เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 293
ลู่ชูเซี่ยยิ้ม “พี่จิ้งเจ๋อ…ฉันก็แค่ชอบพี่เท่านั้นเอง ลองคิดดูให้ดีนะคะ เมื่อเทียบกันแล้วฉันด้อยกว่าเมียดาราของพี่ตรงไหนกัน ฉันเหนือกว่าหล่อนในทุกทางซะด้วยซ้ำ ใช้สมองของพี่ลองคิดดูก็แล้วกันนะ ว่าใครคู่ควรกับพี่มากกว่า ตอนนี้พี่ยังไม่มีลูก ต่อให้เธอหย่า มันก็ไม่ส่งผลกระทบกับใครอยู่ดีนั่นแหละ”
กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าลู่ชูเซี่ย “ก็ได้ ฉันจะลองคิดดู แต่ฉันหวังว่าเธอจะไม่โกรธถ้าผลลัพธ์ที่ออกมามันจะไม่เป็นที่พอใจของเธอนะ”
ลู่ชูเซี่ยว่า “ฉันรู้ว่าพี่ฉลาดฉันกว่าฉันค่ะ ถ้าฉันยังสามารถเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ แล้วทำไมพี่จะไม่เข้าใจล่ะ จริงมั้ยคะ”
แต่แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา
เขาไม่สามารถบอกใครเกี่ยวกับอาการป่วยของตัวเองได้ มีเพียงครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้ แต่ลู่ชูเซี่ยนั้นย่อมไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
เขาจึงบอกกับเธอว่า “ตกลง ฉันจะลองคิดดู” แล้วหลังจากนั้นก็รีบพูดว่า “ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ ช่วยบอกแม่ฉันด้วยแล้วกันว่าวันนี้ฉันคงไม่เข้าไปพบ” ก่อนที่จะรีบโทรหาเฉินอวี่เฉิงทันที
อาการป่วยของเขากำเริบขึ้นมาแล้ว
ที่ออฟฟิศของแพทย์หนุ่ม
เฉินอวี่เฉิงมองดูผู้ป่วยของเขาด้วยความเห็นใจ “เอาละ ไม่เป็นไรมากหรอกครับ คราวนี้ไม่เป็นผื่น เพียงแต่มีรอยแดงเท่านั้น”
ชายหนุ่มพิจารณาดูใบหน้าของตัวเองแล้วก็ถอนใจ เพราะชูเซี่ยแท้ๆ
เฉินอวี่เฉิงถามขึ้นว่า “จะให้บอกคุณนายกู้หรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่จำเป็น”
เฉินอวี่เฉิงยังสงสัย “แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนแถมยังใจกว้างอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านประธานกู้มีครอบครัวแล้ว แต่หล่อนก็ยังเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดอีกอย่างนี้”
กู้จิ้งเจ๋อส่ายหน้าและอธิบายว่า “หล่อนถูกตามใจมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ น่ะ แล้วก็ยังเป็นพวกเผด็จการอีกต่างหาก ฉันชินแล้วละ เป็นเรื่องขำๆ น่ะ ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจหรอก”
“จริงน่ะหรือครับ” เฉินอวี่เฉิงว่า “แต่ถ้าท่านประธานกู้ไปเกี่ยวดองกับตระกูลลู่ละก็ นั่นจะยิ่งส่งผลดีอย่างมากต่อกู้อินดัสทรี่ทีเดียวนะครับ”
กู้จิ้งเจ๋อตวัดสายตาเย็นชาใส่นายแพทย์หนุ่ม
เฉินอวี่เฉิงจึงรีบแก้ตัว “ผมก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง แล้วถ้าอย่างนี้คุณจะทำยังไงล่ะครับ”
กู้จิ้งเจ๋อบอก “ฉันให้สัญญาไปแล้วว่าจะลองคิดดู”
“โอเค…”
ชายหนุ่มคิดคำนวณถึงเรื่องนี้อยู่ในใจ ก็อย่างที่ลู่ชูเซี่ยบอกนั่นแหละ หล่อนคู่ควรกับกู้ อินดัสทรี่กว่ามาก แถมหล่อนยังเป็นผู้หญิงแบบที่เขาเคยชื่นชอบมาก่อนอีกด้วย ทั้งโด่งดังในวงสังคม การศึกษาดี มีความมั่นใจและฉลาด แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกกับหล่อนแบบเดียวกับที่เขารู้สึกกับหลินเช่อ
