เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 318
“ขอโทษด้วยครับ คุณลู่ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้นครับ” บอดี้การ์ดพูดเสียงเย็น
ลู่ชูเซี่ยมองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ทำไมล่ะ แล้วทำไมหลินเช่อกับกู้จิ้งเจ๋อถึงเข้าไปได้”
“เฉพาะสมาชิกตระกูลกู้เท่านั้นครับจึงจะเข้าไปได้ คนนอกไม่ได้รับอนุญาต เป็นคำสั่งของท่าน”
“นี่แก…แม้แต่ฉันก็เข้าไปไม่ได้งั้นรึ ฉันเป็นเพื่อนสนิทของกู้จิ้งเจ๋อนะ”
“ท่านสั่งมาอย่างนี้ครับ” บอดี้การ์ดตอบ
ลู่ชูเซี่ยยิ่งหงุดหงิดหนักขึ้นไปอีก “แล้วทำไมหลินเช่อถึงได้เข้าไปง่ายๆ อย่างงั้นล่ะ”
“คุณผู้หญิงเป็นสมาชิกตระกูลกู้ เธอย่อมต้องเข้าไปได้ครับ…” บอดี้การ์ดว่า
ลู่ชูเซี่ยถูกขวางเอาไว้ด้านนอก หญิงสาวรู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่รอบๆ เริ่มหันมามองราวกับว่าจะเยาะหยัน
เมื่อเห็นว่ามีคนมองมากเข้า เธอก็รีบหมุนตัวกลับออกมา แล้วทำท่าเยาะเย้ยราวกับว่าไม่ได้แยแสอะไร
เข้าได้เฉพาะสมาชิกตระกูลกู้เท่านั้น…
ทุกคนที่มองดูต่างก็คิดเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเข้าไปได้ แม้แต่ลู่ชูเซี่ยยังถูกกันเอาไว้ แล้วคนอื่นจะไปมีโอกาสได้ยังไงเล่า
กู้จิ้งเหยียนนั่งลงหงอยๆ ที่ห้องด้านใน
ชุดวิวาห์ยาวสีขาวที่ดูกระจ่างบางใสในตอนแรก บัดนี้เริ่มดูหมองหม่นสิ้นหวัง
เธอได้ยินใครบางคนเดินเข้ามา จึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อได้เห็นสีหน้าห่วงใยของทุกคน กู้จิ้งเหยียนก็เพียงแต่พูดเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่เป็นไรหรอกค่ะ…ถ้าเขาจะไม่มาจริงๆ…เขาไม่ต้องมาก็ได้ ถึงยังไงทุกอย่างก็จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เราจดทะเบียนกันแล้ว วันนี้ก็เป็นแค่พิธีการเท่านั้น”
ขณะที่พูด หญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน
“ถ้าเขาไม่มา ฉันจะดำเนินงานแต่งงานคืนนี้เอง”
ทุกคนต่างก็หันมองเธอด้วยความตกใจ
มู่หว่านฉิงลุกขึ้นและพูดว่า “จิ้งเหยียนจ๊ะ นี่มันไม่ดีเลยนะ ถ้าตระกูลลู่ไม่ได้จริงใจกับการแต่งงานครั้งนี้ เราลืมมันซะก็ได้นะ ลูกไม่จำเป็นต้องแต่งงาน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครต้องการลูกซักหน่อยนี่จ๊ะ ยกเลิกงานแต่งนี่ซะเถอะ”
“ไม่ค่ะ” กู้จิ้งเหยียนหันมาบอก “หนูเป็นภรรยาของเขาแล้ว งานแต่งอาจจะยกเลิกได้ แต่ไม่ใช่การแต่งงานของเรา”
มู่หว่านฉิงอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่กู้จิ้งเจ๋อกดไหล่มารดาเอาไว้
ผู้เป็นแม่จึงได้แต่เพียงทำปากขมุบขมิบ เธอรู้สึกว่านี่มันช่างไม่ยุติธรรมต่อลูกสาวของเธอเลย
แต่กู้จิ้งเหยียนก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง
ในงานมีแขกมากมาย ด้านนอกก็มีนักข่าวกำลังรออยู่
