เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 895 ร่างโคลน
เธอรู้จักฉันเหรอ?
เธอเป็นใคร?
หลังจากที่หลี่เห้าถามสองคำถามนี้ออกมา เจียงไป๋เสว่ตะลึงค้างทันทีเลย
ลูกตาทั้งสองข้างหดลงเหลือนิดเดียวโดยตรง มองคนคุ้นเคยตรงหน้าคนนี้ด้วยความอึ้งทึ่ง และเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชายแปลกหน้าที่สุด
“นาย……เมื่อกี้พูดอะไรนะ?”
เธอมองหลี่เห้าตาไม่กะพริบ ถามด้วยเสียงสั่นเครือ “นายไม่รู้จักฉันแล้วเหรอ? ฉันคือเจียงไป๋เสว่ เจียงไป๋เสว่ไง!”
“ทำไมถึงเป็นนาย? หลายปีมานี้ นายทำงานให้หว่างเหลี่ยงจริงเหรอ?”
ถนนสวนสาธารณะที่มืดมิด ปกคลุมด้วยเมฆดำ บดบังดวงจันทร์ไว้แล้ว นอกจากไฟข้างทางที่ส่องสลัวอยู่สองข้างทาง ก็ไม่มีแหล่งของแสงที่อื่นอีก
ยังมีเสียงอีการ้องกาๆ สองรอบอยู่ไม่ขาดสาย ทั้งหมดทุกอย่างนี้ ล้วนแทรกซึมด้วยกลิ่นอายโศกเศร้าและผิดปกติ
หลินชิงเสว่ หลินจ้าวหยูน ยังมีหญิงสาวชุดกิโมโนที่ชื่อโอดะไอ สมองประมวลผลเข้ามาไม่ทัน มองเจียงไป๋เสว่ที่อารมณ์ใกล้จะเสียการควบคุมอยู่ตรงนี้อย่างมึนงง
พวกหล่อนไม่รู้ว่าทำไมเจียงไป๋เสว่ถึงฮึกเหิมขนาดนี้ แต่พวกหล่อนรู้มานิดหน่อยว่าเจียงไป๋เสว่และผู้ชายเสื้อโค้ตตรงหน้าคนนี้มีเรื่องความรักความแค้นพัวพันกันลึกซึ้งมาก
เยี่ยนซื่อเฉิงมองเจียงไป๋เสว่ด้วยสายตาสงสาร สุดท้ายยังเดินมาถึงขั้นนี้จนได้
น่าเสียดายที่เจียงไป๋เสว่เดาถูกแค่ครึ่งเดียว
ความจริงที่แท้จริงยังโหดร้ายกว่านี้มาก
“นายพูดอะไรบ้างสิ!”
แวบหนึ่งเสียงเจียงไป๋เสว่ดังขึ้นแปดหลอด สายตาค่อยๆ โกรธแค้นอยู่บ้าง จ้องหลี่เห้าไม่ขยับ “ทำไมไม่พูดจาบ้าง? นายไม่รู้จักฉันได้ยังไง ฉันกับถังเฉาตามหานายมาสามปีแล้ว นายรู้ไหมว่าสามปีนี้ฉันผ่านมันมายังไง?”
เสียงตะคอกของเจียงไป๋เสว่มีความเศร้าเสียใจนิดหน่อย ดังสะท้อนอยู่ทั่วทั้งสวนสาธารณะเชิงนิเวศ ค่ำคืนที่ลมเย็นโชยมา ยิ่งเพิ่มความรู้สึกหนาวเย็นระดับหนึ่ง
หลินชิงเสว่ที่ช่วยสิ่งใดไม่ได้เลยทั้งสิ้นรู้ว่าสถานการณ์เวลานี้สูญเสียการควบคุมอยู่บ้าง หล่อนท่องอยู่ในใจไม่หยุด หวังว่าถังเฉาจะรีบมาหน่อย
หลังจากเจอหลี่เห้าเข้า ก็เอาพละกำลังและจิตใจส่วนใหญ่ในเวลานี้ของเจียงไป๋เสว่ไปจนเกลี้ยง
ดูขึ้นมาแล้วเธอเหมือนกับวิญญาณหลุดลอยไป อาศัยเพียงพลังชีวิตเฮือกเดียวพยุงตัวไว้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลมหมดสติไปได้ทุกเมื่อ
เธอหายใจหอบ ถลึงตาใส่หลี่เห้าไม่ขยับ หวังอย่างแรงกล้าว่าหลี่เห้าจะสามารถพูดอะไรบ้าง
เกี่ยวกับการพบกันอีกครั้งของเธอกับหลี่เห้านั้น เธอเคยซักซ้อมภาพนับไม่ถ้วนเอาไว้ในหัวสมอง แต่ไม่มีภาพที่เป็นแบบนี้เลยสักอัน
การพบกันอีกครั้งระหว่างพวกเขาไม่ควรเป็นแบบนี้สิ!
