่ออีกหรือว่ามันยังจะเอาชีวิตรอดได้?”
“จะว่าอย่างนั้นคงไม่ได้”
ฉินผู่หยางยิ้มจืด ๆ หันกลับไปมองถังเฉา
การสนทนาของเขาทั้งสอง ฉินจิ่วจิงก็ได้ยินอยู่ทั้งหมด
สีหน้ายิ่งฟังไปยิ่งดูไม่น่าดู “ผู้เฒ่าฉิน ท่านนี่แม้กระทั่งหลานของตัวเองก็ยังดูแลเอาไม่อยู่เลยหรือ อย่าลืมในข้อตกลงของพวกเรานะ!สายตระกูลของท่านที่คิดจะกลับสู่ตระกูลราชวงศ์นั้น ล้วนอยู่ในมือของตัวเอง!”
พลันความลำบากใจแสดงออกบนใบหน้าฉินโช่ววง ในขณะนั้นเองถังเฉาเดินประชิดเข้าไป เลิกคิ้วขึ้นสูง “คุณมีปัญหาหรือ?”
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนของราชวงศ์ แล้วผมจะไม่กล้าทำให้คุณอยู่ที่นี่ได้งั้นหรือ?”
ดวงตาของถังเฉาหรี่ลงอย่างน่าสยอง จ้องมองฉินจิ่วจิงพูดด้วยเสียงเยือก
หมายซึ่งบีบบังคับ ไม่มีการต้องซ่อนเร้นแม้แต่น้อย
ความเสียวสยองของการฆ่า ทำเอาฉินจิ่วจิงขนลุกหนาวขึ้นมาทั้งตัว แต่พลันคิดได้ว่า การปรากฏตัวมาที่นี่ตั้งแต่ต้น ก็เพื่อมาฆ่าถังเฉา
หากแม้ถังเฉาต้องการจะฆ่า ให้ตัวเขาทิ้งอยู่ในที่เมืองซื่อจิ่ว ก็คงไม่ใช่เรื่องหนักหนา
แต่ทว่า เขาก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะคนของราชวงศ์ ฝ่ายตรงข้ามคงไม่กล้าทำอะไรเขา
“สายพันธุ์ของพวกเขาล้วนถูกราชวงศ์ของข้านำมาปล่อยเลี้ยงไว้ที่เมืองซื่อจิ่วนี้ เวลานี้คิดว่าจะเอากลับ พวกเขาก็ต้องกลับ หรือว่า พวกเขาคิดจะทรยศกับราชวงศ์หรือ?”
ฉินจิ่วจิงพูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธว่า “ถ้าขืนพวกเจ้าไม่ยอมตาม ข้าก็จะรายงานเรื่องไปยังราชวงศ์ ให้ทางราชวงศ์ส่งยอดฝีมือเพิ่มเข้ามา”
แรกคิดว่าเมื่อได้ยินคำขู่นี้เข้า ถังเฉาจะต้องเกรงกลัว ไม่คิดเลยว่าเขานอกจากไม่กลัวแล้ว ยังหัวเราะกิ๊กกลับมาให้
ไม่มีปฏิกิริยาต่ออีก
กลับเป็นว่าหันช้า ๆ มองไปที่ฉินโช่ววง พูดเนือย ๆ ว่า “ผู้เฒ่าแซ่ฉิน ท่านไม่ใช่หรือที่ยังข้องใจว่าข้าไม่มีความสามารถพอที่จะปกป้องตระกูลฉินได้ งั้นก็จะให้ดู จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าพลังอิทธิพลที่แท้จริง”
พูดจบ เขาควักเอาโทรศัพท์ออกมา ต่อโทรศัพท์เรียกออกไปด้วยท่าทีสบายอารมณ์
“ทั้งหมดเข้ามากันได้แล้ว”
ครืน ครืน…………
ชั่วพริบตาหลังจากปิดโทรศัพท์ พื้นที่ยืนกันอยู่ให้รู้สึกสั่นสะเทือนขึ้นมา
ขบวนรถยนต์จำนวนหลายคันแล่นเข้ามาในระดับแนวราบ แต่ละคันล้วนโรลส์รอยซ์รุ่นล่า หมายเลขทะเบียนรถก็ล้วนนำด้วยอักษรเยี่ยน A ตามด้วย 8 อีกห้าตัว
มูลค่าของรถแต่ละคันคิดแล้ว ล้วนแต่จะเกินหลายสิบล้าน
รถทั้งหมดตรงเข้ามาปิดล้อมที่บริเวณนี้ ประตูรถเปิดออก หญิงสาวขาวเยือกเย็นปานหิมะเดินลงมาจากรถ ตามมาด้วยคนอีกฝูงใหญ่
“คนของตระกูลเจียง!”
เห็นเข้ากับฉากเหตุการณ์นี้ ฉินโช่ววงขวัญสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนในฉับพลัน
“เจียงไป๋เสว่?”
