เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1079
บทที่1079 เธอหายใจไม่ถูก
วันที่ต่อมา
หานชิงเพิ่งจะตื่นนอน ก็ได้รับข้อความจากหานมู่จื่อ
เห็นเนื้อหาข้อความ หานชิงก็ได้ตะลึงไปแวบนึง จากนั้นก็ได้ตอบไปด้วยความโล่งใจ
{เดินทางปลอดภัย มีเรื่องอะไรก็โทรหาพี่}
จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ไป ล้างหน้าแปรงฟันสวมเสื้อผ้ากินข้าวเช้าเข้าทำงานเหมือนเคย
ชีวิตของเขา ก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด หลายปีมานี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ข้างกายแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีผู้หญิงอื่นเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของเขา
นอกจากช่วงหลายปีนั้นที่ได้ออกตามหาน้องสาวกลับมา หานชิงมักจะบินไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ได้ใช้เวลาพักผ่อนของตัวเองทั้งนั้น ในตอนที่จะต้องทำงานก็ไม่มีตกเลยสักนิด
*
ทางอีกด้านนึงนั้น หานมู่จื่อกับคนอื่นๆก็ได้เดินทางมาถึงชานเมือง เพราะว่ารีบมากันตอนค่ำ คืนนั้นก็เลยพักโรงแรมกัน จากนั้นทุกคนก็ต่างพักผ่อนกัน พักผ่อนกันเสร็จก็ค่อยไปไหว้พระที่วัดภูเขาหลิงหยุน
หานมู่จื่อกับเสี่ยวเหยียนนอนกันบนรถไปสองชั่วโมง แต่เพราะว่าท่านอนไม่ถูกก็เลยปวดเอวปวดหลังกัน พอเจอที่นอนทั้งสองคนก็ได้พร้อมใจกันนอนไปในทันที
วันต่อมาทุกคนก็นอนกันจนถึงประมาณสิบโมงก็ตื่นขึ้นมารวมตัวกัน
ในตอนที่กินข้าวกัน เซียวซู่ก็ได้อธิบายให้กับทั้งสองคน
“ผมได้สอบถามมาแล้ว ได้ยินว่าภูเขาหลิงหยุนศักดิ์สิทธิ์มาก ดังนั้นแล้วคนทั่วประเทศแต่ละที่แต่ละถิ่นก็เลยมากราบไหว้กันเยอะมาก และผมก็ได้ยินมาว่ายังมีคนที่ฝันเป็นจริงมาแก้บนกันเยอะเลย”
เสี่ยวเหยียนฟังแล้วก็เชื่อเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
“แก้บน? หมายถึงความปรารถนาเป็นจริงใช่มั้ย? ก็เลยกลับมาเพื่อแก้บนเป็นเฉพาะ?”
เซียวซู่พยักหน้า “เป็นอย่างนั้น”
เสี่ยวเหยียนเบิกตากว้างออกมาอย่างประหลาดใจ “จริงหรอ? ฉันนึกว่า…ทุกคนขอเพื่อความสบายใจกันเท่านั้น”
เซียวซู่ยิ้มออกมาจางๆ ความจริงเรื่องแบบนี้ใครจะพูดเอาแน่เอานอนได้? หลังจากที่ขอแล้วความปรารถนาจะเป็นจริง ไม่แน่ว่าเป็นเพราะตัวเองอยากได้มากๆ ก็เลยพยายามมากขึ้น
ถึงยังไงบนโลกนี้ มันไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆอยู่แล้ว
ขออะไรได้อย่างนั้น ก็ยากมากอยู่ดี
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ภายในใจของเสี่ยวเหยียนก็สั่นเหมือนตีกลองรัวขึ้นมา
ถ้าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ งั้นเธอ…ก็สามารถฝันเป็นจริงได้ใช่มั้ย?
คิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็รีบก้มหน้าลงกินข้าวทันที
“คุณนายน้อย เดี๋ยวพวกเรากินกันเสร็จแล้ว ก็เรียกรถจากที่หน้าประตูไป ได้ข่าวว่าที่ภูเขาหลิงหยุนตรงนั้นเขาซ่อมถนนกัน ขับรถไปได้ถึงแค่ตรงสันเขา แต่ผมได้ยินคนที่ไปขอบางคนก็บอกว่าถ้าเดินจากบันไดขั้นแรกของภูเขาหลิงหยุนไปจนถึงขั้นสุดท้าย สามารถแสดงความเชื่อมั่นศรัทธาออกมาได้ ความเป็นไปได้ที่ความปรารถนาจะเป็นจริงก็จะมีมากขึ้น”
ไม่รอให้หานมู่จื่อพูดตอบออกไป เสี่ยวเหยียนก็รีบเงยหน้าขึ้นมาตอบทันที
“งั้นพวกเราก็เดินกันไปตั้งแต่ขั้นแรกกันเลย!”
