เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก - ตอนที่ 92
งานประกาศผลรางวัลแพนด้าทีวีนั้นเป็นพิธีการประกาศผลรางวัลที่ทรงเกียรติมากที่สุดรางวัลหนึ่งของประเทศเลยทีเดียว และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียด้วยที่จะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง
มันเป็นงานประกาศผลรางวัลที่มีคนคอยติดตามรับชมหลายร้อยล้านคนในแต่ละปี นี่จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย
อวี๋หมินหมิ่นเองก็ดีใจอย่างมาก เธอรีบพาหลินเช่อไปที่บริษัทเพื่อช่วยกันเลือกชุดที่จะสวมไปร่วมงาน
อวี๋หมินหมิ่นพยายามเลือกเฟ้นผู้สนับสนุนที่น่าเชื่อถือ ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นของดีมีคุณภาพเพื่อที่จะได้ภาพลักษณ์ที่ดีของนักแสดงที่เธอดูแลอยู่
ในบรรดานักแสดงที่อวี๋หมินหมิ่นเป็นผู้จัดการให้นั้น ตอนนี้หลินเช่อเป็นคนที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงมากที่สุด ผู้จัดการสาวจึงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีเพื่อให้หลินเช่อส่องประกายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่บริษัทนั้น อวี๋หมินหมิ่นต่อสู้เพื่อให้หลินเช่อได้มีห้องส่วนตัวของเธอ และในห้องส่วนตัวนั้นเอง เธอก็ยื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานส่งให้กับหลินเช่อ
“เพิ่งส่งมาวันนี้นี่เอง แม้แต่ตัวหนังสือพวกนั้นยังดูเหมือนจะดีใจไปกับเธอด้วยเลยนะ แต่ยังไงซะ คนอื่นที่ได้รับการเสนอชื่อในปีนี้ก็เป็นนักแสดงที่มีฝีมือไม่น้อยด้วยเหมือนกัน แล้วก็ยังมีพวกที่ใช้เต้าไต่ขึ้นไปด้วยนั่นแหละ แต่เธออย่าไปสนใจพวกนั้นเลย”
มีรายชื่อของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงแนบมาด้วย หลินเช่อเหลือบเห็นชื่อของหลินลี่อยู่ในรายชื่อผู้ได้รับการเสนอเข้าชิงตำแหน่งแฟชั่นนิสต้า เห็นทีคงจะไม่พ้นต้องได้เจอหล่อนในงานนี้ด้วยสินะ
หลินเช่อพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “บอกตามตรงว่าฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับการเสนอชื่อด้วยเลยนะคะ ฉันเพิ่งเคยได้แสดงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นเอง แถมยังเป็นบทสมทบอีกต่างหาก”
“ซีรีส์โทรทัศน์ของบริษัทกู้จิ้งเจ๋อน่ะโด่งดังมากทุกปีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของรายการยอดนิยมไปแล้วนะ เพราะอย่างนั้นเธอเลยได้รับการเสนอชื่อ ประการที่สองก็คือ บทที่เธอเล่นน่ะเป็นที่ชื่นชอบมากๆ และประการที่สามก็คือเธอแสดงได้ดีมากเลยล่ะ”
หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายอย่างตื้นตันใจ “พี่อวี๋คะ อย่าชมกันเกินไปแบบนี้สิคะ ข้อสุดท้ายที่พี่เพิ่งพูดมาน่ะ”
หลังจากที่ได้พบปะร่วมงานกันในทุกๆ วัน ความสัมพันธ์ระหว่างหลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นก็ดีขึ้นตามลำดับ และบทสนทนาระหว่างทั้งคู่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนหรือสงวนท่าทีอีกแล้ว
อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไป “ฉันพูดความจริงนี่นา แต่สิ่งที่เธอได้รับในวันนี้น่ะ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโชคเข้าข้างด้วย เพราะฉะนั้นก็อย่าได้หลงลืมตัวไปเสียล่ะ ได้ยินหรือเปล่า”
“เข้าใจแล้วค่ะ…”
“แต่ความพยายามของเธอที่สั่งสมมาตลอดก็ส่งผลให้เห็นแล้ววันนี้ เธอคู่ควรที่จะได้รับการเสนอชื่อแล้วนะ ฉันเชื่อว่าคนอื่นที่ได้รับการเสนอชื่อก็ยังแสดงได้ไม่ดีเท่าเธอเลย ฉันก็เลยคิดว่าเธอน่าจะมีโอกาสชนะอยู่ไม่น้อยทีเดียวล่ะ”
หลินเช่อยิ้มอายๆ พลางยกมือขึ้นปิดสองแก้มอย่างขัดเขิน “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ!”
