เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 151
หลินเช่อประท้วงว่า “ฉันก็ไม่ได้จะยุ่งกับพวกเขาซะหน่อยนะคะ ปกติแล้วฉันก็ทำเฉยใส่พวกเขานั่นแหละ มันก็ไม่เคยเกิดปัญหาอะไร ตราบใดที่ฉันไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแล้วก็อยู่ห่างๆ พวกเขาเอาไว้น่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอ “ในเมื่อเธอซื่อบื้ออย่างนี้ก็ดีแล้วละที่จะเลี่ยงพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หลินเช่อนึกขอบคุณเขาที่ยินดีช่วยเหลือเธอและรู้สึกว่ากู้จิ้งเจ๋อได้ทำให้เธอมากเกินพอแล้ว
ทันทีหลินอวี่กลับมาถึงบ้าน หล่อนก็จัดแจงนินทาว่าร้ายหลินเช่อให้ทุกคนในครอบครัวฟังชนิดไม่ยั้งมือ บรรดาสมาชิกในบ้านล้วนร่วมรับฟัง รวมถึงฉินชิงเองก็ด้วย หลินอวี่พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “แม่นั่นน่ะกลายเป็นดาราดังไปแล้ว แถมยังได้รู้จักมักจี่กับคนใหญ่คนโต เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่จะไม่ต้อนรับพวกเราในฐานะพ่อหรือพี่สาวเลย นังนั่นน่ะกล้ากระทั่งตั้งใจจะดูถูกเหยียดหยามพวกเราซึ่งๆ หน้าด้วยซ้ำ หนูรู้อยู่แล้วละ เราไม่น่าไปขอความช่วยเหลือจากนังหลินเช่อเลย มันจะอยากช่วยเราไปทำไมล่ะ ในเมื่อความจริงแล้วมันอยากกำจัดหนูออกใจจะขาด หน็อยแน่ ทำเป็นเชิญพวกเราเข้าบ้านทำทีเป็นว่าอยากจะช่วย แต่ความจริงก็คือแค่จะหาโอกาสทำให้พวกเราขายหน้าต่างหาก เฮอะ”
เมื่อพูดจบ หลินอวี่ก็เดินปึงปังเข้าห้องนอนของตัวเองไป
วันต่อมา หลินเช่อรีบไปที่กองถ่ายโดยมีอวี๋หมินหมิ่นและผู้ช่วยอีกสองคนตามไปด้วย อันที่จริงหลินเช่อไม่คิดว่าตัวเธอเองจำเป็นจะต้องมีผู้ช่วยอะไรมากมายหลายคนแบบนี้ แต่อวี๋หมินหมิ่นบอกว่า ในเมื่อบริษัทจัดคนเหล่านี้ให้มาคอยช่วยดูแลให้แล้ว หลินเช่อก็ควรจะรับความช่วยเหลือนี้เอาไว้ อีกอย่างเธอจะได้ช่วยทำให้พวกเขาได้ประสบการณ์ในการทำงานในฐานะผู้ช่วยมือใหม่ด้วย
ผู้ช่วยคนหนึ่งชื่อว่าเสี่ยวเถา ส่วนอีกคนชื่อว่าเสี่ยวเซียว ทั้งคู่จะคอยตามหลินเช่อไปทั่วทุกที่จนหญิงสาวแทบไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไรเองทั้งสิ้น ส่วนที่กองถ่ายนั้น หลินเช่อก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี และการถ่ายทำก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นทีเดียว
ในห้องพักนักแสดง หลินเช่อมีบริเวณที่พักส่วนตัวของเธอเอง แถมผู้ช่วยทั้งสองก็ยังคอยช่วยบริการของว่างและเครื่องดื่มให้ ทั้งสองคนบอกเธอว่าน้ำมะนาวนั้นดีต่อผิว ส่วนผลไม้ก็ดีต่อร่างกาย ในตอนบ่าย ผู้ช่วยสาวก็ยังมาคอยถามหาว่าเธอต้องการจะกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
หลินเช่อสั่งอาหารที่ต้องการแล้วเรียกทั้งสองคนให้มากินด้วยกัน
เสี่ยวเถามองดูบรรดาอาหารแคลอรีสูงที่ถูกสั่งมาแล้วก็ถามหลินเช่อด้วยความประหลาดใจว่า
“พี่เช่อคะ กินอาหารแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอคะ พี่จะไม่อ้วนแย่เหรอคะแบบนี้”
หลินเช่อยิ้มแล้วบอกว่า “ร่างกายฉันไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาน่ะ ปกติแล้วฉันกินเท่าไหร่ก็น้ำหนักไม่ขึ้นหรอก หรือถ้าอ้วนขึ้น แค่อดข้าวสักสองวันน้ำหนักก็ลงแล้ว”
เสี่ยวเถาทำท่าอิจฉา “พี่นี่ทำให้ใครต่อใครต้องอิจฉามากจริงๆ นะคะ”