เซียวซู่ “…”
เขาเหลือบตามองเธอ เอ่ยเตือนสติออกมา “คุณนายน้อยเป็นคนท้องนะครับ”
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว เสี่ยวเหยียนหน้าหงอยออกมา “จริงสิ ถ้าเริ่มเดินตั้งแต่บันไดขั้นแรก ร่างกายของมู่จื่อคงไม่ไหวเอาได้”
“ขอโทษนะมู่จื่อ เมื่อกี้นี้ฉันคิดไม่ถึง”
แต่อย่างไรก็ตามหานมู่จื่อเองก็ได้เอาคำพูดนั้นของเซียวซู่มาเก็บไว้ในใจ เลิกสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
ไหว้พระขอพรเรื่องนี้ ไม่ต้องสนก่อนว่าผลมันจะเป็นยังไง แต่ตอนไหว้พระต้องตั้งจิตใจให้มั่นคงจริงๆ และไม่อาจมีความรู้สึกของการไม่เคารพศรัทธาออกมาได้ คุณไม่เชื่อได้ แต่เรื่องการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามนั้นมันเป็นสิ่งที่ควรเข้าใจ
ก็เหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆที่มีระเบียบประเพณีเฉพาะของตัวเอง คุณเข้าหมู่บ้านไปก็ต้องรักษาธรรมเนียมของพวกเขา ถ้าคุณดึงดันที่จะทำลายประเพณีอันเก่าแก่หรือว่าไม่รักษาธรรมเนียมของเขา ก็จะก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านจากพวกเขาได้ง่ายๆ
การไหว้พระขอพรความจริงแล้วก็เหมือนกับเรื่องนี้ ต่างก็ต้องเคารพกันให้มาก ถ้ามาทำท่าทีที่ไม่รักษาธรรมเนียมปฏิบัติ เหยียดหยาม อย่างนั้นแล้วสู้ไม่มาไม่ดีกว่าหรอ เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว หานมู่จื่อก็เอ่ยออกไป
“พวกเราเริ่มเดินตั้งแต่บันไดขั้นแรกกันเถอะ”
“มู่จื่อ?”
เสี่ยวเหยียนแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย “เมื่อกี้นี้เธอบอกว่า…”
“อืม ตั้งใจมาขนาดนี้แล้ว งั้นก็แสดงความตั้งใจจริงกันเถอะ ขั้นบันไดพวกนั้นก็ไม่นับว่ายาวเท่าไหร่นัก เดินขึ้นไปก็ไม่อะไรอยู่แล้ว”
“แต่…”
“งั้นเอาแบบนี้นะ ตัวฉันไม่ได้อะไรอยู่แล้ว พวกเธอก็อย่ากังวลแทนฉันไปเลย มีปัญหาอะไรฉันจะบอกกับพวกเธอล่วงหน้าเอง”
“เอาเถอะ งั้นถึงตอนนั้นแล้วถ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาล่ะก็ ต้องหยุดพักนะ”
“อืม”
ทั้งสามคนกินข้าวกันแล้ว ก็มุ่งหน้ากันไปภูเขาหลิงหยุน
เมื่อถึงที่หมายก็ได้พบว่าคนที่มาจุดธูปเสี่ยงเซียมซีมีเยอะมากจริงๆ ถึงขนาดที่ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยทีเดียว
เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยพูดออกมาเบาๆ “ชาวต่างชาติพวกนั้นตอนเสี่ยงเซียมซีพูดเป็นภาษาอังกฤษกันหรือเปล่า? ถ้าภาษาอังกฤษ เธอว่าท่านเทพของเราจะฟังรู้เรื่องหรอ?”
“…เหอะ ภาษาจีนของเขาก็คงคล่องอยู่ล่ะมั้ง?”
