เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 136
หลินเช่อว่า “เธอพลาดเองนั่นแหละนะ โอเคๆ ว่าแต่แล้วทำไมเขาถึงได้มาวุ่นวายกับเธออีกล่ะ ตอนที่เป็นแฟนกันก็ไม่ยักเห็นเขาสนใจแบบนี้นี่นา”
เฉินโยวหรานว่า “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ฉันเจอเขาที่งานสถาปนาโรงเรียนคราวก่อน แล้วหลังจากนั้น อยู่ๆ เขาก็โผล่มาก่อกวนฉันซะอย่างงั้นแหละ”
ตอนที่เฉินโยวหรานคบหาอยู่กับโจวหมินฮั่นนั้น ทั้งสองนับว่าเป็นขวัญใจวัยเรียนของกันและกัน แต่แล้วเขาก็ไปนอนกับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นช่วงที่ไปทัศนศึกษาของโรงเรียน เฉินโยวหรานจึงขอเลิก
เมื่อเรียนจบเธอก็เดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเมื่อเธอกลับมา เขาก็เริ่มกลับมาวอแวกับเธออีกครั้ง
หลินเช่อหัวเราะ “อย่าบอกนะว่าเขามานึกเสียดายเอาตอนนี้น่ะ”
“ต่อให้เขาเสียดายอยากจะกลับมา เขาก็ต้องถามความสมัครใจของฉันก่อนมั้ยล่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีเขามาคอยสนแบบนี้ก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอะไรคู่ควรกับฉันอีกแล้ว ใครจะไปอยากได้ของใช้แล้วของคนอื่นล่ะ”
“ถูกต้องที่สุด! ของมีตำหนิแบบนั้นเราไม่ต้องการ”
“…”
“เฮ้อ” สองสาวคุยกันไม่หยุดปาก จนดูเหมือนจะลืมผู้ชายอีกสองคนที่ยืนทำหน้าเมื่อยอยู่ด้วย
กู้จิ้งเจ๋อเคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมหลินเช่อถึงได้เป็นคนพูดจาเสียงดังเอะอะนัก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทั้งหมดนั้นมาจากบรรดาผู้คนที่เธอคบหานั่นเอง…
หลินเช่อส่งสายตาให้เพื่อนรักหยุดพูดแล้วหันกลับมา
เฉินโยวหรานยิ้มอายๆ ก่อนจะบอกว่า “คุณกู้คะ ฉันเป็นเพื่อนสนิทของหลินเช่อ ยินดีที่ได้พบนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วย คุณป่วยเหรอคะ”
กู้จิ้งเจ๋อยังคงรักษามารยาทและตอบเธอไปว่า “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”
เฉินโยวหรานคิดว่าเขาเป็นคนพูดจาเป็นงานเป็นการทีเดียว
หลินเช่อส่งสายตาเป็นการบอกว่า ‘รู้หรือยังล่ะว่าฉันรู้สึกยังไง’
หญิงสาวถามต่อไปอีก “ตกลงเป็นอะไรเหรอคะ”
หลินเช่อตอบ “กระเพาะอาหารอักเสบน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพื่อนสาวคนสนิทก็รีบแนะนำ “อา กระเพาะอักเสบเหรอ ครั้งก่อนที่ฉันเป็นน่ะ แม่ฉันเอารากบัวบดกับขิงแล้วก็ต้มเข้าด้วยกันให้กิน มันได้ผลดีทีเดียวละ อาการฉันดีขึ้นทันตาเห็นเลยหลังจากที่ได้กิน”
ที่ด้านข้าง เมื่อคนเป็นหมอได้ยินเช่นนั้นก็อดขัดขึ้นไม่ได้ “นี่เธอจบมาจากโรงเรียนแพทย์ที่ไหนกันน่ะ ใครบอกเธอว่าให้กินรากบัว”