ที่น่าเสียดายคือเผชิญหน้ากับเจียงไป๋เสว่ที่อารมณ์หวั่นไหวตกใจอยู่บ้าง แต่หลี่เห้ากลับเพียงแค่นิ่งเงียบอย่างมาก
ในสายตาของเขามีความฉงนสนเท่ห์ และมีความไม่เข้าใจนิดๆ
เขาดูขึ้นมา—-เหมือนว่าไม่รู้จักเจียงไป๋เสว่จริงๆ!
“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จักเธอจริงๆ”
ในที่สุดหลี่เห้าก็เอ่ยปาก มองเจียงไป๋เสว่ด้วยท่าทางที่ดูขึ้นมาแล้วรู้สึกผิดอยู่บ้าง พูดกับเธอว่า “แต่เธอให้ความรู้สึกที่น่าแปลกมากกับฉัน พวกเราเหมือน……รู้จักกันมานานมาก ฉันลืมอะไรแล้ว ใช่หรือไม่?”
“……”
คำพูดพวกนี้ ทำให้เจียงไป๋เสว่ถอยหลังไปสามก้าวทันที
เธอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เพียงแค่ยืนอยู่ก็กินแรงมากแล้ว
“อย่าถามเลย เขาคือหลี่เห้า แต่ไม่ใช่หลี่เห้าคนนั้นที่เธอรู้จักมา”
ในที่สุดเยี่ยนซื่อเฉิงก็เอ่ยปาก พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
คำพูดประโยคนี้ทำให้ร่างกายเจียงไป๋เสว่สั่นเทา ในใจผุดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น
“หมาย……หมายความว่าอะไร?”
“เขาคือ‘เหล่าครอบครัว’ของหลี่เห้า”
ค้างคาวพูดด้วยสายตาซับซ้อน “เขาเป็นแค่ร่างโคลน หมายเลข10032 ก่อนหน้าเขายังมีร่างโคลนที่เหมือนกันอย่างกับแกะ10031อีกคน”
ครืน!
คำพูดนี้มีจำนวนข้อมูลที่แฝงเร้นมากเหลือเกิน มากจนเจียงไป๋เสว่เดิมทีไม่ตอบสนองกลับมาเลย
“ร่าง……ร่างโคลน?”
“ถูกต้อง”
ค้างคาวพูดเสียงทุ้ม “ไป๋เสว่ เธอตามสืบ‘หว่างเหลี่ยง’ของพวกฉันได้สักพักหนึ่งแล้ว น่าจะรู้ว่าพวกฉันทำการทดลองบางอย่างอยู่”
“ผลลัพธ์ของการทดลองนี้ ถ้าเกิดวิจัยสำเร็จ พอจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของทั้งโลกได้—-ไม่ผิด นี่คือ‘อาวุธสงคราม’!”
เสียงของค้างคาวดูตื่นเต้นขึ้นมา “ครั้งก่อนที่สนามกีฬาแห่งเมืองเจียงเฉิง เธอกับถังเฉาน่าจะได้รับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า‘อาวุธสงคราม’คืออะไร พวกมันมีร่างกายแบบกึ่งเครื่องจักรกล ไม่หวั่นปืนผาหน้าไม้ ไม่กลัวเปลวไฟ และซื่อสัตย์แน่นอน การมีตัวตนของพวกเขาเปลี่ยนแปลงรูปแบบสงครามในประวัติศาสตร์มนุษย์ในระดับใหญ่มาก”
“ที่น่าเสียดาย พวกเขาเป็นของล้มเหลว แม้กระทั่งยังไปไม่ถึงเกณฑ์ด้วยซ้ำ”
ค้างคาวถอนหายใจเบาๆ รู้สึกเสียใจมาก
เจียงไป๋เสว่จิตใจสั่นไหว คาดไม่ถึงจะสั่นเทาไปทั้งตัวแบบไม่มีเหตุผล
วินาทีนี้ เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวแล้ว
เพราะจนกระทั่งตอนนี้ เธอถึงสำนึกได้ว่าตลอดเวลาเรื่อยมานี้ตนเองทำการต่อสู้กับอิทธิพลอย่างไรกันแน่