อวี๋หมินหมิ่นติง “ฉันพูดจริงๆ นะ เธอคิดว่าตัวเองยังเป็นแค่นักแสดงเล็กๆ หรือไงกัน ตอนนี้เธอเป็นดาราดาวรุ่งแล้วนะ ทางบริษัทกำลังเตรียมที่จะหันไปจัดการเรื่องรูปลักษณ์ของเธออย่างจริงจังน่ะ”
“อา…ถึงยังไงฉันก็ยังไม่ชินอยู่ดีนั่นแหละค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวฉันประสบความสำเร็จขนาดนี้”
“อันที่จริง ฉันเองก็เหมือนกันนั่นแหละ เธอเองก็เป็นนักแสดงคนแรกที่ฉันดูแลแล้วประสบความสำเร็จขนาดนี้” อวี๋หมินหมิ่นว่า
หลินเช่อมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ “ที่ผ่านมาพี่อวี๋เองก็มีนักแสดงดังๆ ในมือตั้งหลายคนนะคะ”
อวี๋หมินหมิ่นตอบอย่างใจเย็น “นั่นเป็นเพราะว่าฉันทำงานที่นี่มานานแล้วน่ะสิ ฉันน่ะเริ่มงานที่นี่ด้วยการเป็นผู้ช่วยตั้งแต่เรียนจบนั่นแหละ จากตำแหน่งผู้ช่วยก็ขยับมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัว แล้วก็มาเป็นผู้จัดการทั่วไป จนกระทั่งมาเป็นผู้จัดการส่วนตัว ฉันทำงานที่นี่มาแปดปีเข้าไปแล้วนะ แย่หน่อยที่ต้องอาศัยโชคกว่าจะได้มาเจอนักแสดงที่มีศักยภาพดีๆ เข้าสักคนน่ะ ฉันทำงานอย่างตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่เคยคิดเรื่องการไปแย่งดารามาจากผู้จัดการคนอื่น ผลก็คือนักแสดงในการดูแลของฉันทั้งหมดก็เลยเป็นพวกนักแสดงหน้าใหม่หรือไม่ก็ดาราแก่เจ้าอารมณ์ทั้งนั้นเลย” เธอลูบไหล่หลินเช่อ “เพราะฉะนั้นนี่เลยเป็นครั้งแรกของเราทั้งคู่นั่นแหละ มาร่วมด้วยช่วยกันเถอะนะ”
“ค่ะ! มาช่วยกันเถอะค่ะ!” หลินเช่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเคยคิดว่าผู้จัดการเป็นตำแหน่งที่สูงส่งและทรงอำนาจ เพราะพวกเขาสามารถเลือกและกำหนดโชคชะตาให้กับนักแสดงทั้งหลายได้ แต่ตอนนี้เธอเพิ่งได้รู้ว่าการทำงานเป็นผู้จัดการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยเหมือนกัน เมื่อหญิงสาวทั้งสองเดินออกจากบริษัท กลุ่มนักแสดงรุ่นเล็กที่อยู่ด้านนอกก็เหลือบมาเห็นหลินเช่อ พวกเธอโค้งให้และทักทายว่า “สวัสดีค่ะพี่หลินเช่อ” และรอจนกระทั่งหลินเช่อเดินผ่านไปแล้วจึงเงยหน้าขึ้นดังเดิม
หลินเช่อรู้ดีว่าในวงการนี้ ลำดับความสำคัญและผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด เมื่อก่อนตัวเธอเองก็เป็นฝ่ายคอยหลบเวลาที่มีดาราดังๆ เดินผ่าน และรอจนกว่าเขาจะเดินไปแล้วเธอจึงค่อยเดินต่อแบบนี้เหมือนกัน