เฉินโยวหรานเถียง “ทำไมล่ะ ก็ฉันกินแล้วมันได้ผลนี่นา”
“เธอโชคดีที่ไม่ตายน่ะสิ แล้วก็ได้โปรดอย่าไปแนะนำคนอื่นเขาแบบนี้ล่ะ จากผลการทดสอบ ปริมาณเม็ดเลือดขาวและระดับคีโตนในร่างกายของเขาสูงมาก เขาจำเป็นต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อกำจัดปริมาณคีโตนออกไปจากร่างกายและลดอาการอักเสบ แล้วเธอจะมาพล่ามเรื่องรากบัวอะไรกัน”
“…” เฉินโยวหรานเถียง “อะไรเล่า นี่คุณจะดูถูกตำรับยาคนรุ่นเก่าเพียงเพราะว่าคุณเป็นหมองั้นเหรอคะ ตำรับยาพวกนี้ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมานานหลายปีแล้วนะ พวกคนตะวันตกไม่มีวันเข้าใจหรอก คุณคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาตัดสินภูมิปัญญาของบรรพบุรุษได้ยังไงมิทราบ”
“ฮ่า ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพน่ะสิ”
“แล้วคุณรู้อะไร”
“ก็รู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ก็แล้วกัน ถึงมันจะเป็นเรื่องที่บอกต่อๆ กันมาตั้งแต่โบราณ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรอกนะ พวกผู้หญิงสมัยก่อนก็เคยรัดเท้า [1] แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงไม่รัดเท้าบ้างล่ะ” สีหน้าเฉินอวี่เฉิงทั้งเหยียดหยามและข่มขู่ เขาจ้องหน้าเฉินโยวหรานไม่ลดละ
ทางด้านเฉินโยวหรานก็ใช่ว่าจะยอมลดราวาศอก “แล้วท่าสะพานโค้งหรือท่าดอกบัวล่ะ ท่าพวกนี้ก็มีมาตั้งแต่สองสามร้อยปีก่อนแล้วเหมือนกัน ทีแบบนี้คุณไม่เห็นว่าอะไรนี่!”
“…”
“เฮ้อ…”
หน้าของนายแพทย์บึ้งตึง เขายืนนิ่งไม่ไหวติง
กู้จิ้งเจ๋อกระแอมเสียงดัง “หมอเฉิน ฉันอยากพักแล้ว คุณผู้หญิงเฉินเองก็คงเหนื่อยเหมือนกันหลังจากที่เจอเรื่องมาทั้งวัน ทำไมนายไม่พาเธอกลับไปพักที่บ้านนายล่ะ”
เฉินอวี่เฉิงรีบลนลานเข้ามาหากู้จิ้งเจ๋อ “แล้วทำไมเธอถึงจะต้องกลับไปพักที่บ้านผมด้วยล่ะครับ…”
กู้จิ้งเจ๋อตอบหน้าตาเฉยว่า “ก็คราวที่แล้วเธอเคยไปพักมาแล้วนี่นา คงจะคุ้นเคยดีกว่า ให้เธอพักกับนายนั่นแหละ”
“แต่…”
“หมอเฉิน ยังจะมีข้ออ้างอะไรอีกล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อยิ้มน้อยๆ แต่สายตาเต็มไปด้วยแววคุกคาม
เฉินอวี่เฉิงอัดอั้นแต่ก็พูดอะไรไม่ได้
ถึงยังไงกู้จิ้งเจ๋อก็เป็นนายจ้าง
เขาจึงทำได้แต่เพียงตวัดสายตามองหญิงสาวด้วยความเกลียดชัง
แต่เฉินโยวหรานหาแคร์ไม่ เธอสนุกด้วยซ้ำที่เห็นเขาหงุดหงิด ยิ่งเขาไม่มีความสุขเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ก็ใครขอให้เขาทำตัวแย่ๆ แบบนี้ล่ะ
“ท่านประธานกู้ใจดีมากๆ เลย ฮ่าๆ หลินเช่อโชคดีจริงๆ ที่ได้อยู่กับคุณนะคะเนี่ย!”
