เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - บทที่ 972 ความรักของแม่เปรียบดังขุนเขา
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวินาทีถัดมากลับทำให้ถังยวนตกตะลึงพรึงเพริด
“พี่ครับ ผมไม่รู้นะว่าคุณจะสามารถใช้กลอุบายอะไรมาใส่ร้ายผม แต่ว่าผม ถังเชียว ผมทำเรื่องที่ถูกต้อง ไม่เกรงกลัวคำนินทา ถึงแม้ว่าคุณว่าพูดว่าผมเป็นลูกชายของถังเยว่หวา จะรายงานผมต่อทางการก็ได้ ผมไม่มีทางจะไปสนใจ”
ถังเฉาเอ่ยอย่างราบเรียบ “ถึงอย่างไรเป็นถึงทายาทของตระกูลถัง ถ้าหากว่ายังอดทนต่อคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ไม่ได้ เช่นนั้นผมจะมาเป็นทายาทตระกูลถังได้อย่างไร”
ประโยคง่าย ๆ ประโยคเดียวทำให้ปากของถังยวนเหมือนมีไว้ก็เปล่าประโยชน์ ไม่รู้ว่าควรจะพูดโต้แย้งอย่างไรดี
ถ้าหากว่าตอนนี้พูดว่าถังเฉาก็คือลูกชายของถังเยว่หวา ใครจะเชื่อกันล่ะ?
ทุกคนเพียงจะรู้สึกว่าถังยวนสรรหาวิธีการมาสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายถังเฉาก็เท่านั้น
“ดีนี่ มึงมันเก่งนักนะ มึงรอกูได้เลย กูจะต้องมาคิดบัญชีกับมึงแน่ ทายาทของตระกูลถังจะต้องเป็นของฉัน”
ถังยวนจากไปจากที่นี่อย่างเดือดดาล ถังเฉาไม่ได้ขัดขวาง เพียงแต่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
ในตอนนี้เอง ถังเยว่หวากำลังยืนอยู่ในที่ที่ไม่ไกล จ้องมองเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างเงียบ ๆ
“นึกไม่ถึงว่าลูกชายของฉันจะโตขนาดนี้แล้ว สามารถกลับมาได้นั้นดีจริง ๆ ทั้งยังยืนอยู่ในตระกูลถังอย่างมั่นคง…”
ในดวงตาของถังเยว่หวาแฝงด้วยน้ำตา ท่ามกลางน้ำตาเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างชัดเจน
ลั่วเย่นหัวที่อยู่ข้าง ๆ ก็มองถังเฉาด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ เอ่ยว่า “พี่สาวของฉัน พี่วางใจเถอะ ลูกชายของพี่แข็งแกร่งกว่าที่พี่จินตนาการเอาไว้เยอะ เขาไม่เพียงแต่ปลอดภัย ทั้งยังมีความหวังเป็นอย่างมากว่าจะช่วยชีวิตพี่ออกมาได้ พี่ก็วางใจอยู่ในเขาเชลย รอเวลาอีกสักหน่อยเถอะ”
เดิมทีถังเยว่หวาออกมาจากภูเขาเพราะเป็นห่วงว่าถังเฉาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนเมื่อกี้ที่รีบร้อนไปจนถึงเวทีประลองนั้นกลับถูกลั่วเย่นหัวขัดขวางเอาไว้เข้าพอดี
โชคดีที่ขัดขวางเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องที่ถังเชียวคือถังเฉาถูกเปิดโปงขึ้นมา คนในครอบครัวของถังเฉา แม้ว่าจะยอมรับถังเฉา ก็เป็นไปไม่ได้ที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยจะปล่อยถังเฉาไป
และหลังจากที่ถังเยว่หวาได้ฟังคำพูดของลั่วเย่นหัว ก็เลือกที่จะเชื่อลั่วเย่นหัว สุดท้ายถังเฉาก็เอาตำแหน่งทายาทของตระกูลถังมาได้สำเร็จ
“ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าลูกชายของฉันแข็งแกร่งมาก ๆ ฉันชื่นใจมาก ตอนนี้ฉันสามารถอยู่บนเขาได้อย่างวางใจแล้ว รอเขามาช่วยฉันให้พ้นจากความทุกข์ยากนี้”
