เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 177
เมื่อกำลังตื่นเต้น หลินเช่อจึงลืมอาการปวดท้องของตัวเองไปเสียสนิท
ระหว่างการแสดง หลินเช่อร่อนลงมาด้วยลวดสลิงประหนึ่งว่ากำลังลงมาจากสรวงสวรรค์ เมื่อลงสู่พื้นเวทีแล้ว เธอก็รู้สึกได้ถึงแสงไฟอันเจิดจ้าที่สาดส่องอยู่รอบตัวจนไม่อาจมองเห็นคนดูที่อยู่ด้านล่างได้ และทำได้แต่เพียงร้องไปตามจังหวะดนตรีที่ได้ยินเท่านั้น
เธอมีหน้าที่เพียงมาช่วยเป็นนักร้องเสริมเท่านั้น เพราะการร้องเพลงส่วนใหญ่ตกเป็นหน้าที่ของนักร้องชาย ทักษะการร้องเพลงของหลินเช่อไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก อยู่เพียงแค่ระดับมาตรฐานการร้องตามคาราโอเกะเท่านั้น เธอจึงทำได้เพียงแต่ฮัมเพลงคลอไปตามเสียงร้องของอีกฝ่าย
หลินเช่อร้องเพลงจบอย่างกระท่อนกระแท่น เมื่อลงจากเวทีแล้ว เธอถึงกับยกมือทาบอกและพูดว่า “คราวหน้าอย่ามาขอให้ฉันร้องเพลงอีกเลยนะคะ มันน่ากลัวมากจริงๆ”
นักร้องชายที่เพิ่งทำการแสดงร่วมกันหันมายิ้มให้ “ผมต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายกลัวน่ะ คุณร้องเสียงหลงออกอย่างนั้นจนผมเองยังแทบทำอะไรไม่ถูกเลย”
“แหม ใจร้ายจัง เอาเถอะค่ะ ยังไงคุณก็เป็นคนช่วยประคองให้โชว์นี้จบลงได้ นับว่าคุณเก่งมากทีเดียว งั้นฉันก็ขอพึ่งคุณนี่แหละค่ะ” หลินเช่อรีบบอก
ฝ่ายนักร้องชายเป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย เมื่อได้ยินหลินเช่อพูดเช่นนั้น เขาเองก็พูดกับเธออย่างมีมารยาทว่า “เอาเถอะครับ อย่างน้อยเราก็ไม่พากันล่ม การที่คุณพยายามร้องเองโดยไม่ลิปซิงค์นี่ก็นับว่าน่าทึ่งมากแล้วละครับ”
หลังจากนั้น หลินเช่อก็ไปนั่งดูฉินหวานหว่านร้องเพลงอยู่ครู่หนึ่ง ฉินหวานหว่านและกู้จิ้ิ้งอวี่ต้องขึ้นเวทีพร้อมกันเพื่อสร้างกระแสให้กับซีรีส์โทรทัศน์ของทั้งคู่ และเพลงที่พวกเขาร้องก็เป็นเพลงประกอบจากซีรีส์โทรทัศน์เรื่องเดียวกันนั่นเอง การแสดงนี้จึงได้รับความสนใจไม่น้อย
ที่ด้านล่างของเวที หลินเช่อพูดว่า “ฉินหวานหว่านร้องเพลงเพราะทีเดียวนะคะ…พอที หมดกันเลยภาพลักษณ์ฉัน เป็นความผิดของกู้จิ้ิ้งอวี่แท้ๆ เขาบังคับให้ฉันมาร่วมงานนี้โดยไม่มีเหตุผล…”
อวี๋หมินหมิ่นปลอบว่า “ช่างเถอะน่า เธอเป็นนักแสดงนะ ใครจะสนกันล่ะว่าเธอจะร้องเพลงเพราะหรือเปล่าน่ะ ลืมมันไปซะเถอะ แค่เธอได้มาร่วมงานนี้แล้วก็ได้พื้นที่ข่าวบ้างก็ดีถมไปแล้วละ”
แต่แล้วท้องของหลินเช่อก็เริ่มปวดขึ้นมาอีก เธอนั่งลงและพูดขึ้นว่า “สงสัยจะไม่ไหวแล้วละค่ะ ตอนนี้ฉันรู้สึกปวดท้องเหมือนจะตายให้ได้เลย”
ขณะที่พูด หลินเช่อก็ลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว
ด้วยความตกใจ อวี๋หมินหมิ่นรีบถามด้วยอาการลนลานว่า “เกิดอะไรขึ้น ไหนขอฉันดูหน่อยซิ”
หลินเช่อบอกว่า “โทรหากู้จิ้งเจ๋อให้หน่อยเถอะค่ะ…บอกเขาว่าฉันปวดท้อง…”
อวี๋หมินหมิ่นรับโทรศัพท์ไป เธอยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะต้องโทรหากู้จิ้งเจ๋อ แต่เมื่อได้เห็นว่าหลินเช่ออาการหนักไม่น้อย เธอจึงรีบต่อสายในทันที
กู้จิ้งเจ๋อรับสายรวดเร็วทันใจ ชายหนุ่มส่งเสียงถามมาตามความเคยชินว่า “งานเลิกแล้วเหรอ จะให้ฉันไปรับหรือเปล่า”
อวี๋หมินหมิ่นรีบพูดโดยไว “ท่านประธานกู้ค่ะ หลินเช่อปวดท้องหนักมาก เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะค่ะ”
ที่ปลายสาย กู้จิ้งเจ๋อนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกอย่างหนักแน่นว่า “ฉันจะไปรับเขากลับมาเอง”
ก่อนจะวางสายไป
ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องที่จะออกไปสังสรรค์กันให้สนุกสนานต่อในคืนคริสต์มาสอีฟอยู่นั้น หลินเช่อก็ออกจากงานไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อฉินหวานหว่านออกมามองหาหลินเช่อ เธอก็ได้พบว่าอีกฝ่ายหายตัวไปเสียแล้ว
