เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1004
บทที่1004 ขอลาออก
และก็ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน หานมู่จื่อพลิกตัว ลืมตาออกมาช้าๆ
สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในแววตานั้นเป็นบรรยากาศที่แปลกตาอยู่บ้างและทั้งยังคุ้นเคย เห็นหานมู่จื่อเหม่อลอยไปเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะเพิ่งตื่นนอน ในตอนนี้สมองก็เลยอยู่ในสภาพที่ยังเหม่อลอยออกมา
ผ่านไปได้สักพักนึง สติของเธอถึงจะรวบรวมกลับมาได้อย่างช้าๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งมองบรรยากาศโดยรอบ
เมื่อกี้นี้จะรู้สึกที่ทั้งแปลกที่และทั้งคุ้นเคย เป็นเพราะเธอได้มาที่นี่นานมากแล้ว แต่ในช่วงเวลาอันยาวนานเมื่อก่อนหน้านี้เธอนั้นได้อยู่ที่นี่เพียงลำพังอีกแล้ว
ห้องนี้ เป็นห้องที่เธอพักอยู่กับเย่โม่เซิน
หลังจากที่เย่โม่เซินเกิดเรื่อง ในตอนที่เธอกำลังกุมอำนาจในบริษัทแทนเย่โม่เซินอยู่นั้นเอง ก็ได้อยู่ที่นี่มาตลอด
นึกไม่ถึง…
ว่าเธอจะกลับมาอีก
ถึงแม้ว่าช่วงเวลาจะห่างกันไปไม่นาน แต่สำหรับเธอแล้วกลับเหมือนกับยาวนานเป็นศตวรรษ
หานมู่จื่อมองอยู่สักพัก อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาจากในลำคอ
ไม่ร้องอุทานออกมาก็ยังดีอยู่ พอร้องอุทานออกมาหานมู่จื่อก็รู้สึกว่าลำคอมันทั้งแห้งและทั้งคัน เหมือนกับไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานานไม่มีผิด
เธอย่นคิ้วนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เธอนั่งเครื่องสิบกว่าชั่วโมง แต่เพราะว่าอยู่บนเครื่องไม่สบายตัว ดังนั้นแล้วในตอนที่หลับก็เอาแต่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตลอด ในสิบกว่าชั่วโมงนั้นเธอได้หลับจริงๆไม่ถึงสองชั่วโมงด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้วหลังจากที่ลงจากรถกินข้าวแล้ว เธอก็ง่วงจนนอนหลับไป
เรื่องหลังจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้นึกย้อนขึ้นมาได้ว่า เธอกินข้าวเสร็จก็ไม่ได้กินน้ำ และก็ยังไม่ได้บ้วนปากเลย
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว หานมู่จื่อก็รู้สึกว่ามันน่ากลัว รีบลุกจากเตียงรวบผมขึ้นแล้วเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำ ไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน ตอนนั้นมันง่วงมากจริงๆ
ถ้าเมื่อก่อนตอนที่ไม่ได้ท้อง เรื่องพวกนี้จะทำไมเธอจะทนมันไม่ได้ เหอะ
หลังจากที่แปรงฟันเสร็จแล้ว หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองสดชื่นขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ออกจากห้องไป
“คุณนายน้อย คุณตื่นแล้ว”
เสียงสาวใช้ดังเข้ามาจากข้างๆ เอ่ยตามมาติดๆ “คุณชายเย่ให้พวกเราเตรียมมื้อเช้าให้คุณนายน้อยค่ะ”
“ค่ะ แล้วเขาล่ะ?” หานมู่จื่อถามออกมา
“ผู้ช่วยเซียวมาหาคุณชายเย่ไปบริษัทตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว คุณชายเย่ฝากให้พวกเรามาบอกคุณ ถ้าง่วงก็ไม่ต้องรอเขา คุณนายน้อยอย่าลืมพักผ่อนให้ดีก็พอ”
ที่แท้ก็ไปบริษัท
ทั้งสองคนเพิ่งจะกลับมา ไม่ปรับเวลาหน่อยเลยหรอ?