“ส่วนเรื่องตำราล้ำค่าหายากเล่มนั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณก็เอาตำราเล่มนั้นให้เขาเถอะ เขาสามารถเข้าร่วมที่ที่เร้นลับในนั้นได้ เช่นนั้นก็เป็นความโชคดีของเขา”
ลั่วเย่นหัวพยักหน้า ไม่ได้คิดมากเรื่องตำราล้ำค่าหายาก เพียงแต่รู้สึกว่าเป็นตำราหายากบูโดสายพระจันทร์ธรรมดา ๆ เล่มหนึ่ง
กลับนึกไม่ถึงว่าตำราสายพระจันทร์หายากเล่มนั้นกลับเป็นทักษะการต่อสู้ล้ำโลกที่ผู้ฝึกฝนสายพระจันทร์ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณรีบกลับไปเถอะ เรื่องทางนี้ฉันจะจับตามองแทนคุณเอง จะไม่ให้ถังเฉาบาดเจ็บแม้แต่ปลายก้อยอย่างเด็ดขาดเลย”
ถังเยว่หวาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็หันหลังจากไป
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ภายในราชวงศ์ต้าเซี่ย
ในมุมที่ไม่น่าสนใจมุมหนึ่งมีคนที่ตำแหน่งสูงและมากไปด้วยอำนาจกำลังนั่งอยู่หลายคน
“ตอนนี้แน่ใจแล้วหรือยัง? คนที่เพิ่งจะกลับตระกูลถังคนนั้นคือถังเฉา ลูกหลานของถังเยว่หวาหรือเปล่า?”
คนชราเอ่ยถามเสียงเบา
คนแก่อีกคนพยักหน้า “ไม่ผิด ข่าวของพวกหว่างเหลี่ยงทางนั้นเป็นเรื่องจริง เขาก็คือถังเฉา”
ว่าแล้วคนชราก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
“ดูเหมือนว่าในราชวงศ์ต้าเซี่ยนี้จะมีละครสนุก ๆ ออกมาให้ดูอีกแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องฆ่าเขา ปล่อยเขาเอาไว้เถอะ ดูซิว่าเขาจะโหมคลื่นได้ใหญ่มากแค่ไหน พอถึงตอนนั้นรอจนเขาโผล่หางออกมาค่อยไปเอาชีวิตเขาทีหลัง”
“สุดท้ายก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูให้คนอื่นดูซะแล้ว”
หลังจากที่พูดจบ ทุกคนก็หัวเราะออกมา ดูเหมือนจะไม่เห็นถังเฉาเป็นเรื่องสำคัญอะไร
……
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หวังหรูเมิ่ง และยังมีหวางหวู่กลับเข้าไปในบ้านแล้วก็อยู่ในสภาวะซึมเศร้ามาโดยตลอด
“เกิดอะไรขึ้น? พ่อครับ ยาที่พ่อให้มาทำไมถึงได้สิ้นฤทธิ์เร็วขนาดนั้นล่ะครับ?”
“ตอนนั้นผมก็แค่ไม่ทันระวัง ถึงได้โดนเจ้าหมอนั่นโจมตีเข้านิดหน่อย สุดท้ายฤทธิ์ยาก็หายไปหมด ที่จริงแล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ครับ?”
และในตอนนี้เอง หม่าเฟยก็เดินออกมาจากหลังฉากกั้นทางด้านหนึ่ง
“ตระกูลหวางของพวกแกนี่มันไร้ประโยชน์จริง ๆ เลย นึกไม่ถึงว่าเอายาที่สามารถเอาชนะได้ที่แรงขนาดนี้ให้พวกแกแล้ว พวกแกยังไม่ได้มีความสามารถเพียงพอที่จะมีอิทธิพลในตระกูลถังอีก กลับหนีหัวซุกหัวซุนมาอย่างกับหมาข้างถนนอีก”
หวางหวู่เดือดดาลจนแทบตายในทันที ลุกขึ้นมาอยากจะฆ่าหม่าเฟย
แต่ในตอนที่หวางหวู่ลุกขึ้นมาเตรียมจะโจมตีนั้นเอง หม่าเฟยเพียงแค่หมุนหน้าปัดนาฬิกาในมือเบา ๆ หวางหวู่ก็ล้มลงไปนอนในทันที
“แกทำอะไรลูกชายของฉัน แกมันแค่เด็กเมื่อวานซืน ตกลงจะทำอะไรกันแน่?”