จะยกเลิกงานแต่งมหึมาขนาดนี้ได้ยังไงกัน
แม่ของเธอไม่อยากให้เธอเสียใจ แต่ในฐานะลูกสาวของตระกูลกู้แล้ว เธอไม่อาจปล่อยให้ครอบครัวต้องกลายเป็นตัวตลกของคนอื่นเพราะเธอได้
ครอบครัวของเธอจะต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน แต่สิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือการไม่หนีหน้าไป อย่างน้อยมันก็ช่วยรักษาเกียรติยศที่ยังพอหลงเหลืออยู่เอาไว้ได้บ้าง
กู้จิ้งเหยียนยกชายกระโปรงตัวเองขึ้นและหันไปบอกกับเด็กถือดอกไม้ที่ยืนอยู่ด้านหลังว่า “บอกพิธีกรด้วยนะจ๊ะ ว่างานแต่งกำลังจะเริ่มแล้ว”
บรรดาคนที่สังเกตการณ์อยู่ภายในงานต่างก็เริ่มซุบซิบพูดคุยกันเอง
ตระกูลกู้นั้นทรงอิทธิพลอย่างมาก ต่อให้พวกเขานึกอยากรู้แค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าเข้าไปถาม
และแล้วพิธีกรก็ก้าวขึ้นบนเวที ประกาศอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่าพิธีแต่งงานกำลังจะเริ่มต้นแล้ว
ในที่สุดงานก็เริ่มเสียที ความอึดอัดคับข้องทั้งหลายจึงค่อยๆ คลี่คลายหายไป
แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นกู้จิ้งเหยียนเดินมาตามพรมแดงเพียงคนเดียว
ไม่มีแม้แต่เงาของเจ้าบ่าวให้เห็น
ผู้คนคงไม่มีทางลืมงานแต่งงานอันสุดพิเศษในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
กู้จิ้งเหยียนสวยสง่า เธอยืนอยู่เพียงลำพัง และพูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงอันสงบราบเรียบว่า
“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนานนะคะ ทั้งอาหารและเครื่องดื่มถูกเสิร์ฟออกไปแล้ว ต้องขอขอบคุณทุกท่านจริงๆ ที่อุตส่าห์มาร่วมงานแต่งงานของฉัน เพียงแต่ลู่เป่ยเฉินไม่สามารถมางานได้ในคืนนี้เพราะงานยุ่ง”
แขกในงานพากันตกตะลึง
นี่มันหมายความว่ายังไง
เจ้าบ่าว…ไม่มางานแต่งงานของตัวเองงั้นรึ
แล้วงานแต่งนี่…ก็จะยังดำเนินต่อไปด้วยงั้นรึ
กู้จิ้งเหยียนยิ้มน้อยๆ และพูดต่อไปอย่างน่ามองว่า “แต่ไม่เป็นไรหรอกนะคะ ฉันจะดำเนินพิธีแต่งงานในคืนนี้เอง ฉันหวังว่าทุกคนคงจะสนุกกับงานในคืนนี้ ทั้งดนตรีและการเต้นรำ ทุกคนน่าจะต้องตื่นเต้นกับงานปาร์ตี้คืนนี้แน่ๆ!”
ทุกคนช็อกสนิท
แต่ก็ไม่มีใครกล้าค้านอะไร พวกเขากวาดตามองบอดี้การ์ดของตระกูลกู้ที่ยืนอยู่โดยรอบ และเริ่มขยับตัวตามจังหวะดนตรีทันที
ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันและกันด้วยความสับสนงงงุน ส่วนทางด้านสมาชิกตระกูลกู้เองก็หันหน้าเข้าหากันและเริ่มพูดคุย พวกเขากำลังถกเถียงกันเอง
“นี่มัน…มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“มีแต่ตระกูลลู่เท่านั้นที่สามารถทำแบบนี้ได้ในงานแต่งงานของตระกูลกู้”
“ลู่เป่ยเฉินกล้าหาญจริงนะ ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ เขาถึงไม่อยากแต่งงานกับเธอขึ้นมาล่ะ”