ในตอนแรกสองผู้ช่วยล้วนมีความหวั่นเกรงในตัวหลินเช่ออย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นแล้วว่าหญิงสาวเองก็พูดจาเอะอะโวยวายและไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากมายนัก แถมยังไม่ได้มีท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนกับนักแสดงดังๆ ส่วนใหญ่ พวกเธอก็เริ่มที่จะผ่อนคลายและพูดคุยกับหลินเช่อได้อย่างสบายใจ
เสี่ยวเซียวพูดขึ้นว่า “ฉันเคยคิดว่าบรรยากาศเวลาถ่ายทำจะต้องตึงเครียดมากๆ ซะอีกค่ะ แต่นี่ทุกอย่างดูดีมากเลยทีเดียว”
หลินเช่อตอบขณะตักอาหารใส่ปากเคี้ยว “ไม่หรอก ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ก็อึดอัดมากทีเดียวล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ทีมงานถ่ายทำปฏิบัติกับฉันดีมากๆ พวกเขามีห้องพักระหว่างรอเข้าฉากให้ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ฉันต้องแกร่วรออยู่ข้างนอก หรือไม่ก็มองหามุมห้อง แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวนั้นเพื่อรอให้ถึงตาตัวเองเข้าฉากน่ะ”
เสี่ยวเถารีบบอก “ก็แน่นอนสิคะ เดี๋ยวนี้พี่เช่อของเรากลายเป็นดารานำหญิงแล้วนี่นา พี่ก็ต้องมีห้องส่วนตัวแล้วก็ได้รับการดูแลอย่างดีแบบนี้นี่แหละ”
เสี่ยวเถายังถามต่อไปอีกว่า “พี่เช่อคะ ฉันเคยได้ยินทุกคนพูดกันว่า เวลาเข้ามาอยู่ในวงการนี้ช่วงแรกๆ ทุกคนก็ต้องผ่านงานการเป็นผู้ช่วยมาก่อนกันทั้งนั้น พี่เคยทำงานเป็นผู้ช่วยนักแสดงรึเปล่าคะ”
“เคยสิ ฉันเป็นผู้ช่วยอยู่สักปีหนึ่งได้น่ะ”
ขณะที่เล่า หลินเช่อก็ระดมตักอาหารเข้าปากไม่หยุดพลางนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เธอเคยต้องตรากตรำทำงานอย่างหนัก แต่ถึงอย่างไรเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น เธอก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าอย่างมาก
ปกติแล้วทีมงานในกองถ่ายจะชอบแวะเวียนกันเข้ามาทักทายเธอ หลินเช่อเป็นคนง่ายๆ และมักจะสนิทสนมคุ้นเคยกับทั้งดาราใหญ่น้อยได้อย่างรวดเร็ว ไม่ช้าการถ่ายทำในวันนี้ก็เสร็จสิ้นลง อวี๋หมินหมิ่นรู้ดีว่าหลินเช่อไม่รู้ว่าจะตอบแทนและดูแลทีมงานอย่างไร ด้วยเหตุนี้เธอจึงช่วยสั่งบาร์บีคิวมาเลี้ยงทุกคนในกองถ่ายให้หญิงสาว
หลังออกจากกองถ่าย หลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นก็แวะไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อร่วมงานอีเวนต์ที่ได้รับจ้างมา เมื่อเสร็จงานทั้งสองก็เตรียมตัวที่จะกลับ แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวเท้าออกจากห้าง หลินเช่อก็บังเอิญพบฉินชิงเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว
หลินเช่อนึกขึ้นได้ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นกิจการของตระกูลฉินนั่นเอง
เมื่อฉินชิงที่ยืนอยู่ลึกในพื้นที่ด้านในของห้างมองเห็นหลินเช่อเข้า หญิงสาวก็ส่งยิ้มให้เขาและก้าวออกไปหา
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ร่างสูงเพรียวของหลินเช่อดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก
ฉินชิงยิ้มและเดินเข้าไปสมทบกับเธอ “มาร่วมงานอีเวนต์เหรอ”
หลินเช่อตอบ “ใช่จ้ะ ลืมไปเลยว่าห้างนี้เป็นของครอบครัวเธอนี่นา ถ้านึกได้ก่อนหน้านี้ละก็ ฉันคงรีบติดต่อเธอไปแต่เนิ่นๆ เผื่อจะขอค่าตัวเพิ่มได้อีกสักหน่อย!”
