เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1147
บทที่1147 พวกเราไม่เหมาะสมกัน
คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยจะดื้อดึงถึงขนาดนี้ พูดว่าฆาตกรอะไรกัน เธอไม่รู้ถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้หรืออย่างไร การแต่งงานในชีวิตของคนเรามีเพียงครั้งเดียว หากเดิมพันความสุขของตัวเองกับคนที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะความโกรธ แบบนั้นมันโง่มากจริงๆ
“ใช่ ฉันเอาแต่ใจเป็นที่สุด ฉันไม่เคยเห็นอกเห็นใจใคร พูดแบบนี้คุณพอใจหรือยัง”
ตอนนี้ในหัวของเสี่ยวเหยียนกำลังต่อต้านหานชิงเต็มที่ ดังนั้นคำพูดที่ออกมาก็เลยไม่ได้ผ่านการคัดกรอง
พอพูดจบ เธอก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่กับหานชิงอีกต่อไป เลยหันไปเปิดประตูเตรียมจะออกจากรถ แต่มือเธอพึ่งจะสัมผัสถูกประตูรถ ข้อมือขาวนวลก็ถูกหานชิงคว้าเอาไว้เสียก่อน เขาชะโงกตัวเข้ามา จับข้อมือของเธอด้วยมือเดียวและดึงเข้าสู่อ้อมแขนของเขา มืออีกข้างกั้นระหว่างเธอกับประตู ไม่ยอมให้เธอลงจากรถ
“คุณทำอะไร ปล่อยฉันนะ” เสี่ยวเหยียนเริ่มขัดขืนและคิดจะดึงมือกลับมา แต่ว่าอีกฝ่ายแรงเยอะมาก เธอดิ้นอยู่ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่สามารถดึงมือตัวเองกลับมาได้
แต่ว่าเสี่ยวเหยียนก็ไม่ยอมแพ้ ยังพยายามขัดขืนต่อไป อยากจะหนีออกไปให้ได้
หานชิงปิดล็อกประตูรถอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปล่อยเธอออก
เสี่ยวเหยียนเปิดประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็เปิดไม่ออก ก่อนจะจ้องหานชิงอย่างโกรธเคือง
“คุณคิดจะเอายังไงกันแน่”
“ฉันรับปากคุณป้าแล้ว ว่าจะส่งเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย”
หลังจากรู้เรื่องที่ผู้ชายคนนั้นเคยติดคุกแล้ว หานชิงก็รู้สึกว่าตอนนี้สถานการณ์ของเสี่ยวเหยียนอันตรายมาก ถ้าปล่อยให้เธอคบกับผู้ชายคนนั้นต่อไป จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้
แต่ว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ สาวน้อยต่อต้านเขาเป็นที่สุด ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หรือพูดอะไร ก็ทำให้สาวน้อยยิ่งโมโหกว่าเดิม
“ฉันบอกแล้ว ว่าคุณรับปากเอง ฉันไม่ได้รับปาก คุณเปิดประตูรถได้แล้ว ฉันจะลงจากรถ”
ที่ตอบเธอกลับก็คือ เสียงขับรถของหานชิง
รถขับไปอย่างเงียบๆบนถนนที่ว่างเปล่าในตอนกลางคืน
เทียบกับความเงียบด้านนอกแล้ว ในใจของเสี่ยวเหยียนกลับลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง เธอไม่รู้ว่าทำไมเรื่องราวถึงพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้ ราวกับตัวเองกลายเป็นคนบ้าคลั่ง และเสียสติ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนก็ปิดตาลง แล้วพิงไปทางที่ตัวเองอยู่ห่างไกล่จากหานชิงมากที่สุด
อยากไปส่งก็ไปส่งเถอะ ยังไงพอผ่านคืนนี้ไปแล้ว ต่อไปไม่ว่าเขาจะทำอะไรเธอก็จะทำเหมือนไม่รู้จักคนๆนี้ นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
จู่ๆสาวน้อยก็เงียบสงบลง จุดนี้ทำให้หานชิงรู้สึกประหลาดใจมาก