แต่ก็ใช่ อยู่ต่างประเทศมานาน เรื่องที่บริษัทก็ไม่มีใครดูแล ก่อนหน้านี้หานมู่จื่อดูแลอยู่เพียงคนเดียว เซียวซู่คอยช่วยอยู่ข้างๆ ภายหลังหานมู่จื่อออกไป ภาระมากมายในบริษัทก็ได้ตกลงมาที่เซียวซู่
สำหรับเซียวซู่แล้ว อยู่ข้างกายเย่โม่เซินมานานหลายปี มีความสามารถในการจัดการเรื่องบริษัท บวกกับที่เมื่อก่อนเซียวซู่เป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถของเย่โม่เซิน มีการคบค้าสมาคมกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นผู้บริหารทั้งระดับสูงและระดับกลางทั่วไป เมื่อจัดการงานต่างๆแล้ว อีกฝ่ายก็จะเห็นแก่มิตรภาพที่เคยมีต่อกันเมื่อก่อนแล้วไว้หน้าเซียวซู่บ้าง
ในตอนนั้นหานมู่จื่อเพิ่งจะขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธาน มีหลายคนที่ไม่ยอมรับเธอ ไม่ว่าคนพวกนั้นจะเป็นพวกระดับกลางระดับสูงที่ถูกเย่หลิ่นหานดึงตัวไปเป็นพวก ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกดึงตัวไปก็ยังคงไม่พอใจต่อการจัดการดูแลของเธออยู่ดี ก่อเรื่องไปถึงออฟฟิศอยู่ตลอด
ในตอนแรกเริ่มเซียวซู่ก็ได้เป็นคนผลักดันให้เธอ
สำหรับหานมู่จื่อในตอนนั้นแล้ว แค่ความสามารถในการจัดการของเธอก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก คนท้องคนนึง ส่วนเย่โม่เซินก็เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ขึ้นมาอีก แต่ละวันเธอต้องฝืนทำงานครบแปดชั่วโมงก็ลำบากเธอสุดๆแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการบริหารเลยด้วยซ้ำ
อีกทั้งเธอก็ไม่เคยบริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ภายใต้การช่วยเหลือของเซียวซู่ก็ได้ช่วยให้เธอค่อยๆยืนหยัดอย่างมั่นคงขึ้นมาช้าๆ
พอนึกขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกเศร้าใจอยากจะร้องไห้ออกมา
กินข้าวเช้าแล้ว หานมู่จื่อก็กลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็เดินไปรอบๆ แล้วก็ถือโอกาสโทรหาพี่ชายของตนไปด้วยเลย
ในตอนที่หานชิงรับสายเธอก็โพล่งออกมาว่า
“เรื่องนี้โม่เซินได้บอกพี่แล้ว เธอเป็นไงบ้าง?” หานชิงที่อยู่ปลายสายเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
หานมู่จื่อนิ่งไปสักพัก เพียงไม่นานก็เดาออกว่าเย่โม่เซินน่าจะเล่าเรื่องที่เธอนั่งเครื่องมาจนไม่ค่อยสบายกับหานชิงไปแล้ว เขาก็เลยถามออกมาอย่างนี้
“พี่คะ พี่วางใจเถอะค่ะ ฉันนอนไปตื่นนึงแล้ว ตอนนี้ก็สดชื่นขึ้นมากเลย
“งั้นก็ดีแล้ว”
คำพูดเพิ่งจะหลุดออกมา หานมู่จื่อก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางปลายสาย
“ประธานหาน การประชุมจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ”
หานชิงขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรออกไป แต่หานมู่จื่อก็ได้แย่งพูดออกมาเสียก่อน “พี่คะ พี่จะต้องเข้าประชุมแล้ว งั้นพี่ก็ไปประชุมเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”
พูดจบก็วางสายไป
หานชิงที่กำลังถือโทรศัพท์ “…”
เขาเก็บโทรศัพท์ ยกมือขึ้นมาบีบคิ้วตัวเอง ยิ้มออกมาอย่างจนใจ “ยัยเด็กคนนี้…”
จากนั้นก็ผันร่างเดินเข้าห้องประชุมไปกับซูจิ่ว
“คุณหนูมู่จื่อกลับมาแล้ว?” ซูจิ่วเอ่ยถามหยั่งเชิงออกไป
หานชิงพยักหน้า “อืม”
