เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1181
บทที่1181 แต่ฉันไม่อยากปฏิเสธทำยังไงดี
ในขณะที่เธอแก้ตัวอย่างร้อนรนนั้น แทบไม่ได้สังเกตว่าหานชิงนั้นได้เลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง เดิมทีควรจะขับออกมาเจอถนนใหญ่ แต่เขากลับขับเข้าไปในซอย จนกระทั่งรถยนต์หยุดลง เสี่ยวเหยียนถึงเพิ่งจะรู้สึกตัว
“นี่ นี่คือที่ไหน?”
เสี่ยวเหยียนถาม พร้อมกับมองออกไปรอบนอกรถ เธออยากยื่นหัวตัวเองออกไปทางหน้าต่างด้วยซ้ำ
แต่หัวเธอที่เพิ่งยื่นออกไปได้แค่ครึ่งหัว หานชิงก็กุมมือของเธอเอาไว้เสียก่อน แล้วมือใหญ่อีกข้างของเขายื่นไปดันหัวของเธอให้กลับเข้ามาในรถ พูดเสียงต่ำ “นั่งรถอย่าเอาหัวออกนอกรถไปเรื่อย มันอันตราย”
ทันใดนั้น หัวของเสี่ยวเหยียนก็โดนเขาดันกลับมา จากนั้นเธอก็เห็นหน้าต่างรถถูกเลื่อนขึ้น ไม่นานมากหน้าต่างรถก็ถูกปิดลง
เธอหันหัวกลับมา ถามอย่างสงสัย “ไม่ยื่นหัวออกไปแล้ว ไม่ยื่นแล้ว นายปิดหน้าต่างทำ……”
พูดยังไม่จบ เสี่ยวเหยียนก็พูดอย่างติดขัดขึ้นมา เพราะเธอดันมาสังเกตเห็นสายตาหานชิงที่จับหัวเธอไว้นั้นไม่ค่อยจะปกติสักเท่าไหร่
“เกิด เกิดอะไรขึ้น……”
น่าจะเป็นปฏิกิริยาแรกจากสมอง มือของเสี่ยวเหยียนยกขึ้นดันหน้าอกของหานชิงเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาใกล้เข้ามามากกว่านี้
เธอเพิ่งจะเรียกสติกลับมาได้ หานชิงตั้งใจขับรถเข้ามาในซอยนี้? เพราะว่าตรงนี้สามารถจอดรถได้ เขาเลยตั้งใจเลี้ยวรถเข้ามาในซอย เพื่อที่จะจอดรถที่นี่?
หลังจากที่คิดได้ หัวใจของเสี่ยวเหยียนเริ่มเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เขาอยากจูบเธออีกแล้ว?
เสี่ยวเหยียนที่สติหลุดออกจากร่างไป ชายตรงหน้าก็โน้มตัวเข้ามาหาเธอแล้ว เสี่ยวเหยียนถอยหลังไปนิดหน่อย แล้วเอามือดันหน้าอกของเขาไว้ “ทำอะไรหน่ะ ตอนนี้ยังกลางวันแสกๆอยู่เลย แล้วก็ตรงนี้เป็นที่สาธารณะด้วย……”
ถึงแม้ว่าตรงนี้จะจอดรถได้ แต่ก็มีคนหรือรถยนต์ผ่านไปมา พวกเขาจะทำมันที่นี่ได้ยังไงกัน……
หานชิงที่โดนดันไม่ให้โน้มไปด้านหน้านั้นก็ไม่ได้รีบร้อน เพียงแค่มองไปยังริมฝีปากสีแดงของเสี่ยวเหยียน พูดเสียงต่ำ “เธอรู้ไหมว่าแค่ข้อความเดียวของเธอ ฉันก็ทิ้งงานที่บริษัทแล้วมาหาเธอเลย?”
เสี่ยวเหยียนสะดุ้ง ไม่คิดว่าจู่ๆเขาจะพูดเรื่องนี้ เธอพูดอย่างรู้สึกไม่มีเหตุผลแต่ก็รู้สึกผิด “ฉัน ฉันก็แค่อยากถามนายเฉยๆ ฉันไม่คิดว่านายจะมาจริงๆ……แล้วอีกอย่าง ถ้ามีงานที่บริษัทจริงๆ นายปฏิเสธฉันก็ได้หนิ”
พอพูดถึงประโยคหลัง ความมั่นใจของเสี่ยวเหยียนค่อยๆลดลง น่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ แรงที่เธอดันหานชิงเอาไว้ค่อยๆอ่อนลง หานชิงใช้โอกาสนี้โน้มตัวไปด้านหน้ามากขึ้น
“ก็แฟนขอ จะให้ปฏิเสธยังไง?”