ฉินชิงมองอีกฝ่ายแล้วถามขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้เธอยังต้องการเงินอยู่อีกเหรอ”
“ต้องการสิ!” เธอตอบพลางออกเดินไปด้านนอกตัวห้างพร้อมกับเขา
ฉินชิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้จึงถามว่า “เมื่อสองสามวันก่อน คนที่บ้านเธอแวะไปหาที่คฤหาสน์ตระกูลกู้นี่นา”
หลินเช่อนึกภาพออกได้อย่างไม่ยากเย็น ว่าทันทีที่บิดาของเธอและหลินอวี่กลับไป ทั้งสองจะต้องแต่งเรื่องเสียๆ หายๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องขึ้นเพื่อเล่าให้คนอื่นฟังอย่างแน่นอน
หลินเช่อจึงถามกลับไปว่า “ใช่แล้วล่ะ แล้วนี่สองคนนั่นกลับไปสร้างปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า”
ฉินชิงตอบ “จริงรึเปล่าที่ว่าเธอทำตัวแย่ๆ ใส่หลินอวี่น่ะ”
หลินเช่อว่า “บอกตามตรงนะ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นกับเขาเหมือนกัน แต่หลินอวี่ก็น่าจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้ อีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้พูดหรือทำอะไรพวกเขาเลย เพราะฉันเองก็คงห้ามไม่ให้พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพูดถึงฉันว่าอะไร ฉันก็คงได้แค่รับฟังเท่านั้นนั่นแหละ”
แล้วโทรศัพท์ของเธอก็สั่น
หญิงสาวก้มลงมองและเห็นหน้าจอปรากฏคำว่า ‘สามีสุดที่รัก’
คำเรียกที่บ่งบอกถึงความรักใคร่อย่างมากนั้นทำให้ฉินชิงถึงกับนิ่งอึ้งไปทีเดียว
ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ แต่หัวใจของเขาเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดทุรนทุรายขึ้นมา
หลินเช่อเองก็อายไม่น้อย ตัวเธอเองค่อนข้างจะคุ้นเคยกับคำเรียกนี้แล้ว แต่การต้องมารับโทรศัพท์จากกู้จิ้งเจ๋อโดยที่มีฉินชิงยืนอยู่ข้างๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอนึกเขินอยู่ดี
หญิงสาวรับสาย “ว่าไงคะ”
เสียงกู้จิ้งเจ๋อถามมาว่า [เสร็จหรือยังน่ะ เรานัดกันไว้ว่าจะไปกินข้าวนี่นา]
“อ้อ เสร็จแล้วละค่ะ กำลังเดินออกจากห้างแล้วล่ะ”
[ได้ งั้นเดี๋ยวฉันจะส่งคนไปรับเธอที่นั่น]
“รู้แล้วละน่า ไม่ต้องย้ำบ่อยขนาดนั้นหรอกค่ะ”
[ก็ถ้าฉันไม่ค่อยพูดซ้ำๆ แบบนี้ ฉันก็กลัวว่ายัยบื้ออย่างเธอจะไปหาร้านเองไม่เจอน่ะสิ]
“หุบปากไปเลยนะ!”
หลินเช่อวางสายแล้วเงยหน้าขึ้น เธออดใช้นิ้วเสยผมขึ้นมาทัดหลังใบหูแก้เขินไม่ได้ “เป็นอะไรไป คุยต่อสิ”
ฉินชิงมองโทรศัพท์ของเธอแล้วครุ่นคิดในใจ นั่นคือกู้จิ้งเจ๋องั้นรึ
‘สามีสุดที่รัก’ ที่ว่านั่นคือกู้จิ้งเจ๋อหรอกเหรอนี่
อย่างไรก็ตาม จากสุ้มเสียงที่ได้ยิน ชายหนุ่มก็สามารถบอกได้ว่าบทสนทนาของทั้งคู่เป็นธรรมชาติอย่างมาก ราวกับว่าเป็นสิ่งที่พูดคุยกันอยู่เป็นประจำทุกวัน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดถามออกไปไม่ได้ “นี่เธอกับกู้จิ้งเจ๋อเป็น….”
“ทำไมเหรอจ๊ะ”
ฉินชิงรีบพูดต่อ “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ อย่างน้อยก็กับผู้หญิงน่ะ เขาอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอน่าจะได้เจอคนที่ดีกว่านี้”
หลินเช่อยิ้มและมองหน้าอีกฝ่าย “ถ้างั้นใครกันล่ะที่เป็นคนที่ดีที่สุด”
“ก็ใครสักคนที่เหมาะสมกับเธอ” เขาตอบ
หลินเช่อว่า “แล้วกู้จิ้งเจ๋อกับฉันไม่เหมาะกันตรงไหนเหรอ”
ฉินชิงตอบ “ผู้ชายอย่างเขามีชีวิตที่ซับซ้อนเกินไป”
หลินเช่อว่า “ฉันรู้นะว่าเธออยากจะพูดอะไร เพราะว่าสถานะของฉัน พื้นเพครอบครัวแล้วก็วิถีชีวิตของฉันมันต่างจากเขามาก อันที่จริงฉันไม่คู่ควรกับเขาเลยด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฉินชิงแค่ไม่อยากเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันต่างหากเล่า แม้ว่านี่จะความคิดที่ออกจะเลวร้าย แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจหักห้ามมันได้ “ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ ฉันแค่ไม่ชอบที่เห็นเธออยู่กับเขาเท่านั้นเอง”
หลินเช่อเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
สีหน้าของฉินชิงออกจะดูไม่ปกตินักเมื่อเขามองออกไปด้านนอก
“หลินเช่อ เราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้วนะ”
“ใช่สิจ๊ะ”
“ตั้งแต่ต้น เราสองคนก็เป็นแค่เพื่อนร่วมห้องกันเท่านั้น”
“อื้อ”
ชายหนุ่มหันมาและถามว่า “เธอเคยชอบฉันบ้างมั้ย”
หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจอย่างที่สุด