ในที่สุดหล่อนก็พูดอะไรเข้าหูเข้าสักที
เฉินอวี่เฉิงเหลือบมองเธออีกครั้ง และได้แต่เพียงบอกว่า “ไปกันเถอะ อย่ามัวอ้อยอิ่งอยู่เลย”
เฉินโยวหรานส่งยิ้มให้หลินเช่อ “ไปดูแลสามีของเธอเถอะ เอาไว้เขาหายดีแล้วเราค่อยคุยกันนะ”
หลินเช่อมองเพื่อนสาวอย่างเป็นห่วงและบอกว่า “ทำตัวดีๆ กับคุณหมอเฉินล่ะ”
เฉินโยวหรานขยิบตาให้แล้วเดินออกไป
เมื่อเห็นทั้งสองออกไปแล้ว หลินเช่อก็หันมายิ้ม “ใครจะไปคิดล่ะคะว่าจะมีวันที่คุณหมอเฉินเถียงไม่ชนะกับเขาด้วย ฉันคิดว่าพวกนักจิตวิทยาจะเก่งเรื่องการโต้เถียงเสียอีกนะคะ”
กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้า “เอาล่ะ ตอนนี้เพื่อนเธอก็ไม่เป็นไรแล้ว เลิกจุ้นจ้านวุ่นวายได้แล้วนะ”
เมื่อหลินเช่อเห็นว่าเขายังดูมีอาการปวด เธอจึงนั่งลงข้างเขาอย่างเชื่อฟังเป็นอันดี
หลังให้น้ำเกลือเสร็จ กู้จิ้งเจ๋อก็อาการดีขึ้นมา เขาสามารถกลับไปทำงานตามปกติได้ในวันถัดมา
หลินเช่อไปที่บริษัทเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานชิ้นใหม่
ซีรีส์โทรทัศน์เรื่องใหม่นี้เป็นละครร่วมสมัย มีมุกตลกเจ็บตัวนิดหน่อยสำหรับพล็อตคนเมือง ซึ่งเชื่อได้ว่าจะต้องได้รับความนิยมแน่ ตัวนางเอกของเรื่องนั้นเป็นหมอชันสูตรที่เพิ่งไปเข้าร่วมกับทีมตำรวจสืบสวน เธอต้องเรียนรู้การทำงานจากหมอรุ่นพี่และในที่สุดก็เริ่มที่จะมีใจให้เขา
นักแสดงชายหน้าใหม่จะมารับบทรุ่นพี่ปากร้ายในเรื่อง
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าการถ่ายทำจะยังไม่เริ่มต้น ซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากไปทั่วแล้ว
กว่าอวี๋หมินหมิ่นจะคว้าบทนี้มาให้เธอได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผู้จัดการของเธอรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้เข้มแข็ง ซึ่งเหมาะกับภาพลักษณ์ของหลินเช่ออย่างมาก
ระหว่างที่หลินเช่อกำลังปรึกษาพูดคุยเกี่ยวกับบทและตารางการถ่ายทำ อยู่ๆ เธอก็นึกถึงอาการป่วยของกู้จิ้งเจ๋อขึ้นมา
เมื่อไม่อาจข่มใจไว้ได้ เธอจึงลุกขึ้นเดินออกมาโทรหาเขา
กู้จิ้งเจ๋อกำลังประชุมอยู่ แต่เขาก็รับสายโดยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร เพียงแต่ถามว่า “มีอะไรรึเปล่า เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
หลินเช่อตอบ [ไม่มีอะไรค่ะฉันแค่อยากจะถามว่าคุณรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง ทำงานเป็นยังไงบ้างคะ]
กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก และตอบว่า “ฉันไม่เป็นไร รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
[อ้อ นี่ฉันโทรมากวนคุณหรือเปล่าคะ งั้นคุณกลับไปทำงาน…]
“เปล่า ไม่ได้รบกวนอะไรหรอก…ทำไม เป็นห่วงฉันเหรอ” เขาทำเสียงรื่นรมย์ ทำให้หลินเช่อค่อยเบาใจ
[ฉัน…แหม แน่นอนว่าฉันก็ต้องห่วงสิคะ ก็คุณป่วยเพราะฉันนี่นา]
กู้จิ้งเจ๋อหัวเราะหึและพูดต่อไปว่า “อ้อ จริงสิ ฉันกำลังจะบอกเธอว่าคืนนี้ฉันมีงานเลี้ยงนะ แล้วเธอก็ต้องไปกับฉันด้วย เธอควรกลับไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะ”
——
[1] ประเพณีรัดเท้า ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 – 1279) ผู้หญิงจีนจะนิยมใช้ผ้ารัดเท้าไว้จนแน่นคล้ายรูปทรงดอกบัว เนื่องจากมีความเชื่อว่าผู้หญิงเท้าเล็กเป็นสตรีจากตระกูลผู้ดี เพราะหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้เท้าทำงาน จึงสามารถรัดเท้าได้