ชีวิตของหวางหวู่ถูกควบคุมอยู่ในมือของหม่าเฟย หม่าเฟยรู้ว่าไม่มีทางที่หวังหรูเมิ่งจะลงมือได้ จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างเสียดสี
“ผมต้องการจะทำอะไรงั้นหรือ? ผมต้องการให้พวกคุณยึดครองอำนาจหลักและโน้มนำตระกูลถัง จากนั้นก็ฆ่าเจ้าหมอนั่นซะ”
“สุดท้ายพวกคุณก็ทำให้ผมเหลือเกินแล้วจริง ๆ”
“ผู้อ่อนแอไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ นอกเสียจากพวกคุณจะเป็นประโยชน์ต่อผู้แข็งแกร่ง พวกคุณเข้าใจความหมายของประโยคนี้นะ? เลือกกันเอาเอง ไม่อย่างนั้นละก็… ผ่านไปสามวันแล้ว ผมก็จะไม่รอให้พวกคุณเลือกแล้วล่ะ”
ความหมายชัดเจนมาก หม่าเฟยต้องการที่จะให้ตระกูลหวางนี้อยู่ภายใต้การบัญชาของหว่างเหลี่ยง ไม่อย่างนั้นจะฆ่าตระกูลหวางให้หมดทุกคน ทันใดนั้น หวังหรูเมิ่งก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
ในเมื่อชีวิตของลูกชายของตัวเองถูกควบคุมอยู่ในมือของคนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ถ้าหากพูดว่าไม่ หม่าเฟยก็จะต้องสังหารหวางหวู่แน่ ๆ พอถึงตอนนั้นตระกูลหวางก็ไม่มีอำนาจจะพูดอะไรแล้ว อีกด้านหนึ่ง ถ้าหากอยู่ใต้การบัญชาของหม่าเละก็ นั่นก็จะต้องถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าไปตลอดไปแน่
ในที่สุดตอนนี้หวังหรูเมิ่งก็รู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก
“ไม่ต้องกังวลไป ถ้าหากพวกคุณอยู่ภายใต้การบัญชาของผมละก็ ผมจะไม่ทำแย่ ๆ กับพวกคุณแน่ อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาเรื่องปากท้อง”
“แต่ว่าถ้าหากพวกคุณจะตอบโต้ละก็ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ไม่เหมือนกันแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาผมก็ไม่ชอบบีบบังคับให้คนอื่นมาทำงานให้ พวกคุณเลือกเอาเองเถอะ”
หลังจากที่พูดจบ หม่าเฟยก็เดินออกไปทันที
ตอนนี้การแข่งขันสมาคมบูโดกำลังจะเริ่มขึ้น ตระกูลถังมีผู้คัดเลือกเข้าแข่งขันแล้ว และคนของตระกูลแปดเองต่างก็มีผู้ที่ถูกคัดเลือกของตัวเองแล้ว
“ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มีอะไรให้กลัวกัน ศักยภาพของตระกูลถังเดิมทีก็แย่มาก ๆ อยู่แล้ว ให้ไอ้หมอนั่นออกหน้าสักหน่อย คนอื่นก็เห็นเขาสำคัญแล้ว น่าขันเสียจริง”
คนที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้เป็นทายาทของตระกูลกู่ตระกูลไป๋ เป็นปรมาจารย์ด้านอาวุธที่มีชื่อเสียง ส่วนใหญ่ ขอเพียงเขาหยิบของสิ่งหนึ่งมาได้ก็สามารถที่จะสยบคนร้อยคนได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียว
อีกทั้งเพราะการดำรงอยู่ของตระกูลนี้ ตระกูลอื่น ๆ จึงมีประเพณีที่ไม่ใช้อาวุธ
สมัยก่อนตระกูลเหล่านั้นยังคิดว่าสามารถที่จะเชี่ยวชาญอาวุธชนิดหนึ่งเป็นพิเศษแล้วเป็นคู่แข่งกับตระกูลนี้ กลับพบว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่พวกเขาฝึกฝนเป็นเพียงแค่วิชาผิวเผินของตระกูลไป๋เท่านั้น สุดท้ายก็ละทิ้งอาวุธไปเสียเลย