ซูจิ่วสงสัยเล็กน้อย แต่เห็นแรงกดดันจากร่างของหานชิงแล้ว คิดไปแล้วก็เลือกที่จะกลืนคำพูดกลับไปอีกครั้ง
หานชิงกลับมาครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั่วทั้งร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยแรงกดดันอยู่ตลอด ทำให้คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าถ้าพูดผิดไปสักคำเดียวจะทำให้เขาเกิดโทสะขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าหานชิงจะอาละวาดออกมาน้อยมาก แต่กลิ่นอายจากร่างของเขาล้วนเป็นกลิ่นอายของความเคร่งขรึม นิ่งเฉยอยู่ตลอด เข้าถึงยากเสียจนถึงแม้ว่าปกติจะไม่ได้ดูเป็นมิตรกับใครนัก แต่ในตอนที่คุณรายงานเรื่องงานกับเขาอย่างมากก็จะรู้สึกถึงเพียงความน่าเคารพที่มาจากเจ้านายเท่านั้น
และในตอนนี้นั้นได้เป็นแรงกดดันอันเยือกเย็นจำพวกนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดที่เย็นชาเสียจนน่ากลัวออกมา
ในช่วงเวลาที่ไปต่างประเทศ ตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
แต่มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นเอง ภายในใจของซูจิ่วมีเป็นพันคำถาม แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามออกไปยังไง อีกทั้งตนก็ไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะถามออกไปได้
แต่เมื่อกี้นี้ในตอนที่เห็นหานชิงรับสายของหานมู่จื่อแล้ว กลิ่นอายของความเย่อหยิ่งอวดดีจากร่างของเขาพวกนั้นได้ถูกยับยั้งเอาไว้อีกครั้ง สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความใจกว้างและความเป็นห่วงเป็นใยต่อญาติพี่น้องนั่นเอง
หลังจากที่วางสายไป ก็ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
นี่มันอะไรกันเนี่ย? หา?
*
หานมู่จื่อหลังจากที่ได้วางสายไป ก็ได้นั่งอยู่ริมน้ำไปด้วยความเบื่อหน่าย ในตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว เธอไม่ได้จุ่มเท้าลงน้ำเหมือนกับช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ทำได้เพียงแค่นั่งอาบแดดอยู่ริมน้ำ มองวิวทะเลไปอย่างนั้น
หานมู่จื่อวิดีโอคอลไปหาเสี่ยวหมี่โต้ว
สองแม่ลูกพูดคุยกันอยู่นาน ต่อจากนั้นยู่ฉือจินก็มาตามเสี่ยวหมี่โต้ว การโทรหากันก็เลยต้องสิ้นสุดลงไปอย่างนี้
หลังจากที่หานมู่จื่อวางสายจากวิดีโอคอลไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองง่วงขึ้นมาอีกแล้ว ก็เลยกลับไปนอนอีก
ในช่วงหลายวันต่อมา ทุกวันของหานมู่จื่อก็ได้ผ่านไปอย่างน่าเบื่ออย่างนี้ ลืมเรื่องที่ตัวเองยังมีบริษัทที่ต้องดูแลไปจนสิ้น
จวบจนกระทั่งเสี่ยวเหยียนมาหาเธอ บอกว่าอยากลาออก
หานมู่จื่อถึงนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
“เอาล่ะๆ ทำไมถึงอยากลาออกล่ะ?”
หานมู่จื่อมองเสี่ยวเหยียนไปอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้บริษัทที่ให้เธอดูแลก็ไปได้ดีมากเลยไม่ใช่หรอ?”
เสี่ยวเหยียนสายหน้า แล้วทอดถอนหายใจออกมา “ฉันไม่ได้ไปหาพ่อแม่มานานมากแล้ว ก็เลยอยากจะไปหาพวกท่านบ้าง คาดว่าคงจะไม่สามารถดูแลเรื่องบริษัทไปสักพักใหญ่ๆ”
หานมู่จื่อเม้มริมฝีปากออกมาเล็กน้อย ไม่ได้พูดต่อออกไป
“มู่จื่อ ฉันรู้ว่าการมาขอลาออกกับเธอตอนนี้มันดูเกินไปหน่อย แต่…”