“เพราะอาวุธสงครามรูปร่างคนพวกนั้น ว่ากันโดยธรรมชาติแล้วไม่มีความแตกต่างอะไรกับรถถัง เครื่องบินรบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ขอเพียงมีไฟฟ้า มีแหล่งพลังงาน พวกเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้—-ผลลัพธ์เทคโนโลยีแบบนี้ เป็นสิ่งที่ถูกขโมยได้ง่ายมาก แม้กระทั่งลอกเลียนได้ง่ายด้วย”
ค้างคาวพูดต่อไปว่า “สิ่งที่พวกฉันต้องการคืออาวุธที่มีเอกลักษณ์ ดังนั้นจึงเกิดขึ้นได้เหมาะสมในรุ่นที่สอง”
“สามปีก่อน หลี่เห้าถูกพวกฉันจับไป ความจริงครั้งนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะตอนนั้นพวกฉันวิจัยตัวอย่างยีนของเธอ หลี่เห้า ยังมีถังเฉาทั้งสามคน สุดท้ายได้ผลสรุปออกมาอันหนึ่ง ถังเฉา ถึงเป็น‘แม่แบบ’คนนั้นที่สมบูรณ์แบบที่สุด น่าเสียดายคือกิจกรรมครั้งนั้นหลี่เห้าไปเข้าเข้าร่วมแทนถังเฉาแล้ว ทำให้คนที่โดนจับไปเป็นหลี่เห้า และไม่ใช่ถังเฉา”
ค้างคาวพูดจาด้วยท่าทางเสียใจ “แต่ก็ทำได้เพียงเอาเท่าที่มีไปก่อน เพราะมีหลี่เห้า ถึงมี ‘เหล่าครอบครัว’ของหลี่เห้าไง”
เขายื่นมือชี้ไปยัง‘หลี่เห้า’ที่อยู่ด้านข้าง พูดว่า “ไม่เหมือนกับอาวุธรูปร่างคนก่อนหน้านี้ ร่างโคลนในครั้งนี้มีสำนึกของตัวเอง พวกเขารู้ว่าอะไรควรทำอย่างไร พวกเขาจะครุ่นคิด จะโกรธเคือง และจะเสียใจ—-ที่เหมือนกันคือพวกเขาจะรักษาความทรงจำส่วนหนึ่งของ‘แม่แบบ’เอาไว้ ดังนั้นเขาจะคุ้นเคยกับเธอมาก เพราะความทรงจำก่อนหน้าของหลี่เห้าถูกเฉลี่ยแบ่งให้ร่างโคลนพวกนี้แล้ว เก็บในสมองเขา ประมาณเศษเสี้ยวความทรงจำหนึ่งในหลายหมื่น”
“……”
ฟังพวกนี้จบ หลินชิงเสว่สั่นสะเทือนถึงที่สุดแล้ว
หลินจ้าวหยูนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ปิดปากเอาไว้แล้ว ป้องกันตนเองส่งเสียงกรีดร้อง
สำหรับเจียงไป๋เสว่ก็อึ้งทึ่งไปโดยสิ้นเชิง
จากในดวงตาของเธอ น้ำตาใสที่ไม่ยินยอมไหลออกมาสองสาย
เหมือนยืนยันต่อสิ่งนั้นที่ค้างคาวพูดมา หลี่เห้าหมายเลข10032เริ่มหวนนึกถึงประสบการณ์ของตนเอง “ฉันเกิดในตู้ใส่ของขนาดใหญ่ ในตู้ใส่ของบรรจุของเหลวหล่อเลี้ยงที่ติดลบยี่สิบองศา หนึ่งวันยี่สิบสี่ชั่วโมง ฉันแช่อยู่ในนั้นเป็นเวลายี่สิบชั่วโมง ฉันจำได้ว่าตู้ใส่ของนั้นเรียกว่า‘ตู้แช่’”
“ชายหญิงหลายคนที่สวมชุดกาวน์ และใส่ผ้าปิดปากทำการศึกษาวิจัยฉันไม่หยุด ฉันไม่ต้องกินอาหาร และไม่รู้ว่า‘หิว’ที่พวกเธอมักพูดถึงคือความรู้สึกแบบไหนกัน แต่ละวันตอนสี่ทุ่มถึงตีสองจะเป็นเวลาอิสระส่วนตัว”
“ฉันไม่รู้ว่าฉันมาอยู่บนโลกนี้เพื่ออะไรกัน แต่ว่าฉันจำคนคนหนึ่งมาได้ตลอด ผู้หญิงคนหนึ่ง”
หลี่เห้าหมายเลข10032จ้องเจียงไป๋เสว่อยู่ พูดอย่างมั่นใจ “เธอก็คือผู้หญิงคนนั้นที่ฉันคิดถึงทั้งวันทั้งคืน!”