หญิงสาวจึงรำพึงกับตัวเองว่า “หายตัวกันไปไวเหลือเกินนะ ทีละคนสองคน ให้ตายสิ นี่ฉันเป็นคนเหงาคนเดียวที่มองหาคนมาฉลองคริสต์มาสอีฟด้วยหรือไงนะ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นว่า “คุณไม่เห็นละสิว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ ก่อนหน้านี้ มีรถหรูคันนึงแวะเข้ามารับเธอไป หน้าตาท่าทางคนที่มาไม่ธรรมดาเลย มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไปอย่างเราๆ แน่ แถมยังมีบอดี้การ์ดอีกเป็นโขยงตามหลังมาด้วย พวกเขารับตัวเธอขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเธอคงจะไม่สบาย แต่เธอก็เป็นมืออาชีพมากเลยนะ ก่อนหน้านี้เธอก็อดทนไว้โดยไม่ปริปากบ่นเลยซักคำ พอพวกเขามาถึง ก็รับตัวเธอไปทันทีเลย”
ฉินหวานหว่านเริ่มสับสนเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อบอกเธอก่อนหน้านี้ว่ามีประจำเดือนจนอาจสร้างปัญหา นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่หล่อนปวดท้องกระมัง ว่าแต่ แล้วใครกันที่มารับหลินเช่อไปล่ะ
หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ สถานที่จัดงานอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นกู้จิ้ิ้งอวี่ เธอจึงคิดกับตัวเองว่า บางทีอาจเป็นกู้จิ้ิ้งอวี่นั่นแหละ เพราะถึงอย่างไรคนตระกูลกู้ก็มีศักยภาพในการทำอะไรได้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่นะ การที่จะส่งคนที่โขยงมารับหลินเช่อไปก็ดูจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติตรงไหน
ในรถ สีหน้าของหลินเช่อบ่งบอกชัดเจนว่าเจ็บปวดอย่างยิ่ง กู้จิ้งเจ๋อโอบกอดเธอเอาไว้แน่นเมื่อหญิงสาวถามด้วยความสงสัยว่า “นี่เรากำลังจะไปไหนกันคะ”
กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ไปโรงพยาบาลน่ะสิ อยู่นิ่งๆ นะ”
“อันที่จริง ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ…มันแค่ปวดเท่านั้น…”
“อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ ใกล้ถึงแล้วละ เธอปวดท้องหนักมาก” กู้จิ้งเจ๋อมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้หลินเช่อไม่เคยปวดประจำเดือนมากมายอย่างนี้เลย หรือเป็นเพราะเธอเคลื่อนไหวมากเกินไปเพราะรีบร้อนที่จะมาร่วมงานอีเวนต์นี่จนทำให้ปวดท้องกันแน่นะ
หลินเช่อเอนตัวพิงอกเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง แม้ว่าจะรู้สึกเหมือนเป็นคนโลภมาก แต่หญิงสาวก็อดคิดไม่ได้ว่า ต่อให้ปวดมากกว่านี้เพื่อแลกการได้มีเขามาคอยกอดปลอบใจมันก็คุ้มค่าแล้ว
น้ำเสียงปลอบโยนที่เขาใช้ มันแทรกซึมทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้หลินเช่อไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
แม้จะรู้ตัวว่าไม่ควรรู้สึกแบบนี้ แต่เธอก็อดพอใจกับการที่เขาดูแลเอาใจใส่เธอแบบนี้ไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง
ตอนที่อาการปวดกำเริบขึ้นมา บุคคลแรกที่เธอนึกถึงก็คือกู้จิ้งเจ๋อ ดูเหมือนว่าเธอออกจะเสพติดกับการพึ่งพาเขาขึ้นมาหน่อยๆ เสียแล้วสิ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชื่อของเขาจึงได้ผุดขึ้นมาในหัวเธอเป็นชื่อแรก แต่เธอรู้ดีว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ กู้จิ้งเจ๋อจะต้องช่วยเธอได้แน่
ความรู้สึกไว้วางใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ รับไม่ได้อย่างยิ่ง
เมื่อในขณะที่ได้พักพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบนี้ เธอก็ไม่อยากที่จะคิดถึงอะไรอื่นอีกแล้ว
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่กู้จิ้งเจ๋อคิดไว้จริงๆ หมอบอกว่าเป็นเพราะว่าเธอเคลื่อนไหวมากเกินไป ส่วนอย่างอื่นไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา และบอกเธอให้นอนพักมากๆ