“……ถึงเป็นคำขอจากแฟน แต่ถ้านายรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผล นายก็ปฏิเสธได้หนิ……”
เสี่ยวเหยียนตื่นเต้นจนเหงื่อเย็นออก เพราะว่าหานชิงพูดพร้อมกับโน้มเข้าใกล้เธอมากกว่าเดิม ส่วนเธอนั้นไม่มีแรงที่จะต้านทานเขาได้อีก
ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำของหานชิง “แต่ฉันไม่อยากปฏิเสธทำยังไงดี?”
หัวเราะเสียงต่ำแบบนี้มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก มันแทรกซึมเข้ามาในใจของเสี่ยวเหยียนอย่างไม่มีอะไรมากีดขวางได้ จากนั้นก็มาพัวพันอยู่ในใจของเธอ เธอตัวแข็งอยู่กับที่ มองใบหน้าอันหล่อเหลาตรงหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ลมหายใจที่คุ้นเคยใกล้เธอเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่หานชิงจะจูบเธอนั้น เธอยังได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำหนึ่งประโยค
“ไหนๆก็มาแล้ว ฉันก็ต้องขอโบนัสหน่อยไหม?”
จากนั้นเธอยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็โดนเขาจูบเข้าเสียแล้ว
ในขั้นตอนทั้งหมดนั้น จะบอกว่าเสี่ยวเหยียนโดนแช่แข็งเลยก็ว่าได้ เพราะนี่มันกลางวันแสกๆ แล้วอยู่ข้างนอกอีก เธอตื่นเต้นแทบตาย ท่าทางอะไรที่มากไปเธอก็ไม่กล้าทำ เธอให้หานชิงเป็นคนนำทั้งหมด ระหว่างนั้นเพราะตื่นเต้นเกินไปเธอยังจิกคอของหานชิงจนเป็นแผล ได้ยินเสียงครางจากเขาเธอถึงปล่อยมือ
หานชิงไม่รู้ต้องทำอะไร : “ต้องทำร้ายฉันทุกครั้ง เธอถึงจะพอใจใช่ไหม? รสนิยมพิเศษอะไรกัน?”
เสี่ยวเหยียน : “……ฉันไม่ได้ตั้งใจ……”
หลังจากโดนจูบสายตาของเธอเหมือนกับคลื่นทะเล มองแล้วให้ความรู้สึกน่าสงสาร ทั้งยังอ่อนแออย่างมาก
หานชิงควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงโน้มตัวเข้าไปอีกรอบ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสี่ยวเหยียนที่ลืมไปแล้วว่าตัวของตัวเองไปอยู่ที่ไหนแล้ว รู้แค่ว่ามือของตัวเองโดนหานชิงดึงไปวางบนเอวแล้วกอดเขาเอาไว้ จากนั้นก็อยู่ในสภาพที่โดนจูบไม่หยุด
หลังจากนั้นแล้วหลังจากนั้น
น่าจะเป็นตอนที่เธอจำอะไรไม่ได้แล้ว หานชิงออกรถ พอถึงหน้าตึกบริษัทตระกูลหานเสี่ยวเหยียนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว
ให้ตายเหอะ???
เสี่ยวเหยียนพูดอะไรไม่ออกในทันที หดตัวนั่งอยู่กับที่แล้วแกล้งตาย
ให้ฉันตายไปอย่างสงบเถอะ ใครก็ไม่ต้องมาหาฉัน~
แต่แล้ว หานชิงก็ยังคงมาเปิดประตูฝั่งเธอ
“ออกมา”
เสี่ยวเหยียนที่นั่งหดตัวอยู่บนที่นั่ง ไม่กล้าดิ้นแม้แต่น้อย เธออยากเป็นแค่หนูแฮมสเตอร์ตัวหนึ่ง ไม่อยากจะไปไหนเลยเข้าใจไหม?
พอรู้ว่าหญิงสาวเขินอาย ริมฝีปากหานชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงที่คุยกับเธอแฝงด้วยความประหม่าทำอะไรไม่ถูก “เร็ว เดี๋ยวมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก”
พอได้ยินว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ หญิงสาวถึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ถามเขาเสียงเบา : “เรื่องอะไรหรอ? งานหรอ?”
