เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 163
วันต่อมาเมื่อหลินเช่อมาถึงบริษัท ทางบริษัทก็ได้แจ้งให้เธอทราบว่าพวกเขาตอบรับข้อตกลงการผู้สนับสนุนสินค้าในนามของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบอกให้เธอไปจัดการเซ็นสัญญาให้เรียบร้อย
หลินเช่อเป็นนักแสดงที่ไม่เรื่องมากในการทำงานมาโดยตลอด ทำให้บริษัทชื่นชอบเธอในข้อนี้อย่างมาก เธอไม่ช่างจับผิดโดยไม่มีเหตุผล ไม่ทำตัวเรื่องมากเพียงเพราะว่ามีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว
และเป็นเพราะหลินเช่อเชื่อใจในตัวอวี๋หมินหมิ่น และเชื่อว่าผู้จัดการคนนี้ได้ตัดสินใจทุกอย่างโดยเห็นแก่ประโยชน์ของเธอเป็นสำคัญอยู่เสมอ
อวี๋หมินหมิ่นบอกว่า “ตอนนี้หน้าที่ผู้สนับสนุนสินค้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับภาพลักษณ์ของเธอนะ ในบรรดาข้อเสนอที่ฉันเลือกมาจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเธอให้ดูดีขึ้น โทรศัพท์มือถือยี่ห้อนี้ผลิตขึ้นภายในประเทศ และเป็นที่นิยมใช้ของคนหนุ่มสาว โฆษณาของพวกเขาจะได้ออกอากาศถี่ยิบเลยล่ะ”
“สัญญาที่ฉันเซ็นมีอายุสามเดือนใช่มั้ยคะ” หลินเช่อถาม
“สัญญาณที่เธอเซ็นนั่นสำหรับหนึ่งปี ทางบริษัทไม่นิยมเซ็นสัญญาระยะยาว แค่ดีลสั้นๆ เท่านั้น แต่ฉันคิดว่าตัวโฆษณาคงจะออกอากาศอยู่แค่สามเดือนเท่านั้น แต่ยิงถี่ๆ ช่วงสามเดือนนี้ก็เพียงพอแล้วละ ขืนออกอากาศนานกว่านั้นคนดูจะเบื่อเสียก่อน”
“จริงด้วยค่ะ” หลินเช่อรู้จักโทรศัพท์ยี่ห้อนี้ดี เธอเองก็เคยใช้ยี่ห้อนี้มาก่อนเหมือนกัน
ปกติแล้วเวลาที่เธอเปลี่ยนโทรศัพท์ มันมักจะเป็นของขวัญจากกู้จิ้งเจ๋อ
เพียงไม่นาน หลินเช่อก็ลงชื่อเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยโดยมีอวี๋หมินหมิ่นตามไปประกบด้วย ขณะที่กำลังเดินไปด้วยกันนั้น อวี๋หมินหมิ่นก็พูดขึ้นว่า “ตอนแรกมู่เฝ่ยหรานถูกวางตัวเอาไว้สำหรับโฆษณาชิ้นนี้ แต่โชคดีมากเลยนะที่ได้มาน่ะ ผู้กำกับงานโฆษณานี้ล้วนแต่เป็นคนฝีมือเยี่ยมกันทั้งนั้น ตัวผลิตภัณฑ์ก็คลาสสิก มันต้องออกมาดีแน่ๆ”
หลินเช่อถาม “จริงเหรอคะ ถ้างั้นเราไปกินข้าวฉลองกันหน่อยมั้ยคะคืนนี้”
“เยี่ยมเลยสิ เธอเลี้ยงนะ เพราะเงินค่าตัวงานนี้ก้อนโตเลยนี่นา”
“ได้เลยค่ะ ได้เลย ฉันเลี้ยงเอง” ทว่า ในขณะที่กำลังพูดคุยอยู่นั้นเอง หลินเช่อก็ได้เผชิญหน้ากับคนคนหนึ่ง เธอผู้นั้นยืนตัวตรงสูงเด่นเป็นสง่า มีรอยยิ้มบางเบา และกำลังมองตรงมา
ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นโม่ฮุ่ยหลิง
เธอไม่คิดเลยว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะมาที่นี่ หลินเช่อหยุดเดิน อวี๋หมินหมิ่นจึงหยุดตาม พลางมองดูผู้หญิงซึ่งแวะเข้ามาที่บริษัทผู้นี้ด้วยท่าทีงุนงงสับสน
“หลินเช่อ” โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มให้เมื่อเดินเข้ามาหา หล่อนมองดูหลินเช่อและพูดว่า “มาเซ็นสัญญาสินะ”
สีหน้าของหลินเช่อผิดปกติไปเล็กน้อยเมื่อมองดูโม่ฮุ่ยหลิง และตอบว่า “ใช่ค่ะ คุณโม่ บังเอิญจังเลยนะคะ คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ”
ทุกครั้งที่โม่ฮุ่ยหลิงโผล่มา เธอจะต้องหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ทุกครั้ง หลินเช่อจึงไม่อยากจะข้องแวะใดๆ ด้วยทั้งสิ้น
โม่ฮุ่ยหลิงมักสวมรองเท้าส้นสูงทุกครั้ง และด้วยความสูงของเธอ ก็ยิ่งทำให้เธอยิ่งดูสูงส่งยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ในความเป็นจริง เธอก็เป็นคนที่ยากจะเข้าถึงอยู่แล้วในฐานะหญิงสาวผู้ร่ำรวย
โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มให้พลางกวาดตาขึ้นๆ ลงๆ มองหลินเช่อ “โทรศัพท์ที่เธอเซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนน่ะ ผลิตโดยโรงงานของครอบครัวฉันเองนั่นแหละจ้ะ”