ดังนั้น เมื่อกลับมาถึงโรงแร ในห้องสวีท กู้จิ้งเจ๋อจึงถามขึ้นว่า “เธออยากกินอะไร เดี๋ยวฉันจะส่งคนออกไปซื้อให้”
หลินเช่อตอบ “แต่ฉันยังไม่อยากกินอะไรเลยนี่คะ…”
“ไม่ได้ เธอต้องกินซักหน่อย” ชายหนุ่มยืนกราน
หลินเช่อคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะถามว่า “ถ้างั้น…งั้น ถ้าฉันอยากจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบที่ทำกินเองที่บ้านจะต้องทำยังไงคะ”
กู้จิ้งเจ๋อมองอีกฝ่ายก่อนจะพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะส่งคนออกไปซื้อบะหมี่มาให้ รอก่อนนะ”
“แล้วคุณจะต้มบะหมี่ให้ฉันหรือคะ” หลินเช่อยิ้มพลางกะพริบตา มองหน้าอีกฝ่าย
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นใครจะทำล่ะ”
หลินเช่อกระโดดผึงทันที “ว้าว กู้จิ้งเจ๋อ คุณนี่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย”
คำชมจากหลินเช่อนั้นมีค่าเหนือกว่าคำหวานใดๆ มันทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องเธอมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองหลินเช่อ แล้วก็รู้สึกปรารถนาที่จะทำทุกอย่างเพื่อเธอ
กู้จิ้งเจ๋ออดคิดไม่ได้ว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มแล้ว เขาไม่ควรจะมีความรู้สึกเช่นนี้หลงเหลืออยู่แล้ว
แต่คำพูดของเธอดูจะมีอำนาจราวกับเวทมนตร์ที่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างที่สุดได้
เพียงไม่นาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ถูกส่งมาที่ห้อง
ห้องสวีทของโรงแรมมีทุกอย่างพร้อมสรรพ ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นทุกอย่างมีอยู่อย่างครบครัน รวมถึงครัวขนาดเล็กสำหรับประกอบอาหารด้วย แม้ว่าคงจะไม่มีใครใช้งานในส่วนนี้บ่อยนัก แต่ห้องครัวนั้นก็ยังมีทุกอย่างพร้อม เมื่อหลินเช่อหันมองไปรอบๆ เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าโรงแรมแห่งนี้คู่ควรที่จะเป็นโรงแรมเจ็ดดาวโดยแท้ ราคาที่สูงลิบนั้นเป็นไปเพราะการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ทั้งนั้น
หญิงสาวนั่งมองอีฝ่ายวุ่นวายกับการปรุงอาหารราวกับรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
แม้ว่าเขาจะเคยเห็นเธอทำบะหมี่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถจัดการต้มมันได้อย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว เขาถือช้อนไว้ในมือข้างหนึ่งเพื่อตักซุปขึ้นชิมรส ส่วนมืออีกข้างเท้าเอวเอาไว้ ด้วยความสูงและรูปร่างอันบึกบึนนั้น ทำให้กู้จิ้งเจ๋อดูเย้ายวนใจอย่างที่สุดเมื่ออยู่ในห้องครัว
ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ใครๆ พากันบอกว่า ผู้ชายจะดูหล่อที่สุดเวลาทำอาหาร
โดยเฉพาะผู้ชายหน้าตาอย่างกู้จิ้งเจ๋อนี่ ไม่ว่าจะไปยืนตรงไหน เขาก็ดูเหมือนนายแบบบนหน้าปกนิตยสารไม่มีผิด
เพียงครู่ต่อมา เขาก็ยกบะหมี่มาเสิร์ฟให้เธอ
หลินเช่อเอ่ยชม “คุณทำออกมาได้ไม่เลวเลยนะคะ”
กู้จิ้งเจ๋อว่า “แน่ละสิ เธอคิดว่าทุกคนเขาโง่เหมือนเธอกันหมดรึไงล่ะ”
“เฮ้ บะหมี่ที่ฉันทำก็อร่อยออกนะ”
“พอที เอ้าอ้าปากสิ” กู้จิ้งเจ๋อหยิบตะเกียบและพยายามที่จะป้อนเธอ
หลินเช่อมองหน้าเขา เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่เป็นนาน เขาก็นิ่วหน้าและพูดซ้ำว่า “ฉันบอกให้อ้าปากไงล่ะ”
“โอ้ โอ้…” หลินเช่อรีบอ้าปากทันที โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมสันเปี่ยมเสน่ห์ของอีกฝ่าย ชั่วขณะนั้นเองที่เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจ เวลาที่เขาห่วงใยเอาใจใส่เธอ เขาก็ทำมันอย่างเต็มที่จริงๆ
แล้วหลินเช่อก็นึกขึ้นได้ว่า นี่ยังคงเป็นคืนวันคริสต์มาสอีฟ
เธอเงยหน้าขึ้นและบอกว่า “ใกล้จะคริสต์มาสแล้วนะคะ”