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นตัวเธอเองที่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ มันให้ความรู้สึกที่ประหลาดโดยแท้ทีเดียว
หลินเช่อรำพึงขึ้นว่า “บอกตามตรงนะคะ ฉันเพิ่งได้เล่นแค่เรื่องเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องปฏิบัติกับฉันแบบนี้ก็ได้”
อวี๋หมินหมิ่นหัวเราะแล้วตอบว่า “แต่ตอนนี้เธอดังแล้วนี่จ๊ะ แล้วก็กลายเป็นข่าวมาแล้วหลายครั้งด้วย แถมยังเป็นนักแสดงที่ถูกพูดถึงอย่างมากของปีนี้อีกต่างหาก ตอนนี้ทุกคนในบริษัทก็เลยรู้จักเธอกันหมดแล้ว”
หลินเช่อไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองจะกลายเป็นคนดังไปได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้
แต่แล้วเมื่อพวกเธอเดินมาถึงประตู…
ชายมีอายุคนหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ หลินเช่อแทบกระโดดหลบด้วยความตกใจกลัว
ทว่าชายผู้กลับไม่ได้สนใจหลินเช่อ แต่กลับหันไปหาอวี๋หมินหมิ่นและทรุดตัวลงคุกเข่า
หลินเช่อยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เธอหันไปมองอวี๋หมินหมิ่นที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉยแม้ว่าจะดูตกใจเล็กน้อยก็ตาม ชายแก่ผู้นั้นกอดขาอวี๋หมินหมิ่นเอาไว้แล้วร่ำร้องขึ้นว่า “หมินหมิ่น ลูกต้องช่วยพ่อนะ พ่อต้องตายแน่ๆ คราวนี้ถ้าลูกไม่ช่วยพ่อ พ่อต้องออกจากบ้านและกลายเป็นคนเร่ร่อนแน่ๆ”
ชายที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเนื้อตัวสกปรกผู้นี้คือพ่อของอวี๋หมินหมิ่นงั้นเหรอ
หลินเช่อตกตะลึง
อวี๋หมินหมิ่นกัดริมฝีปากขณะมองดูผู้เป็นพ่อ เธอผลักเขาออกแล้วพูดห้วนๆ ว่า “หนูบอกพ่อแล้วไงว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่หนูจะช่วยพ่อน่ะ คราวนี้ไปทำอะไรเข้าอีกล่ะ เสียเงินอีกแล้วงั้นเหรอ พ่อคะ หนูไม่มีเงินอีกแล้วนะ ไม่มีแม้แต่แดงเดียว นี่เป็นที่ทำงานของหนู ได้โปรดไปให้พ้นซะด้วย ไม่อย่างนั้นหนูอาจจะตกงานได้นะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วอีกหน่อยพ่อจะไปไถเงินใครล่ะ”
ชายผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นมองทั้งที่ยังคงนั่งอยู่กับพื้น “หมินหมิ่น คราวนี้พ่อไม่ได้เสียเงินนะ แต่เป็นเพราะไอ้สารเลวพวกนั้นต่างหาก พวกมันบอกว่าพ่อยังให้เงินพวกมันไม่พอ มันบอกว่ายังขาดอีกสามหมื่นหยวน แล้วถ้าพ่อหามาจ่ายไม่ได้ละก็พวกมันจะมาจับตัวแม่ของลูกไปทำงานเป็นแม่ครัวใช้หนี้ พ่อกลัวมาก กะ…ก็เลย…”