หลินเช่อตัวแข็งทื่อ
เมื่อหายช็อก หลินเช่อก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจ
โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มและแกล้งจับมือหลินเช่ออย่างสนิทสนมเมื่อพูดว่า “หลินเช่อจ๊ะ ฉันคิดมาตั้งนานแล้วนะว่าเธอน่ะเหมาะจะโฆษณาให้สินค้าของเรามากที่สุด โฆษณาชิ้นนี้จะต้องออกมาวิเศษแน่ถ้าได้เธอมาแสดงให้”
หลินเช่อชะงักและหันมองโม่ฮุ่ยหลิง “คุณโม่เป็นคนแนะนำฉันให้กับโฆษณานี้เหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะสิจ๊ะ” โม่ฮุ่ยหลิงพูดด้วยตาเป็นประกาย
หลินเช่อมองหน้าเธอ “นั่นคงไม่ดีหรอกมั้งคะ บอกตามตรงว่าฉันไม่เหมาะเอาเลย ฉันได้ยินมาว่าตอนแรกคุณเลือกมู่เฝ่ยหรานนี่คะ ฉันว่าเธอเหมาะว่าฉันมากเลยนะคะ”
โม่ฮุ่ยหลิงรีบหันมาหาหลินเช่อและถามว่า “ทำไมเหรอจ๊ะ นี่เธอยังโกรธเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้านี้อยู่อีกเหรอ ฉันยอมรับผิดกับจิ้งเจ๋อไปแล้วนะ แล้วฉันก็ปรับปรุงตัวใหม่แล้วด้วย ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจกับเธออยู่นะจ๊ะ ฉันหวังว่าเธอจะหายโกรธฉันสักที”
หลินเช่อไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำอะไรกันแน่ เธอรู้แต่เพียงว่า อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับโม่ฮุ่ยหลิงไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องดีไปได้แน่
โม่ฮุ่ยหลิงยิ้มและตอบว่า “ฉันตั้งตารอที่จะได้เห็นเธอในโฆษณานะจ๊ะ โชคดีละ หลินเช่อ”
โม่ฮุ่ยหลิงยังพูดจาอ่อนหวานยกยอปอปั้นหลินอยู่อีกครู่นึงได้ พร่ำบอกว่าเธอรู้แล้วว่าตัวเองทำอะไรไม่ดีลงไป และยอมรับในข้อผิดพลาดของตัวเอง
จนเมื่อโม่ฮุ่ยหลิงปลีกตัวไปแล้วนั่นแหละ อวี๋หมินหมิ่นถึงได้หันมาพูดว่า “นี่เธอสนิทกับเขาเหรอ”
หลินเช่อส่ายหน้า “ฉันรู้จักเขาค่ะ แต่ไม่มีทางที่เราจะเป็นเพื่อนกันได้แน่”
ด้วยความหัวไว อวี๋หมินหมิ่นจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและถามว่า “แล้วเธอจะเอายังไงกับงานโฆษณาล่ะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแม่นั่นไม่ได้รีบตัดสินใจเลือกเธอเพราะว่าอยากจะช่วยเธอแน่ ฉันก็ว่าอยู่ว่ามีคนมาทดสอบหน้ากล้องถึงสี่คนแต่กลับเป็นเธอที่ถูกเลือก ตอนแรกฉันนึกว่าเป็นเพราะมู่เฝ่ยหรานไม่ว่างเพราะติดคิวไปร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ที่ญี่ปุ่นเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพราะ…” อวี๋หมินหมิ่นหันมองหลินเช่อ “ถ้าเธอทำไม่ได้ งั้นเราก็ควรจะไปถอนชื่อออกจากสัญญากันจะดีกว่านะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็รีบบอกว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ฉันก็แค่ต้องไปถ่ายโฆษณาเท่านั้นเอง อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรสักหน่อยนี่คะ เขาก็คิดแค้นฉันอยู่ ซึ่งฉันก็บอกเขาไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าฉันไม่ได้ไปทำอะไรให้เลย แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง อย่าว่าแต่ฟังเลย ดูที่เขาทำตอนนี้เข้าสิ ตอนนี้เราทำได้แค่พยายามรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเองค่ะ”
อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่อแล้วก็ถอนหายใจ พลางส่ายหน้า
หลินเช่อรีบกลับบ้าน แล้วก็ได้เจอกับกู้จิ้งเจ๋อที่บังเอิญอยู่บ้านพอดี เมื่อเขาเห็นหลินเช่อกลับมา ชายหนุ่มก็ทักว่า “ทำไมถึงมองหน้าฉันด้วยสีหน้าแปลกๆ แบบนั้นล่ะ”
หลินเช่อตอบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…คือกลายเป็นว่าโทรศัพท์ยี่ห้อพีไอพีทีนั่นเป็นสินค้าของทางครอบครัวคุณโม่น่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘คุณโม่’ กู้จิ้งเจ๋อก็เงยหน้าขึ้นทันที และมองหน้าหลินเช่ออย่างพยายามจะหาคำตอบ “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