เพียงเห็นผู้หญิงที่นำขบวนมา นัยน์ตาฉินผู่หยางหดหรี่ลง ตามด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างสับสน
เหตุทั้งปวงที่เกิด ล้วนมาจากผู้หญิงคนนี้
ห้าปีที่แล้ว เขาที่ต้องถูกถังเฉาอัดจนขาหักเสียไป ก็เพราะคิดต้องการจะครอบครองผู้หญิงที่เป็นนิยายไปแล้วคนนี้
หลังจากเหตุการณ์ก็ให้รู้สึกสำนึกด้วยความเจ็บแค้นอยู่ แต่ใครจะรู้ได้ เขารักผู้หญิงคนนี้เข้าจริง ๆ เสียแล้ว
ไม่ว่าถึงปัจจุบันนี้ เขาจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะได้ผู้หญิงคนนี้ เพราะหล่อนได้เป็นของผู้ชายที่เก่งกาจกว่า ดีงามสมบูรณ์กว่าแล้ว
ผู้หญิงที่ขาวเยือกเย็นปานหิมะคนนั้น ก็คือเจียงไป๋เสว่
สังเกตเห็นสายตาของฉินผู่หยาง เจียงไป๋เสว่เพียงแต่กวาดสายตามองไปอย่างเฉยเมย เปรียบก็เหมือนลืมไปหมดแล้วกับชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันในการเป็นทหาร ไม่มีอะไรต้องอาวรณ์
หลังจากนั้น หล่อนก็ได้เดินไปที่ข้างถังเฉา สองคนยืนเคียงกัน ช่างเป็นคู่สมแท้จริง
“เขาก็คือคนของตระกูลราชวงศ์?”
เจียงไป๋เสว่หยีตาลง จ้องไปที่ฉินจิ่วจิง ถามออกไป
ถังเฉาผงกหัว
“ดูไม่เห็นจะเก่งเท่าไหร่!”
แววตาของเจียงไป๋เสว่เปลี่ยนมองอย่างเหยียด ๆ ฉินจิ่วจิงถึงกับหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูก เพราะพลังอานุภาพที่ออกมาจากตัวผู้หญิงคนนี้ ดูไม่ได้ด้อยกว่าเขาเลย!
“ตระกูลถัง ตระกูลหลงมาถึงแล้ว!”
อีกสองขบวนรถยนต์เคลื่อนเข้ามา ตระกูลหลงกับตระกูลถังก็ได้มาด้วย
“คุณถัง ท่านไม่เป็นอะไรนะครับ?”
พอลงจากรถ ถังหันเจี๋ยรีบออกจากรถ ถามด้วยความนอบน้อม
“พี่ถังเฉา!”
เสียงใสเจื้อยแจ้วดั่งเสียงไนติงเกลดังเข้ามา
เด็กสาววัยรุ่นสวยใสวิ่งเข้ามา ตามด้วยผู้เฒ่าชราผมขาวมาข้างหลัง
“เจีย เจีย!”
ฉู่หยังมองหลงเจียเจียด้วยสีหน้าตื่นเต้น หลงเจียเจียขมวดย่นคิ้วทั้งสองข้าง ส่งเสียง ฮึ ไม่ใส่ใจด้วย
“เหอ ๆ ”
หลงไป่ชวนเดินมาอย่างองอาจปานมังกรย่างพยัคฆ์ก้าว เพียงแค่นเสียงหัวเราะเยือก ก็เล่นเอาฉินจิ่วจิงเหงื่อแตกจนสันหลังหนาว
“ตระกูลฉู่ ตระกูลเย่เข้ามาถึงแล้ว!”
มีตระกูลหลวงมาอีกแล้ว
ประตูรถเปิดออก เย่หรูอี้ก้าวออกมาในชุดยาวประดับเพชร สวมมงกุฎ ดูเหมือนนางพญาเสด็จ ค่อย ๆ เดินเข้ามา
เย่เซ่าเตี๋ยเดินตามมาติด ๆ ความงามของหล่อนก็ไม่ธรรมดา เพียงเมื่ออยู่เทียบกับเย่หรูอี้ จึงดูด้อยลงไปช่วงแค่เฉียดปลายจมูก
สำคัญที่บุคลิกที่เปรียบกันไม่ได้
บุคลิกของเย่หรูอี้ดูหรูเลิศมาก!
จะขนานให้เป็นราชินีหมายเลขหนึ่งแห่งเมืองซื่อจิ่วต่อจากลั่วเย่นหัวคงก็ไม่เกินไป
“ตระกูลลั่วมาถึงแล้ว!”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ตระกูลลั่วแห่งตระกูลหลวงที่มีลั่วเย่นหัวเป็นผู้นำก็มาด้วย
ลั่วเย่นหัว ลั่วเยนอวิ๋นสองพี่น้องเดินจูงมือกันเข้ามาด้วยกัน คนหน้าเป็นแม่ตัวอย่างแห่งแผ่นดิน รับได้สรรพสิ่ง คนหลังเปล่งแสงบรรเจิดรัศมีข่มคน วางตัวไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
พอเมื่อได้เห็นถังเฉา ทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
“ไม่ได้เห็นหน้ากันเสียนาน มาให้น้าเล็กดูทีซิ หลานเขยฉันคนนี้ผอมลงไปไหม?”
ลั่วเยนอวิ๋นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กวักมือเรียกถังเฉา
ถังเฉาก็สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป หัวเราะพร้อมตะโกนเรียก “น้าเล็ก”
พอหันมองไปที่ลั่วเย่นหัวก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเข้มดูจริงจัง ขานเรียกด้วยความนอบน้อม
“คารวะท่านแม่ยาย”
บรึม!
ฉินโช่ววงยืนมองจนเซ่อ ในใจพูดไม่ถูกถึงความสะเทือนขวัญ
นับรวมไปถึงหลินชิงเสว่ภรรยาของถังเฉาที่เป็นธิดาคนโตของตระกูลหลิน เท่ากับว่า ถังเฉาคนเดียวนี้ ล้วนมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกับทั้งเก้าตระกูลหลวงในเมืองซื่อจิ่ว
นับร้อยปีผ่านมรสุมมาของเมืองซื่อจิ่ว เคยมีใครไหมได้แบบนี้?