“ไปกันเถอะ”
หานมู่จื่อไม่มีความคิดที่จะไปสนใจคนอื่นที่พักกันอยู่ ก็ได้เดินก้าวเข้าไปข้างหน้าก่อน
ภูเขาหลิงหยุนมองจากภายนอกแล้ว มีต้นไม้เขียวขจีล้อมรอบ มองจากด้านล่างแล้วก็มองเห็นภาพบนภูเขาได้ไม่ชัดเจนนักว่าเป็นยังไง ว่ากันว่าตอนสมัยโบราณภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียง สูงชัน อยากขึ้นไปสักทีนึงก็ไม่ง่ายเลยทีเดียว พอไม่ระวังก็จะก้าวตกเหวไปได้
ต่อมาในภายหลังก็เกิดขึ้นตามยุคสมัย ภูเขาหลิงหยุนมีขั้นบันไดหินมากมาย การก่อสร้างนี้ในสมัยนั้นใช้เวลานานมากกว่าจะเสร็จ ต่อจากนั้นบนภูเขาก็ได้สร้างวัดขึ้นมา เพราะว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่ก็เลยมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็มีคนต่างถิ่นเข้ามาสักการะกันมากมาย
หลังจากนั้นอีกก็มีพ่อค้ารายย่อยมากมายเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ ก็ได้มาเปิดร้านขายธูป ร้านเครื่องดื่มเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาแสวงบุญตรงบริเวณสันเขากัน
แรกเริ่มก็เป็นที่ที่หลายคนมาจุดธูปขอพรกัน ต่อจากนั้น ภูเขาหลิงหยุนก็ได้กลายเป็นจุดชมวิวอันเลื่องชื่อแห่งหนึ่ง และก็ยังมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมกันอย่างคับคั่ง เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่เดินก็เลยไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา
อย่างเช่น ขั้นบันไดในการขึ้นเขาแรกเริ่มก็มีเพียงทางเดียว
แต่พอเดินไปแล้ว ก็ได้แยกทางเดินเล็กๆไปอีกหลายทาง
แต่ไม่ว่าคุณจะเดินไปทางไหน ก็ล้วนแล้วสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้ทั้งนั้น
หานมู่จื่อและคนอื่นๆก็ไม่ได้คิดให้เหนื่อยว่าจะเลือกไปทางไหน ก็เลยเดินไปตามยถากรรม
เพราะว่าทางเดินพวกนี้เพียงแค่เพื่อสะดวกต่อคนเดินทาง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เบียดกันแน่นไป ก็เลยแบ่งบันไดทางเดินออกมาอีกหลายทาง
ยิ่งเดินไปข้างหน้า คนระหว่างทางก็ยิ่งน้อยลง
ลมหายใจของหานมู่จื่อก็เพิ่งจะหอบขึ้นมาบ้างแล้ว ก็ได้ยินเสี่ยวเหยียนเอ่ยออกมาอย่างกระหืดกระหอบ “ฉันออกกำลังกายน้อยไปใช่มั้ยเนี่ย? ทำไมเพิ่งจะเดินมาได้สักพักนึงเอง ฉันก็รู้สึกว่าฉันดูเหนื่อยมากเลยนะเนี่ย?”
เซียวซู่มองเสี่ยวเหยียน พบว่าเธอหายใจหอบแรงมากจริงๆ ก็เลยหยุดเพื่อสอนเธอ
“เธอหายใจไม่ถูก ต้องทำอย่างนี้…”
จากนั้นเซียวซู่ก็ได้สาธิตให้เสี่ยวเหยียนด้วยตัวเอง หานมู่จื่อเองก็ได้ชะลอฝีเท้าลงเช่นเดียวกัน
ภายใต้การสอนของเซียวซู่ การหายใจของเสี่ยวเหยียนก็คล่องขึ้นไม่น้อย แต่เธอก็ยังงุนงงอยู่บ้าง “ปกติไม่ใช่ฉันไม่เดินเท้าหรอกนะ แต่ก็ใช่ว่าจะลำบากถึงขนาดนี้เลยนะ”
หานมู่จื่อมองไปรอบๆ จากนั้นก็พูดอธิบายออกไป
“ปกติเธอทางที่เธอเดินเป็นพื้นราบ ตอนนี้เธอเดินขึ้นบันไดทีละขั้นๆ ทุกก้าวต่างก็ต้องใช้แรงทั้งนั้น ตอนนี้เพิ่งจะเดินขึ้นมาเท่าไหร่เอง อย่างนี้แล้วเธอจะขึ้นเขาไปได้มั้ย?”
เธอพูดออกมาอย่างสงบนิ่ง เหมือนกับว่ามองไม่ออกเลยว่าเหนื่อยไม่มีผิด เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาทันที
“ไม่ยุติธรรมเลยนะมู่จื่อ เมื่อก่อนพวกเราก็อยู่ด้วยกันเป็นประจำ ทำไมเธอถึงมีท่าทางเหมือนกับว่าไม่เหนื่อยเลยสักนิดล่ะ? ถ้าฉันขึ้นเขาไปไม่ได้ งั้นคนท้องอย่างเธอจะไม่ลำบากกว่าฉันอีกหรอ?”
ได้ยินอย่างนั้น หานมู่จื่อก็ยิ้มจางๆออกมา
เธอกับเสี่ยวเหยียนต่างกัน เสี่ยวเหยียนในตอนแรกนั้นเพราะว่ามีพลังเหลือล้น ก็เลยวิ่งเหยาะๆอยู่บ่อยครั้ง ไม่ก็ก้าวหลายก้าวให้เป็นแบบก้าวเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะหยุดรอพวกเธออยู่เป็นครั้งคราว แต่ก็กินแรงเร็ว ฟื้นฟูได้ช้า