ส่งเธอถึงบ้านด้วยความเงียบตลอดทาง พอรถหยุดลง เสี่ยวเหยียนก็เตรียมจะลงจากรถทันที แต่หานชิงก็ยังล็อกประตูรถไว้แน่น เสี่ยวเหยียนเลยพูดเยาะเย้ยขึ้น “ทำไม ประธานจะไม่ปล่อยฉันลงเหรอ หรือว่าอาลัยอาวรณ์ฉัน”
หานชิง “……”
ท่าทางแปลกประหลาดแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกปวดหัวเสียจริง
เขาเปิดปากพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “ฉันไม่ได้อยากแทรกแซงเธอ เพียงแค่ไม่อยากให้เธอถูกทำร้ายเท่านั้น อย่าไปคบกับคนแบบนั้นอีกเลย”
“ประธานหาน ฉันถึงบ้านแล้ว คุณทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว ตอนนี้เปิดประตูได้แล้วค่ะ”
ดูท่าว่าตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว หานชิงปลดล็อกประตู เสี่ยวเหยียนรีบลงจากรถทันที แล้วขึ้นตึกไป
หลังจากเสี่ยวเหยียนกลับไปแล้ว หลัวหุ้ยเหม่ยก็รีบออกมารับ แต่เสี่ยวเหยียนกลับไม่อยากจะพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว รีบเข้าไปในห้องนอนทันที มุดเข้าไปในผ้าห่มของตัวเองทันทีทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำ ปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆภายในผ้านวม
วันที่สองหลี่ซือห้านก็มาที่ร้านหลังเลิกงานเหมือนเดิม
หลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานแล้ว ตอนนี้แววตาที่เสี่ยวเหยียนมองหลี่ซือห้านก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมอีกแล้ว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าป้าจางจะเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ถึงขนาดนี้ แนะนำคนที่มีปัญหาแบบนี้มาให้เธอได้
แต่ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเคยติดคุก เสี่ยวเหยียนยังไม่คิดที่จะบอกหลัวหุ้ยเหม่ย ตัวเองไปคุยกับหลี่ซือห้านให้ชัดเจนเองเลยจะดีกว่า
พอคิดได้แบบนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็เดินไปหาหลี่ซือห้านแล้วพูดกับเขาว่า
“คืนนี้คุณมีเวลาว่างไหม”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลี่ซือห้านก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีสิ ทำไมเหรอ”
“คุณมาช่วยงานที่ร้านทุกวัน ฉันก็รู้สึกค่อนข้างเกรงใจ ดังนั้นคืนนี้ฉันตั้งใจว่าจะเลี้ยงข้าวคุณ แล้วก็มีเรื่องจะคุยกับคุณด้วย คุณโอเคไหม”
พอหลี่ซือห้านได้ยินว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับเขา ก็คิดไปเองว่าเธอคงจะคุยเรื่องแต่งงานกับเขา เลยรีบพยักหน้ารับ
พอตกกลางคืนเธอก็บอกกับหลัวหุ้ยเหม่ยว่าจะออกไปกับหลี่ซือห้าน ตอนที่ทั้งสองคนออกไปพ่อเฒ่าจางยังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ มองดูลูกสาวตัวเองมีคู่เป็นตัวเป็นตน ก็ลูบคางอย่างพึงพอใจ
“ยิ้มอะไรของคุณ” หลัวหุ้ยเหม่ยนั่งลงข้างๆเขา แล้วถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจทีหนึ่ง
คุณพ่อจางยิ้มกว้างแล้วตอบว่า “ฉันกำลังคิดว่า ลูกสาวคงใกล้จะออกเรือนแล้วสินะ”
“……คุณใช้ตาข้างไหนมองว่าลูกสาวกำลังจะออกเรือน เธอกับหลี่ซือห้านคนนี้ไม่ได้ต้องตากันคุณดูไม่ออกเหรอ”
