เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 170
เมื่อทั้งสามเตรียมตัวจะกลับ หลินเช่อก็พูดออกมาตรงๆ ว่า “เดี๋ยวจะมีคนจากบ้านตระกูลกู้มารับฉันนะคะคุณหมอเฉิน ฉันคงไม่สะดวกไปส่งเฉินโยวหรานกลับบ้าน คุณช่วยไปส่งเธอแทนหน่อยได้มั้ยคะ”
“เอ่อ ไม่มีทาง…” เฉินโยวหรานบอกได้ทันทีว่าหลินเช่อกำลังจะทิ้งเธอ หญิงสาวจึงรีบคว้าแขนเพื่อไว้โดยเร็ว
หลินเช่อยิ้มกับเพื่อนและก้มลงกระซิบว่า “เธอเองก็โตป่านนี้แล้วนะ คุณหมอเฉินก็ท่าทางดีออกจะตาย ทำไมไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ล่ะ เดี๋ยวพออยู่กันสองคนแล้ว เธอก็รีบเสนอตัวให้เขานะ ฮิๆ ฉันจะไปก่อนละ”
“เฮ้ๆ นี่เธอ…” แต่หลินเช่อกลับวิ่งหนีไปเสียแล้วจนเธอคว้าตัวไม่ทัน เฉินโยวหรานจึงหันมาหาเฉินอวี่เฉิงที่ยืนอยู่ริมถนน ในตอนแรกหญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนายแพทย์หนุ่มผู้นี้ แต่พอโดนหลินเช่อกระเซ้าเข้าหน่อย เธอก็ชักจะนึกอายๆ อยู่เหมือนกัน
จนกระทั่งเฉินอวี่เฉิงร้องเรียกขึ้นว่า “ไม่มาหรือไง คุณนายกู้ไปแล้ว วิ่งไล่ตามเธอไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก สบายใจได้น่า วันนี้ฉันไม่ใช้เธอไปซื้อกาแฟหรือส่งเธอไปทำธุระที่ไหนหรอก แค่นั่งฟังเฉยๆ แล้วก็อย่าส่งเสียงก็พอ”
นี่เขาเกลียดเวลาที่เธอพูดมากงั้นเหรอ”
ความขัดเขินในตอนแรกหายวับไปเพราะคำพูดของอีกฝ่าย เฉินโยวหรานได้แต่ทำตาเขียวใส่เขาก่อนจะก้าวขึ้นรถ
เมื่อมาถึงที่พักของเฉินโยวหราน ปรากฏว่าเฉินอวี่เฉิงไม่สามารถกลับรถออกไปได้สะดวกนัก จึงติดอยู่ตรงนั้น ขยับไปไหนไม่ได้
เฉินโยวหรานพูดขึ้นว่า “ถ้ารู้มาก่อนฉันจะไม่ให้คุณขับเข้ามาส่งหรอกค่ะ”
เฉินอวี่เฉิงบ่นพึมพำ “น่าขันที่เธอยังอยู่ที่นี่ ตึกแถวนี้อายุกี่ปีแล้วเนี่ย”
“ทำไมคะ ครอบครัวฉันจะจนไม่ได้หรือไงกัน”
ขณะที่พูด เฉินโยวหรานก็ลงจากรถ พร้อมๆ กันกับที่น้องสาวของเธอวิ่งตรงเข้ามาหา
“เจ๊ เจ๊ ใครกันน่ะ รถนั่นสวยเป็นบ้าเลย”
เฉินอวี่เฉิงขมวดคิ้วอยู่ในรถเมื่อได้ยิน
เฉินโยวหลันบังเอิญมองเห็นชายหนุ่มได้ผ่านทางหน้าต่างรถ ทำให้เด็กสาวตกตะลึงจนร้องตะโกนออกมาว่า “เจ๊ นี่เจ๊มีแฟนเหรอเนี่ย ทำไมถึงไม่บอกพวกเราล่ะ”
เฉินโยวหรานรีบยกมือปิดปากน้องสาว “หุบปากเลยนะ แฟนเฟินอะไรกันล่ะ นั่นเจ้านายฉันต่างหาก”
“หา งั้นเขาก็เป็นผู้บริหารอยู่ที่กู้อิสดัสทรีน่ะสิ แล้วทำไมเจ้านายถึงขับรถมาส่งพี่ที่บ้านได้ล่ะ”
“เขามาส่งก็เพราะฉันต้องเอาเอกสารให้เท่านั้นแหละ ทำไมถึงถามซอกแซกจัง ไป ไป กลับเข้าบ้านกันได้แล้ว”
เฉินโยวหรานจัดการลากน้องสาวกลับเข้าบ้านได้อย่างยากลำบาก