เมื่อลองคิดถึงหลินเช่อ ก็เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ใช่สเป็กเขาแม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกปรารถนาในตัวเธออย่างชนิดที่อธิบายไม่ได้
แต่กับลู่ชูเซี่ยนั้น…
เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาว ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่เขาปฏิบัติกับกู้จิ้งเหยียน
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ได้ลองใคร่ครวญดูแล้ว เขาก็ยังคงไม่คิดที่จะเลิกกับหลินเช่อเลยแม้แต่น้อย
ขณะที่หลินเช่อยังอยู่ในกองถ่าย เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากที่บ้าน เมื่อสาวใช้โทรมาแจ้งว่ากู้จิ้งเจ๋อล้มป่วย
หญิงสาวตระหนกขึ้นมาทันที เธอรีบแจ้งกับกู้จิ้ิ้งอวี่ว่ามีเหตุด่วนเกิดขึ้น และเธอต้องออกไปจัดการ
กู้จิ้ิ้งอวี่ประหลาดใจมาก เขามองเห็นสีหน้าร้อนใจของเธอและถามว่า
“ทำไม เกิดอะไรขึ้นเหรอ เธอต้องบอกฉันนะถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยละก็”
“ไม่ค่ะ ก็แค่…เรื่องที่บ้านน่ะ ฉันไปก่อนละนะคะ”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินจึงเสนอว่า “เดี๋ยวให้คนไปส่งเธอก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง บริษัทฉันมีรถค่ะ”
กู้จิ้ิ้งอวี่ไม่เคยเห็นหลินเช่อมีสีหน้าท่าทางร้อนรนเช่นนี้มาก่อน เขาจึงคิดว่าคงจะต้องมีเหตุด่วนเกิดขึ้นจริงๆ เขาจึงตัดสินใจเธอมาส่งเธอขึ้นรถ
ผู้กำกับเดินตามมาข้างหลัง ไม่ว่ากู้จิ้ิ้งอวี่จะไปที่ไหน ก็ย่อมต้องมีคนคอยติดตามเขาเสมอ เพราะเขาคือกู้จิ้ิ้งอวี่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับก็ได้เห็นว่าชายหนุ่มเพียงแต่เดินไปส่งหลินเช่อเท่านั้น แต่การสบตาและปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ที่ได้เห็นนั้น ใครบ้างจะไม่คิดว่าดาราหนุ่มดูจะเอาใจใส่ห่วงใยหลินเช่อมากเป็นพิเศษ
ที่ออฟฟิศของเฉินอวี่เฉิง
หลินเช่อรีบเดินทางมาถึงอย่างเร่งร้อน และเธอก็ได้เห็นเฉินโยวหรานอยู่ที่นั่นด้วย
“โหยวหราน เธออยู่ที่นี่เหรอ…ดีเลย ฉันได้ยินมาว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่สบาย นี่เขาอยู่ไหนล่ะ”
เฉินโยวหรานหันมาเห็นหลินเช่อก็ถามว่า “เฮ้ เกิดอะไรขึ้นน่ะ กู้จิ้งเจ๋อเลิกกับโม่ฮุ่ยหลิงไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาถึงได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยัยผู้หญิงที่ชื่อลู่ชูเซี่ยได้ล่ะ”
หลินเช่อชะงัก
ลู่ชูเซี่ย…
ถ้างั้นที่อาการป่วยของเขากำเริบ ก็เป็นเพราะว่าลู่ชูเซี่ยสินะ…
หลินเช่อรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าตึงขึ้นทันที แขนขาพลันอ่อนเปลี้ยไปหมดเมื่อได้รับรู้ข้อมูลนี้
เธอไม่อยากเข้าไปข้างในอีกแล้ว จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและไม่พูดจาอะไรอยู่พักใหญ่
ไม่สิ เธอจะไปแคร์อะไรมากมายล่ะ เขาเป็นอะไรกับเธองั้นเหรอ เธอไม่จำเป็นต้องแคร์เขามากขนาดนี้ก็ได้ เพราะถึงอย่างไรเธอกับเขาก็ตกลงกันมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าการแต่งงานครั้งนี้จะไม่มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง มันเป็นแค่การแต่งงานเท่านั้น เขาเป็นสามีของเธอ ไม่ใช่คนรักเสียหน่อย
ใช่ และเขาก็เป็นแค่สามีของเธอเท่านั้นมาโดยตลอด…
แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงทำให้เธอตัวสั่นระริกได้ขนาดนี้นะ ความเย็นยะเยือกนี้แล่นปราดจากหัวใจแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูในร่างกาย จนเธอเย็นเฉียบไปทั่วร่าง
เฉินโยวหรานสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อน จึงดึงแขนหลินเช่อและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ยัยลู่ชูเซี่ยเป็นใครกันแน่น่ะ”
หลินเช่อหันไปมองเฉินโยวหราน และรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “เขาเป็นลูกสาวของตระกูลที่สถานะใหญ่โตเทียบเท่ากับตระกูลกู้ได้เลยน่ะ ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นสาวสังคมที่โด่งดังมากทีเดียวในแวดวงนี้”
เมื่อเฉินโยวหรานได้ยินดังนั้น เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอมักจะคอยสำรวจดูอันดับคนดังในเว็บออนไลน์อยู่เสมอๆ “ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแม่นั่นจะดังน่ะ เขาดังเท่าเธอเลยงั้นเหรอ”
“เฮ้ ไม่ต้องไปเช็กหรอกน่า มันเป็นความดังคนละแบบกันน่ะ”
แต่เฉินโยวหรานจัดแจงพิมพ์ชื่อหล่อนเข้าไปในโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วด้วยความไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แล้วเสิร์ชเอ็นจิ้นก็แสดงให้เห็นภาพของลู่ชูเซี่ยในทันที
ภาพถ่ายนั้นดูเหมือนจะมาจากงานเลี้ยงหนึ่ง หญิงสาวสวมชุดยาวพาดพันกันอย่างหรูหรางดงาม ดูแล้วแทบไม่ต่างอะไรกับโม่ฮุ่ยหลิงเลยแม้แต่น้อย
“เอ้อ ฉันไม่คิดว่าหล่อนจะดังขนาดนี้นะเนี่ย” เฉินโยวหรานยังทำวางท่าอยู่ “ลูกสาวคนที่สองของตระกูลลู่ น้องสาวของลู่เป่ยเฉิน ดอกไม้งามของแวดวงไฮโซ หล่อนป๊อบมากแล้วก็ยังเป็นที่หมายปองของบรรดาหนุ่มโสดมากมายด้วย เชอะ สวยไม่เท่าเธอซักหน่อยนะเนี่ย”
อย่างไรก็ตาม ข้อความคอมเมนต์ด้านล่างที่ได้อ่านนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าสาวไฮโซและดารานั้นแตกต่างกันจริงๆ
พวกหล่อนอาศัยคุณสมบัติมากกว่ารูปร่างหน้าตา คนในวงสังคมก็คือคนในวงสังคม พวกเขาสนใจให้ความสำคัญกับสถานะของครอบครัวด้วย
เฉินโยวหรานพูดอย่างหัวเสียว่า “อีตากู้จิ้งเจ๋อมีภรรยาอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงยังไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงแบบนี้อีกนะ”
เฉินโยวหรานเห็นหลินเช่อยืนนิ่ง สีหน้าไม่สู้ดี จึงรีบปลอบว่า “คือ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ บางทีมันอาจจะเป็นการสัมผัสกันโดยบังเอิญก็ได้นี่นา”
จากการที่อาการของชายหนุ่มกำเริบ…นั่นแปลว่าการสัมผัสจะต้องลึกซึ้งพอสมควรเลยทีเดียว
เธอเคยได้ยินเฉินอวี่เฉิงบอกว่า ปกติแล้วอาการจะกำเริบก็ต่อเมื่อมีการสัมผัสกันทางเหงื่อหรือน้ำลาย
ถ้าหากว่าเป็นการถูกเนื้อต้องตัวกันโดยบังเอิญ ถ้าอย่างนั้นเขาจะล้มป่วยได้ยังไงกันล่ะ
อย่างน้อยนี่จะต้องเป็นการสัมผัสที่ใกล้ชิดกันพอสมควรเลยทีเดียว
หลินเช่อมองหน้าเพื่อนสนิท “ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่ากู้จิ้งเจ๋อกับฉันน่ะ…เราไม่เหมือนคู่แต่งงานทั่วไป ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราค่อยคุยกันหลังจากที่ฉันเข้าไปดูอาการเขาก็แล้วกันจ้ะ”