“อื้ม”
“งั้น……นายขึ้นไปคนเดียวสิ ฉันรอนายอยู่ตรงนี้แล้วกัน”
เมื่อกี้โดนจูบที่ข้างถนนนานเกินไป เสี่ยวเหยียนรู้สึกว่าตัวเองต้องสงบสติอารมณ์สักหน่อย คงไม่สามารถขึ้นไปกับเขาได้แล้ว
พูดจบ เธอปรับท่านั่งของเธอ ทำท่าแกล้งตายต่อ
พอเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีที่จะดิ้น หานชิงทำได้แค่ก้มตัวแล้วโน้มเข้าไปประมาณครึ่งตัว ปลดสายรัดเข็มขัดให้เธอ แล้วอุ้มเธอในท่าเจ้าสาวออกมา
“โอ้ยโอ้ย……” เสี่ยวเหยียนอุทาน สัญชาตญาณทำให้สองมือของเธอคล้องคอเขาเอาไว้ “ปล่อยฉันลงนะ”
“ไม่อยากออกมา ก็เพราะอยากให้ฉันอุ้มเธอหรือไง?” หานชิงกระชับแขนให้แน่นกว่าเดิม ก้มตัวลงเล็กน้อยเป็นการสื่อว่าให้เธอปิดประตูรถ
เสี่ยวเหยียนแทบอยากจะร้องไห้ออกมา เธออยากให้เขาอุ้มกันสักที่ไหน เธออยากจะทำเป็นแกล้งตายในรถจริงๆนะขอร้อง?
แล้วอีกอย่างในบริษัท ให้เขาอุ้มเธอเข้าไปอ่านะ ตลกแล้ว คนจะมองเธอยังไงกัน?
หลังจากปิดประตูรถ เสี่ยวเหยียนก็รีบขอให้หานชิงปล่อยเธอลงในทันที
หานชิงนั้นร่างสูง ส่วนเสี่ยวเหยียนค่อนข้างเตี้ย บวกกับน้ำหนักตัวที่ผอม ร่างกายเธอจึงเบามาก สำหรับหานชิงแล้วการอุ้มเธอนั้นไม่ได้ใช้แรงเลยสักนิดเดียว เพราะฉะนั้นเขาคิดว่าการอุ้มเธอขึ้นตึกไปก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่เสี่ยวเหยียนนั้นรู้สึกอับอายแทบตาย ครั้งนี้อยู่ในโรงจอดรถ บริเวณรอบๆจึงไม่มีคน
แต่ถ้าเดี๋ยวเข้าลิฟต์ไป แล้วบังเอิญเจอคนจะทำยังไง? คราวหลังเธอจะมีหน้าไปเจอคนอื่นยังไงฮือๆๆ?
เพิ่งจะเดินเข้าลิฟต์ ก็บังเอิญเจอกับเลขาซูที่กำลังจะออกจากลิฟต์ พร้อมกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทตระกูลหาน
ผู้คนมากมายที่อยู่ในลิฟต์มองดูภาพประธานหานของพวกเขาที่ปกติไม่เคยจะยิ้มแย้มกำลังอุ้มผู้หญิงคนหนึ่งอยู่หน้าประตูลิฟต์ สายตาที่อบอุ่น หญิงสาวในอ้อมแขนบีบแขนเขา แต่ประธานหานไม่ยอมปล่อยเธอลงมา
เสี่ยวเหยียน:“……”
กลุ่มผู้บริหารระดับสูง : “……”
ซูจิ่วเลิกคิ้ว ริมฝีปากอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา ในตอนที่สบตาเข้ากับเสี่ยวเหยียน ก็ขยิบตาให้เธอเบาๆ
ฉากนี้สำหรับเสี่ยวเหยียนแล้วเหมือนฟ้าผ่าทั้งที่ท้องฟ้ายังสว่างสดใส ไม่รอให้หานชิงดึงตั้งตัวทัน เธอรีบดิ้นออกจากอ้อมแขนของหานชิง แล้วไปหลบอยู่หลังเขา ไม่กล้าเจอหน้าใคร
หานชิงเก็บรอยยิ้มของเขา สีหน้าของเขาจะกลับมาเป็นปกติ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่ออกมา จะอยู่ในนั้นกันถึงเมื่อไหร่?”