เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1192
บทที่1192 แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า
ทางฝั่งต่างประเทศ พอเฉียวจื้อได้ข่าวว่าหานมู่จื่อคลอดลูกสาว ก็ร้องโวยวายทันที แล้วก็ทิ้งระเบิดใส่วีแชทของเย่โม่เซินอย่างต่อเนื่อง ตำหนิทั้งคู่ว่าทำไมถึงไม่บอกเขา บอกว่าเขาอยากจะเป็นพ่อทูนหัวของเด็กน้อย
แต่เป็นเพราะการกระทำที่แตกตื่นเกินไป ทำให้ถูกเย่โม่เซินกดบล็อกทันที
สุดท้ายเฉียวจื้อก็เลยไปหาหานมู่จื่อ ข้อความวีแชทครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง พอครั้งที่สามก็โทรมาทิ้งระเบิดใส่เธอ
สำหรับเฉียวจื้อแล้ว หานมู่จื่อไม่มีทางไร้เยื่อใยกับเขาเหมือนเย่โม่เซินเป็นแน่
เพราะอย่างไรตอนที่อยู่ต่างประเทศ เฉียวจื้อเคยช่วยเธอเอาไว้ไม่น้อย ส่วนเธอเองก็ค่อนข้างชอบนิสัยของเฉียวจื้อ ดูเป็นคนใสซื่อดี
ดังนั้นตอนที่เฉียวจื้อไปฟ้องหานมู่จื่อเรื่องที่เย่โม่เซินบล็อกเขา หานมู่จื่อก็ส่งอีโมจิรูปแอบขำไปให้เขา จากนั้นก็ค่อยๆพิมพ์ข้อความส่งตามไป
“คุณอย่าไปถือสาเขาเลย คุณกับเขาเป็นเพื่อนรักกัน ยังไม่รู้นิสัยเขาอีกเหรอ อีกเดี๋ยวค่อยเพิ่มใหม่ก็ได้นี่นา”
พอเฉียวจื้อเห็นเธอตอบกลับแล้ว ก็ไม่บ่นอะไรอีก
“น้องสะใภ้เธอไม่รู้หรอก ว่าคนๆนั้นเลือดใยไร้น้ำใจขนาดไหน คิดดูสิเมื่อก่อนฉันช่วยเธอไว้ขนาดไหน แต่ยู่ฉือกลับบล็อกฉันอย่างไร้เยื่อใยแบบนั้นได้
“ใช่ แล้งน้ำใจจริงๆ” หานมู่จื่อคิดแล้วก็พูดเสริมเขาอีกคำหนึ่ง “งั้นต่อไปคุณก็เลิกสนใจเขาดีกว่านะ”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันยังต้องคิดบัญชีกับเขาอยู่นะ น้องสะใภ้ๆ รีบส่งรูปลูกทูนหัวของฉันมาให้เยอะๆสิ”
ลูกทูนหัว ?
หานมู่จื่อกะพริบตาปริบๆ เธอยังไม่ได้ตอบตกลงเลย แต่เขากลับเหมาว่าตัวเองเป็นพ่อทูนหัวเสียแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็ค่อยๆพิมพ์ตัวหนังสือ
“นี่คุณจะรับเป็นลูกสาวเหรอ”
“ใช่แล้วๆ ได้ไหมน้องสะใภ้”
ส่งแล้วก็ยังแถมอีโมจิรูปหน้าตาน่าสงสารมาด้วย
หานมู่จื่อ “……”
ที่จริงแล้วพื้นเพครอบครัวของเฉียวจื้อนั้นเยี่ยมมาก การให้เสี่ยวโต้วหยามีญาติเพิ่มอีกคนก็ไม่เลว ต่อไปถ้าเสี่ยวโต้วหยาโตขึ้นจะได้มีคนมากมายคอยเป็นแบ็คอัพให้
เพราะยังไงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง มีคนคอยหนุนหลังมากหน่อยก็ถือว่าไม่เลว
หานมู่จื่อเริ่มพิจารณาอย่างจริงจัง
ส่วนทางเฉียวจื้อที่เห็นว่าหานมู่จื่อนิ่งเงียบไม่ตอบข้อความเขา ก็เริ่มลนลานขึ้นมา เลยระเบิดส่งข้อความมาอย่างต่อเนื่อง แต่ละถ้อยคำเต็มไปด้วยคำอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“น้องสะใภ้จ๋า ฉันรับรองเลยว่าพ่อทูนหัวคนนี้จะดูแลลูกทูนหัวอย่างดีที่สุด จะต้องโอ๋เธอเท่าฟ้าเลย”