คุณพ่อจางรู้สึกตะลึงเล็กน้อย “จริงเหรอ ก็ดูไปกันได้ดีเลยไม่ใช่เหรอ”
“ไปกันได้ดี แต่คุณไม่รู้สึกว่าเธอเกรงใจเขามากไปเหรอ ก็เหมือนกับเวลาต้อนรับแขกที่มากินราเมนที่ร้านเลย”
พอหลัวหุ้ยเหม่ยพูดแบบนี้ คุณพ่อจางก็ครุ่นคิดทีหนึ่ง แล้วก็พบว่าสิ่งที่หลัวหุ้ยเหม่ยพูดนั้นมีเหตุผล
หลังจากเสี่ยวเหยียนกับหลี่ซือห้านออกไปแล้วก็เรียกรถแท็กซี่ แล้วตรงไปที่ร้านอาหารตะวันตกที่อยู่ใกล้ๆ
เธออยากจะพูดคุยกันให้ชัดเจน ดังนั้นร้านอาหารตะวันตกก็เป็นร้านที่หาไปเรื่อย อีกอย่างใจเธอก็เอาแต่คิดถึงสิ่งที่จะพูดกับหลี่ซือห้าน คิดว่าจะต้องพูดอย่างไรถึงจะไม่เป็นการทำร้ายจิตใจเขา
ดังนั้นก็เลยไม่ทันได้สังเกต ว่าหลังจากที่พวกเขาขึ้นรถออกไปได้ไม่นาน รถเบนท์ลีย์สีเงินคันหนึ่งขับตามไปอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ ภายในร้านอาหารตะวันตก เสี่ยวเหยียนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหลี่ซือห้าน
“ร้านนี้บรรยากาศไม่เลวเลย” หลี่ซือห้านเปิดเมนูเพื่อดูราคาอาหาร จากนั้นก็ลังเลเล็กน้อย “แต่ว่าราคาแพงไปหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เสี่ยวเหยียนก็พูดทันที “คุณวางใจเถอะ ฉันพูดแล้วว่าวันนี้ฉันเลี้ยงเอง ฉันจะเป็นคนจ่ายเอง”
หลี่ซือห้านกำลังรอคำนี้อยู่เลย แต่กลับไม่แสดงออกมา
“ฉันก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง จะให้ผู้หญิงเป็นคนจ่ายเงินได้ยังไง ไม่น่าดูเอาเสียเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ยังไงก็เป็นมื้อสุดท้ายแล้ว พอกินแล้วก็ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว
พออาหารมาเสิร์ฟครบแล้ว เสี่ยวเหยียนก็ยังไม่รู้สึกอยากอาหารอีกเหมือนเคย มองดูหลี่ซือห้านที่อยู่ตรงหน้าแล้วเริ่มพูดขึ้น “ช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอบคุณคุณมากที่คอยช่วยเหลือ แต่ว่า……ฉันคิดว่ามีบางอย่างที่ฉันควรบอกคุณให้ชัดเจน”
“อืม เธอพูดเถอะ”
“คุณเป็นคนที่ดีนะ ขยันด้วย คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันก็ชอบคุณมาก ยิ่งคุณป้าจางยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เอาแต่ชมคุณไม่หยุดปาก”
คำพูดพวกนี้ทำให้หางของหลี่ซือห้านแทบจะตั้งขึ้นมาเลย ผู้หญิงคนนี้คิดว่าเขายอดเยี่ยมจริงๆด้วย ความคิดของเขากำลังจะเป็นจริงแล้ว พาภรรยาที่ดีกลับบ้าน แถมด้วยร้านราเมนร้านหนึ่ง ต่อไปก็นั่งรอรับเงินอย่างเดียวได้เลย จากนั้นก็ให้ผู้หญิงคนนี้ไปทำงาน ก็ดีนะ
แต่ใครจะรู้ว่าเสี่ยวเหยียนจะเปลี่ยนประโยคไป จู่ๆก็พูดขึ้นว่า “แต่ว่าตัวฉันรู้สึกว่า ฉันกับคุณไม่เหมาะสมกัน ดังนั้น……”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของหลี่ซือห้านก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เธอว่ายังไงนะ กับฉันไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมตรงไหน ที่ผ่านมาฉันยังทำดีไม่พอเหรอ”
“ไม่ใช่นะ คุณทำดีมากแล้ว เพียงแต่……เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งชีวิต ดังนั้น……ฉันคิดว่าทุกคนควรต้องเลือกอย่างระมัดระวัง”