เมื่อทั้งคู่กลับเข้าไป เฉินโยวหลันก็ยังพูดเสียงดังด้วยความตื่นเต้นอยู่นั่นเองว่า “เจ๊ นี่เจ๊ทำอะไรเนี่ย ถ้านั่นไม่ใช่แฟนเจ๊ เจ๊ก็ควรจะแนะนำให้รู้จักฉันสิ”
“พอที” เฉินโยวหรานแว้ด “ดูสารรูปตัวเองเสียบ้าง คิดได้ไงว่าเขาจะสนใจน่ะ”
“ฉันไม่ดีตรงไหน มีอะไรไม่น่ามองตรงไหนกัน ฉันว่าฉันสวยกว่าพี่อีกเหอะ พี่น่ะอิจฉาที่ฉันสวยกว่าก็เลยไม่อยากให้ฉันได้เจอผู้ชายดีๆ ใช่ไหมล่ะ เชอะ” พูดจบ ผู้เป็นน้องสาวก็เดินกระแทกเท้าปึงปังเข้าบ้านไป เฉินโยวหรานได้แต่มองโดยไม่พูดอะไร น้องสาวสไตล์แกล [1] ของเธอนี่แต่งตัวราวกับสาวพังก์ตกยุคแต่ยังคิดว่าตัวเองดูดีอีกงั้นรึ
ระหว่างทางกลับบ้าน หลินเช่อเห็นรายการในโทรทัศน์กำลังนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้
ใกล้คริสต์มาสแล้วสินะ
ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้จิ้งเจ๋อก็ยังคงไม่กลับมา
เมื่อเธอคิดว่าพวกเขาอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดระหว่างความเป็นและความตาย ซึ่งเธอเองไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะไปร่วมกังวลใจกับพวกเขาด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นว่ากู้จิ้งอวี่ส่งข้อความมาในโทรศัพท์ [มีงานอีเวนต์คริสต์มาสแน่ะ ถึงตอนนั้นแล้วมางานด้วยกันสิ]
หลังจากส่งข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ไม่กี่ครั้ง หลินเช่อก็ได้พบว่าใกล้เวลารุ่งสางแล้ว
กู้จิ้งอวี่นี่เป็นมนุษย์ราตรีขนานแท้จริงๆ เชียว
ที่โรงพยาบาล
กู้จิ้งเจ๋อเฝ้าดูบรรดาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่วนเวียนกันเข้าไปให้การรักษาฉุกเฉิน โดยไม่มีใครได้นอนเลยตลอดทั้งคืน
ช่วงครึ่งคืนหลัง ทุกครั้งที่มีใครยกอุปกรณ์ฉุกเฉินเข้าไปในห้องคนไข้ มารดาของโม่ฮุ่ยหลิงก็จะกรีดร้องโหยหวนเสียงดัง
ส่วนกู้จิ้งเจ๋อเองได้แต่นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา
เช้าวันต่อมา
หมอแจ้งว่าโม่ฮุ่ยหลิงพ้นขีดอันตรายแล้ว
พ่อแม่ของเธอรีบรุดเข้าไปดูอาการของบุตรสาวในห้องก่อนใคร กู้จิ้งเจ๋อปล่อยให้พวกเขาได้มีเวลาส่วนตัวกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเปิดประตูและเดินตามเข้าไป
โม่ฮุ่ยหลิงฟื้นแล้ว หน้าตาของเธอซีดเซียวและดูอ่อนเพลียอย่างมาก
เมื่อเธอหันมาเห็นกู้จิ้งเจ๋อ หญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง กัดริมฝีปากด้วยความโศกเศร้าและออกปากไล่เขาว่า “ไป ไปซะ มาทำไมกันล่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้าไปข้างเตียงด้วยสีหน้าเศร้าสลด “ฮุ่ยหลิง ดูตัวเองสิ นี่เธอทำอะไรลงไป”
โม่ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปากล่าง “คุณตบฉัน คุณตบฉันจริงๆ เพราะผู้หญิงคนนั้น คุณตบฉัน!”