“มันอาจจะเป็นการแต่งงานก็จริง แต่กู้จิ้งเหยียนน่ะหัวแข็งพอๆ กับความสวย ผู้ชายคนไหนบ้างล่ะที่จะไม่ชอบผู้หญิงอ่อนโยน ตัวเล็กบอบบางน่ะ แต่งกับแม่เสือสาวแบบนี้มีแต่จะทำให้บ้านแตกเปล่าๆ ด้วยอำนาจของลู่เป่ยเฉิน เขาไม่จำเป็นต้องแต่งกับตระกูลกู้ก็ได้ เขาสามารถหาผู้หญิงที่ไหนที่พร้อมจะปรนนิบัติรับใช้เขาตามแต่ใจต้องการได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ดูกู้จิ้งเหยียนสิ…ฮ่าๆ ใครจะกล้าบังคับให้หล่อนมาปรนนิบัติล่ะ”
ทุกคนต่างก็มองตรงไปยังเจ้าสาว ก่อนจะหันกลับมามองบอดี้การ์ดที่ยืนห้อมล้อมอยู่ อย่าว่าแต่จะให้หล่อนมาปรนนิบัติเลย แค่ยืนอยู่แบบนี้ก็ขาสั่นจะแย่แล้ว…
ในขณะเดียวกัน ในห้องด้านใน…
กู้จิ้งเหยียนนั่งจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างเพียงลำพัง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เป็นอีกครั้งที่เธอต่อสายถึงลู่เป่ยเฉิน แต่โทรไม่ติด
“ท่านครับ” ทางด้านหลังเธอ มีคนหนึ่งเดินเข้ามารายงาน
“ว่าไป” หญิงสาวสั่งโดยไม่หันหน้ามามอง “ลู่เป่ยเฉินอยู่ที่ไหน”
“ฟู่เฉินซีกลับมาแล้วครับท่าน เขา…พอเขารู้ เขาก็เหมือนจะไปตามหาเธอ…”
แน่ละสิ…แน่ละ ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้
ฟู่เฉินซีกลับมาแล้ว ใช่เธอรู้มานานแล้ว มันดูเหมือนจะมีลางสังหรณ์ที่บอกว่า การกลับมาอย่างปุบปับของหล่อน จะทำลายทุกอย่างที่เธอสู้อุตส่าห์พยายามอย่างหนักที่จะสร้างมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างไร เธอก็จะไม่ยอมยุติการแต่งงานในครั้งนี้เป็นอันขาด
เธอเลือกที่จะเดินทางนี้แล้ว ต่อให้ต้องคลานไปเธอก็จะทำ เธอ กู้จิ้งเหยียน จะต้องใช้ชีวิตกับการแต่งงานครั้งนี้อย่างที่เธอได้เลือกแล้ว
เธอส่งสัญญาณบอกให้คนของเธอกลับออกไป หญิงสาวคว้าโทรศัพท์อีกครั้งและโทรหาลู่เป่ยเฉิน
คราวนี้ เธอโทรติด…
หลังจากเสียงสัญญาณ ก็มีเสียงผู้ชายรับสายในที่สุด
กู้จิ้งเหยียนกรอกเสียงลงไป “ลู่เป่ยเฉิน วันนี้วันแต่งงานของเรานะคะ คุณจะกล้าบอกว่าคุณลืมงั้นหรือ”
“กู้จิ้งเหยียน เมื่อตอนที่อยู่ๆ ฟู่เฉินซีก็หนีไปตอนนั้น…มันเป็นเพราะเธอ เธอเป็นคนไล่เขาไป ใช่มั้ย”
กู้จิ้งเหยียนชะงัก “นี่คุณพูดเรื่องอะไรกัน”
ลู่เป่ยเฉินหัวเราะเสียงเย็น “กู้จิ้งเหยียน เธอนี่ช่างไม่มีหัวใจเอาซะเลยนะ เฉินซีไปทำอะไรให้เธอถึงต้องทำกับเขาแบบนั้นน่ะ เธอพูดอะไรกับเฉินซี ถึงทำให้เขาหนีไปปุบปับเมื่อปีนั้น กู้จิ้งเหยียน ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นผู้หญิงร้ายกาจขนาดนี้ งานแต่งงานเหรอ ฉันไม่ไป เชิญเธอไปคนเดียวเถอะ”
“ฮ่า…ฮ่า ก็ได้ ก็ได้ ลู่เป่ยเฉิน ถูกต้องแล้วละ ฉันมันนางมารร้าย นี่เธอเพิ่งรู้หรือไงจ๊ะ น่าแปลกใจจริงเชียว ตอนที่เธอนอนกับฉัน เรียกชื่อฉันบนเตียง ตอนที่เธอต้องการฉัน แล้วพอมาตอนนี้เธอกลับมาเรียกฉันว่าผู้หญิงร้ายกาจงั้นเหรอ มันออกจะสายไปหน่อยแล้วมั้ง”