อวี๋หมินหมิ่นขมวดคิ้ว “อะไรนะ”
“พ่อก็เลยไปลักพาตัวผู้หญิงของนายน้อยจากบ้านตระกูลลู่มาข่มขู่พวกมัน ใครจะไปคิดล่ะว่าพ่อจะพลาดตีหัวเธอเข้าจนทำให้เธอต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วตอนนี้พวกมันก็จะฟ้องร้องพ่ออีก งานนี้พ่อจบเห่แล้วจริงๆ …”
“อะไรนะ!” อวี๋หมินหมิ่นเปลี่ยนจากขมวดคิ้วมาเป็นยิ้มร่า เธอมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างเยาะหยัน
“พ่อนี่เหลือเกินจริงๆ นะ ตอนนี้นอกจากติดการพนันแล้ว ยังเที่ยวทำร้ายคนอื่นอีกด้วยงั้นเหรอ”
“พ่อ…”
“ปล่อยหนูเถอะค่ะ หนูไม่สนใจหรอก พ่อควรจะเข้าคุกไปซะ ไม่อย่างนั้นก็คงมีแต่จะลากแม่กับพวกหนูให้เดือดร้อนไปด้วยอยู่ตลอดแบบนี้” อวี๋หมินหมิ่นผลักไสผู้เป็นบิดาออกจากการเกาะกุม
ชายแก่ล้มลงกับพื้น ผู้คนรอบข้างต่างพากันหันมามองด้วยความใคร่รู้ เมื่อเห็นเข้าชายแก่ผู้นั้นจึงระเบิดอารมณ์อย่างเกรี้ยวกราด เขายกนิ้วขึ้นชี้หน้าอวี๋หมินหมิ่นและด่าทอเสียงดังสนั่นว่า “นี่แกเป็นคนประเภทไหนกัน ฉันเป็นพ่อแกนะ แกมาทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันเลี้ยงแกมา ให้ข้าวให้น้ำแกกิน พอตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วก็มาถีบหัวส่งแบบนี้น่ะรึ ฉันกลายเป็นภาระของแกไปแล้วอย่างนั้นรึ ได้ ไม่ต้องมาสนใจฉัน ในเมื่อแกไม่อยากยุ่ง ฉันก็จะนั่งอยู่ตรงนี้แบบนี้นี่แหละ!”
อวี๋หมินหมิ่นพูดอะไรไม่ออก เธอจ้องหน้าคนเป็นพ่อด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหันไปโบกมือเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัย “ผู้ชายคนนี้มาเพ่นพ่านอยู่แถวนี้ ขัดขวางการทำงานของคนในบริษัท ช่วยพาตัวเขาออกไปด้วย!”
พนักงานรักษาความปลอดภัยรีบตรงเข้ามาจัดการลากตัวออกไปในทันที ชายชราร้องตะโกนโหยหวน เสียงของเขาสูงขึ้นและสูงขึ้นทุกที
หลินเช่อไม่กล้ามองและรีบพาอวี๋หมินหมิ่นออกมาจากตรงนั้นในทันที
คนที่ยืนอยู่โดยรอบหลายคนหันมามองอวี๋หมินหมิ่นด้วยสายตาติเตียน
นายอวี๋แม้จะถูกไล่ออกไปนอกบริษัทแล้วแต่เขาก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมจากไป หลินเช่อเห็นแล้วจึงพูดกับอวี๋หมินหมิ่นว่า “กลับไปกับฉันก่อนเถอะนะคะ ถ้าพี่กลับบ้านไปตอนนี้ พ่อของพี่ต้องหาตัวพี่เจอแน่ๆ”
อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่ออย่างนึกขอบคุณ “ตกลง ขอบใจมากนะ”
หลินเช่อส่งสัญญาณบอกโชเฟอร์ให้ขับรถกลับบ้านไปยังบ้านตระกูลกู้ในทันที