“ใช่ ฉันผิดเองที่ตบเธอ ฉันขอโทษสำหรับเรื่องนั้น” คิ้วของเขาขมวดอย่างเป็นทุกข์ “แต่การที่เธอฆ่าตัวตายเพียงเพราะว่าฉันตบเธอ เธอกินยานอนหลับเพื่อให้ตัวเองตาย ฮุ่ยหลิง…เธอ เธอทำไมถึงไร้เหตุผลอย่างนี้นะ”
โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้ามองเขาด้วยความช็อก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะตำหนิเธอทั้งที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ได้
กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาว “เธอคิดแต่จะตายเพราะฉัน เธอเคยคิดถึงพ่อแม่ ครอบครัว เพื่อนสนิทของเธอบ้างหรือเปล่า ว่าพวกเขาจะเป็นยังไง ตอนที่เธอนอนอาการสาหัสอยู่อย่างนี้ เธอรู้มั้ยว่าพวกเขาเฝ้าเป็นห่วงมากแค่ไหนอยู่ข้างนอกนั่นน่ะ”
“ฉัน…”
“แค่เพราะโดนตบแค่นี้ เธอถึงขนาดทำร้ายตัวเองโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเลย เธอไม่คิดว่ามันเป็นการกระทำที่งี่เง่าไปหน่อยหรือไง เธอทำร้ายตัวเองเพียงเพราะเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน”
โม่ฮุ่ยหลิงยิ่งร้องไห้หนักเมื่อหันไปมองเขา “ก็ใครทำให้ฉันต้องทำแบบนี้ละคะ ฉันทำแบบนี้ก็เพราะคุณไงล่ะ!”
“นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉันยิ่งโกรธ ฉันเป็นแค่บุคคลชั่วคราวในชีวิตเธอ พ่อแม่เธอต่างหากที่จะอยู่ในชีวิตเธอตลอดไป เธอจะมีชีวิตอยู่โดยไม่คิดถึงตัวเองแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
ท่าทางของกู้จิ้งเจ๋อโกรธจัดทีเดียว
โม่ฮุ่ยหลิงดื้อรั้นถึงจุดที่เกินกว่าจะรับได้อีกแล้ว บางทีตัวเธอเองอาจไม่ทันได้คิดว่าผลที่ตามมาจะเลวร้ายขนาดนี้ก็ได้ จึงทำลงไปโดยไม่ได้คิดอะไร
ชายหนุ่มตำหนิตัวเองที่ลงมือกับเธอ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็โกรธมากที่เธอทำกับชีวิตราวกับเป็นสิ่งไร้ค่าเพราะเรื่องแค่นี้
มันขาดความยั้งคิดจนเกินรับได้
เขาไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังผิดหวังในตัวโม่ฮุ่ยหลิงมากขึ้นทุกทีด้วยเหตุผลบางอย่าง
เมื่อก่อนนี้เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่เปราะบางและอ่อนแอจนไม่รู้คิดขนาดนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว เธอเป็นขั้วตรงข้ามของหลินเช่อโดยแท้
“ทำไมเธอถึงอยากจะฆ่าตัวตายขึ้นมาล่ะ เพื่อจะให้ฉันต้องรู้สึกผิดและเสียจนไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อถาม
โม่ฮุ่ยหลิงได้แต่ร้องไห้และตอบว่า “เปล่านะคะ ฉันแค่เสียใจมาก จะให้ฉันทนฟังคุณตำหนิแล้วก็ดุด่าว่ากล่าวได้ยังไงล่ะ…ฉันทำไปเพียงเพราะว่าฉันแค่ไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง…”
กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตามองอีกฝ่ายพลางสูดหายใจเข้าลึก “เอาละ พักซะเถอะ ฉันหวังว่าคราวหน้าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เธอไม่ใช่เด็กแล้วนะฮุ่ยหลิง หัดคิดถึงสิ่งที่จะตามมาก่อนจะลงมือทำอะไรด้วย”
โม่ฮุ่ยหลิงร่ำไห้พลางพยักหน้ารับ ในใจของเธอคิดว่า การที่กู้จิ้งเจ๋อดุด่าว่ากล่าวเธอเช่นนี้ ก็เพื่อเอาชนะความกลัวในใจของตัวเขาเอง
เมื่อชายหนุ่มได้พูดในสิ่งที่ควรพูดแล้ว เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังอ่อนเพลียอย่างมาก เขาจึงได้เพียงแค่ส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันยังมีเรื่องต้องไปจัดการอีก”
“นี่คุณจะไม่อยู่เป็นเพื่อนฉันหรือคะ” โม่ฮุ่ยหลิงท้วง
กู้จิ้งเจ๋อตอบว่า “ฮุ่ยหลิง ตอนนี้เธอควรจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของเธอมากกว่านะ พวกเขาคือคนที่คอยเป็นห่วงเธอตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ไม่ใช่ฉัน เอาไว้ฉันจะกลับมาเยี่ยมวันหลัง”
โม่ฮุ่ยหลิงหันไปมองบิดาและมารดาของเธอแล้ว ก็ได้แต่เพียงพยักหน้ารับคำ
เมื่อโม่ไค่ฮุยเห็นกู้จิ้งเจ๋อกลับออกไปแล้ว เขาก็ชี้นิ้วมาที่ลูกสาวและพูดขึ้นว่า “ดูเข้าสิ ดูตัวเองเข้าสิ เธออยู่หรือตายเพื่อผู้ชายคนนี้ แต่เขากลับเอาแต่ดุด่าแก”
โม่ฮุ่ยหลิงพ่นลมพรืด “แล้วยังไงละคะ เขาก็คอยอยู่ข้างๆ หนูตลอดทั้งคืนไม่ใช่หรือไงล่ะ ก็เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้เอง กู้จิ้งเจ๋อเป็นคนทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เขาจะต้องตำหนิหนูก่อนเพราะเขาคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่เขาก็ยังรักหนูอย่างสุดหัวใจอยู่ดีนั่นแหละ”
“พอทีเถอะ แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าเขารักแก ผู้ชายน่ะใจดำกันทั้งนั้น แล้วตอนนี้เขามีผู้หญิงใหม่ แม่หลินเช่ออะไรนั่น เขาเลิกสนใจแกไปแล้ว”
“พ่อ…นั่นไม่สำคัญหรอกค่ะ ต่อให้หนูตาย หนูก็จะไม่ยอมให้นังแพศยานั่นคว้ากู้จิ้งเจ๋อไปได้แน่ ฮึ ทำไมมันถึงไม่ตายๆ ไปซะทีนะ อะไรๆ คงดีกว่านี้!”
เมื่อกู้จิ้งเจ๋อกลับถึงบ้าน เขาก็ได้พบว่าหลินเช่อออกจากบ้านไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มถามสาวใช้และก็ได้คำตอบว่า “คุณผู้หญิงออกไปตั้งแต่เช้าพร้อมกระเป๋าเดินทางน่ะค่ะ บอกว่าจะต้องเดินทางไปร่วมงานอีเวนต์”
——
[1] แกล (Gyaru – ギャル หรือ Gal) เป็นแฟชั่นรูปแบบหนึ่งในญี่ปุ่น ที่ถือกำเนิดในช่วงยุค 90 ผิวสีแทนเข้ม ผมและลิปสติกสีสว่าง