“น้องสะใภ้ น้องสะใภ้ เห็นแก่ที่ฉันเคยช่วยเหลือเธอมาบ้าง เธอก็ช่วยสนองความหวังที่จะได้เป็นพ่อคนล่วงหน้าของฉันหน่อยเถอะนะ”
พออ่านถึงบรรทัดสุดท้าย หานมู่จื่อก็หลุดขำออกมา ที่แท้เฉียวจื้อก็อย่างเป็นพ่อคนล่วงหน้า นี่เป็นความคิดที่แปลกประหลาดจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีท่าทีอยากเป็นพ่อคนเลย
“ถ้าคุณอยากเป็นพ่อคนก็รีบแต่งงานแล้วมีลูกเป็นของตัวเองสักคนสิ จะมีลำบากกังวลเรื่องลูกสาวของฉันทำไมกัน ทางนี้มีทะเลผืนใหญ่คั่นกลางนะ แล้วคุณจะโอ๋เธอเท่าฟ้าได้ยังไงกัน”
“ให้ตายสิ!น้องสะใภ้ช่างทำร้ายจิตใจจริงๆเลย แค่ดูก็รู้ว่าพวกเธอไม่ใส่ใจฉันเลย เดือนหน้าฉันก็จะกลับประเทศแล้ว ตาแก่เห็นว่าฉันมีความสามารถไม่พอ เลยจะส่งฉันกลับประเทศเพื่อไปเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่พื้นฐานของบริษัท เพื่อเป็นการฝึกฝน แค่คิดก็รู้สึกเป็นทุกข์แล้ว……”
หืม ? เริ่มฝึกฝนตั้งแต่พื้นฐาน ?
หานมู่จื่อกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะส่งข้อความออกไป
“แบบนี้คืนวันอันยากลำบากของคุณก็ใกล้เข้ามาแล้วสิ แล้วแบบนี้คุณจะมีโอกาสมาโอ๋ลูกสาวฉันเท่าฟ้าได้เหรอ”
“……”
“น้องสะใภ้ เธอจะโหดร้ายเกินไปแล้วนะ ดูท่าว่าฉันไม่พยายามคงไม่ได้แล้ว กลับประเทศครั้งนี้ฉันจะต้องพยายามสร้างธุรกิจไปตอกหน้าตาแก่ให้ได้เลย บังอาจมาดูถูกฉันได้
พอคิดถึงตอนที่อยู่ต่างประเทศ หานมู่จื่อก็เคยได้ยินข่าวลือของเฉียวจื้อมาจากคนอื่นหลายๆคน ถ้าคุณปู่ของเขาจะดูถูกเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายเลย
กำลังเตรียมจะคุยกับเขาต่ออีกหน่อย แต่จู่ๆโทรศัพท์ของหานมู่จื่อก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมมาคว้าไปก่อน พอเธอเงยหน้าขึ้นก็ได้สบตาเข้ากับดวงตาสีเข้มอันงดงามคู่นั้นของเย่โม่เซิน
เย่โม่เซินเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ทีหนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนบล็อกเฉียวจื้อทันทีอย่างไม่ลังเล
หานมู่จื่อ “……”
“อย่าทำโหดร้ายแบบนั้นสิ อีกเดี๋ยวเฉียวจื้อก็ร้องไห้โวยวายอีกหรอก”
พอได้ยินแบบนั้น เย่โม่เซินก็เอื้อมแขนข้างหนึ่งมาดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด “จะสนใจเขาทำไม”
พอถูกเขาสวมกอดไว้ในอก กลิ่นอายอันคุ้นเคยของชายหนุ่มก็โอบล้อมเธอไว้ทันที กลิ่นอายอันเยือกเย็นก็ลอดผ่านลมหายใจของเธอ แต่หานมู่จื่อกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นและปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปโอบรอบเอวผอมของเย่โม่เซิน แล้วซุกหน้าเข้าไปในอ้อมอกเขา “คุณจะทำตัวห่างเหินกับคนอื่นเกินไปแล้วนะ”
เธอบ่นอุบอิบคำหนึ่ง
เสียงขบขันของเย่โม่เซินดังขึ้นมาจากปลายหัว “ห่างเหินกับคนอื่นตรงไหนกัน ถ้าห่างเหินกับคนอื่นจะถูกเธอกอดไว้แน่นขนาดนี้เหรอ”