หลินเช่อว่า “ไม่มีอะไรค่ะ คือฉันก็แค่เพิ่งรู้เท่านั้นเอง”
“ครอบครัวเขาสร้างแบรนด์นี้มาหลายปีแล้ว ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ทุ่มเงินทุนมากมายไปกับการโฆษณาแบรนด์และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทีเดียว แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลินเช่อ เล่าฉันให้ฉันฟังหน่อยซิ” กู้จิ้งเจ๋อไม่เชื่อว่าหลินเช่อเพียงแต่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างนั้นเอง
หญิงสาวตอบ “ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ เพียงแต่ฉันเพิ่งมารู้ว่ามันเป็นสินค้าของครอบครัวเขาตอนที่ฉันจะต้องมาถ่ายโฆษณากับกับบริษัทนี้น่ะ”
กู้จิ้งเจ๋อจ้องมองเธอด้วยสายตาพินิจพิจารณา ขมวดคิ้วเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะบอกกับเธอว่า “ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนซะผ้าก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์หน่อย”
แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็รีบเข้าไปในห้องทำงาน ปิดประตู สีหน้าบ่งบอกว่าอารมณ์ไม่สู้ดีนัก เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นและต่อสายหาโม่ฮุ่ยหลิงทันที
“ฮุ่ยหลิง” เขาเอ่ยขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
โม่ฮุ่ยหลิงร้องตอบมา [จิ้งเจ๋อ มีอะไรรึเปล่าคะ]
“นี่เธอเลือกหลินเช่อให้ไปถ่ายโฆษณาให้บริษัทของครอบครัวเธองั้นเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อถามโดยไม่อ้อมค้อม
โม่ฮุ่ยหลิงตอบ [ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ พอดีเรากำลังหาคนที่จะเป็นตัวแทนของสินค้าเราในช่วงไตรมาสนี้อยู่น่ะค่ะ แล้วฉันก็คิดว่าอิมเมจของหลินเช่อก็เหมาะสมดี แถมฉันยังรู้จักเธอเป็นการส่วนตัวด้วย ก็เลยแนะนำคุณพ่อไป]
“ฮุ่ยหลิง ถ้ามีปัญหาอะไร เธอพูดกับฉันได้นะ” กู้จิ้งเจ๋อว่า
โม่ฮุ่ยหลิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า [ทำไมคะ จิ้งเจ๋อ คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง] น้ำเสียงของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา [ทำไมคะ นี่คุณคิดว่าที่ฉันแนะนำหลินเช่อไปเพราะว่าฉันอยากหาเรื่องเขางั้นเหรอ]
กู้จิ้งเจ๋อนิ่งไปสองสามวินาที “ก็ใช่น่ะสิ ฉันหวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นนะ”
โม่ฮุ่ยหลิงพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังอย่างยิ่ง [จิ้งเจ๋อ นี่คุณคิดกับฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันค่ะ ฉันก็แค่อยากจะขอโทษคุณฉันถึงได้คิดจะช่วยหลินเช่อ แค่เพราะว่าฉันอยากจะพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าฉันรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองแล้ว และฉันก็อยากที่จะช่วยให้หลินเช่อได้งานโฆษณา คุณคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอได้คะ นี่มันแค่สัญญาถ่ายโฆษณาเท่านั้นนะ…]
ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งฟังโม่ฮุ่ยหลิง คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่น “พอเถอะ ฮุ่ยหลิง” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดว่า “เอาละ ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ งั้นฉันก็จะเชื่อเธอ”
โม่ฮุ่ยหลิงยังคงตัดพ้อ [ฉันไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้เลย แต่ตอนนี้ฉันชักจะโกรธขึ้นมาหน่อยๆ แล้วนะคะ นานๆ คุณถึงจะโทรหาฉันสักที แต่กลับโทรมาเพื่อที่จะพูดกับฉันเรื่องนี้น่ะเหรอคะ]