หานมู่จื่อ “……”
“คุณก็รู้ว่าฉันหมายถึงคนอื่น”
เธอเงยหน้าขึ้น ใบหน้าขาวซีดมองเขาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย
เย่โม่เซินก้มหน้าลง สายตาของทั้งสองคนชนเข้าด้วยกัน “เธอก็รู้ว่าเป็นคนอื่น ในเมื่อเป็นคนอื่น จะทำตัวห่างเหิน แล้วจะเป็นไรไปล่ะ”
ถ้าทั้งสองคนไม่ได้สบตากันก็ยังดี แต่พอได้สบตากันไม่กี่วินาทีบรรยากาศรอบๆก็เปลี่ยนไปทันที
เย่โม่เซินมองดูหานมู่จื่อที่อยู่ใกล้ชิดในอ้อมกอด สายตาก็ค่อยๆเลื่อนไปที่ริมฝีปากเธอ ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้น เขาค่อยๆก้มหน้าลง จากนั้นก็บดจูบลงบนริมฝีปากสีแดงของเธอ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เย่โม่เซินก็พูดได้เลยว่าเข้าสู่โหมดฝึกฝนชำระจิตใจ ระหว่างสองสามีภรรยาไม่ได้มีกิจกรรมบนเตียงกันเลย ขนาดจูบก็ยังน้อยมาก
อย่างแรกก็เพราะหานมู่จื่อไม่ยินยอม เพราะหลังคลอดร่างกายของเธอบวมขึ้นมาก ไม่อยากให้เย่โม่เซินจูบตัวเองที่น่าเกลียดแบบนี้ ก็เลยต่อต้านเป็นพิเศษ อย่าว่าแต่จูบเลย ขนาดกอดก็แทบไม่อยากกอด
อย่างที่สองก็คือเย่โม่เซินพยายามควบคุมตัวเอง เพราะยังไงการจูบถ้าเป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาก็ยังดี แต่ถ้าลึกลงกว่านั้น ในฐานะผู้ชายแล้วก็ยากที่จะไม่หวั่นไหว แต่หลังจากหวั่นไหวแล้วจะเป็นอย่างไร มู่จื่อกำลังตั้งครรภ์อยู่ เขาก็ทำไม่ลง ก็เลยทำได้แค่เข้าไปอาบน้ำเย็น
ดังนั้นสุดท้ายก็เลยทำเป็นไม่คิดอะไร คิดเพียงแค่ปกป้องดูแลมู่จื่อให้ดีก็พอ
หลังเธอคลอดลูกก็ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกาย เย่โม่เซินเฝ้าดูตลอดขั้นตอนการคลอดลูก พอได้เห็นช่วงเวลาที่เธอผ่านความทรมาน ช่วงนี้ก็เลยทำตัวเรียบร้อยมาก ไม่ได้สัมผัสเธออีกเลย
วันนี้เป็นเพราะจู่ๆก็สบตากันเข้า ไฟก็เลยลุกโชนขึ้นกะทันหัน
กลิ่นอายอบอวล อุณหภูมิค่อยๆสูงขึ้น
ใบหน้าของหานมู่จื่อถูกเย่โม่เซินตรึงไว้ จนไม่เหลือพื้นที่ให้หายใจ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ
“แง!”
ห้องที่เงียบงันจู่ๆก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังขึ้น
ทั้งสองคนที่กำลังกอดกันอย่างวาบหวามนั้นต่างก็ชะงักไปพร้อมกัน
เป็นเพราะจู่ๆเสี่ยวโต้วหยาก็ร้องไห้ขึ้นมา อารมณ์อื่นๆของหานมู่จื่อก็เลยหายไปในพริบตา เธอผลักมือของเย่โม่เซินออก แล้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “เสี่ยวโต้วหยาร้องไห้ รีบดูก่อนว่าเป็นอะไร”
เย่โม่เซิน “……”
ดวงตาสีเข้มกำลังกลายเป็นสีแดง แต่จู่ๆก็ถูกขัดจังหวะ เขาก็เลยรู้สึกเดือดจนอยากทุบตีคน
แต่ว่าคนที่ขัดจังหวะพวกเขาก็คือลูกสาวของพวกเขาเอง
เขาไม่พอใจ แล้วจ้องหานมู่จื่อเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องลุกขึ้นแล้วเดินไปทางเสี่ยวโต้วหยาอย่างหมดหนทาง