เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1204
บทที่ 1204 งานเลี้ยงฉลองครบเดือน
ก็ไม่รู้ว่าคือความรู้สึกส่วนตัว หรือคืออะไร
และเฉียวจื้อไม่รู้ว่า สภาพจิตใจของหลัวลี่เปลี่ยนไปหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นเมื่อหานมู่จื่อถามเขา เขาถึงได้รู้สึกร้อนตัว
ดังนั้นถึงเวลานี้ เฉียวจื้อค่อนข้างที่จะเสียใจ รู้ตั้งแต่แรกว่า คำพูดหนึ่งจะทำให้หัวใจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เขาก็จะไม่พูดเหลวไหลแล้ว
หานมู่จื่อจ้องมองเฉียวจื้อตรงหน้า ราวกับว่าตกอยู่ในความคิดของตัวเองชั่วขณะ ดูท่าทางของเขาแล้ว เหมือนกำลังคิดถึงเรื่องของหลัวลี่ เธอยื่นมือออกแล้วโบกไปมาตรงหน้าเขา “กำลังคิดอะไรอยู่?”
เฉียวจื้อได้ยินเสียง ดึงสติกลับมา เมื่อเห็นหานมู่จื่อมองดูเขา หน้าแดงจนถอยหลังไปสองก้าว
“ไม่ได้คิดอะไร พี่สะใภ้ พี่รู้เรื่องของหลัวลี่ไหม?”
เมื่อได้ยิน หานมู่จื่อก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เวลาที่เธอรู้จักกับหลัวลี่ไม่ถือว่านาน และทั้งสองคน นอกจากในบริษัทแล้ว เวลาที่พบปะกันเป็นการส่วนตัว ก็ไม่ได้เยอะมากดังนั้นเธอจึงรู้อะไรไม่มากนัก และเธอก็ไม่สอดรู้สอดเห็นด้วย ที่รู้นิดหน่อย ก็เป็นสิ่งที่หลัวลี่บอกกับเธอในตอนนั้น
สีหน้าของเฉียวจื้อกลายเป็นจริงจัง “ตั้งแต่พี่สะใภ้กลับมาในประเทศ มีคนกลุ่มหนึ่ง พยายามจะจับกุมเธออยู่หลายครั้ง เธอวิ่งหนีอย่างทุลักทุเลในทุกครั้ง ตอนแรกฉันถามเธอ เธอก็ไม่พูดอะไร ฉันคิดว่าเธอไปขัดใจใคร หรือเป็นหนี้อะไรสักอย่าง ต่อมามีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ฉันได้ช่วยแล้ว เธอถึงได้บอกฉันว่า ที่จริงแล้วเธอหนีการแต่งงาน”
หานมู่จื่อพยักหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ เธอเคยพูดกับฉันอย่างคร่าวๆแล้ว แต่สิ่งที่ฉันรู้ ก็ไม่ได้ชัดเจนมาก”
“คนในครอบครัวของเธอ ต้องการให้เธอแต่งงานกับชายแปลกหน้า เพื่อแลกกับผลประโยชน์ เธอไม่ยอมดังนั้นครอบครัวจึงตัดการเงินของเธอ และยังไม่ให้เธอออกจากบ้าน หลังจากนั้นเธอก็หาโอกาสหนีออกมา”
“แล้วหลังจากนั้นอีก ก็คงเป็นสภาพอย่างที่พวกคุณเจอกัน”
แต่งงานกับชายแปลกหน้า เพื่อแลกกับผลประโยชน์?
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หานมู่จื่อก็นึกถึงตัวเองขึ้นมาทันที
ในตอนนั้น……ตระกูลเสิ่นให้เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูลเย่แทนเสิ่นโย่ว ก็เพื่อผลประโยชน์ไม่ใช่หรือ? ในเวลานั้นเธอเพิ่งหย่าร้าง ก็ถูกจัดให้แต่งงานใหม่ รู้สึกว่าทำให้ในโลกนี้ ถึงมีพ่อแม่ที่จิตใจโหดร้ายแบบนี้ ต่อมาถึงได้พบว่า พวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเอง
ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เธอรู้สึกมาโดยตลอดว่าพ่อแม่ลำเอียง
ในเมื่อเธอเป็นเช่นนี้ แล้วหลัวลี่ก็จะเป็นเหมือน……
คำพูดเหล่านี้ หานมู่จื่อคิดในใจเท่านั้น ภายนอกไม่ได้พูดออกมา เธอพูดอย่างเรียบเฉย “แล้วคุณคิดยังไงล่ะ?”
“หือ?” ถูกถามประโยคนี้กะทันหัน เฉียวจื้อตอบกลับอย่างมึนงง
หานมู่จื่อมองเขาแล้วยิ้ม “คุณชอบเธอไม่ใช่เหรอ?”
เฉียวจื้อ “????”
ให้ตายเถอะ? เขาบอกว่าชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่? เฉียวจื้อจ้องมองหานมู่จื่ออย่างกับเห็นผี จับหน้าอกไว้ “พี่สะใภ้ เราอย่าทำให้ตกใจกลัวขนาดนี้ได้ไหม? ฉันบอกว่าชอบเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“จริงเหรอ? คุณไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเธอ?” หานมู่จื่อเหลือบมองเขาคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม อันที่จริงเมื่อกี้เธอมองเห็นอย่างชัดเจน ตอนที่เฉียวจื้อพูดถึงหลัวลี่ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความปกป้องดูแล เธอเดาว่า ทั้งคนสองคนนี้ น่าจะปลูกฝังความรักขึ้นเล็กน้อย ในช่วงที่อยู่ด้วยกัน
มิฉะนั้น ทำไมเฉียวจื้อถึงมีท่าทีร้อนตัวด้วย?”
เมื่อถูกหานมู่จื่อถามอย่างนี้ เฉียวจื้อก็ยิ่งร้อนตัวมากขึ้น เดิมทีเขาต้องการปฏิเสธเสียงดัง ว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับยัยเด็กหลัวลี่นั่น แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก ก็นึกถึงวันที่เขาพูดล้อเล่น บวกกับบรรยากาศที่แปลกประหลาดนั้น ในช่วงเวลาต่อมาที่อยู่ด้วยกัน
ดังนั้นเมื่อคำพูดนี้มาถึงริมฝีปาก ยังไม่มีโอกาสที่จะได้พูดออกมา ก็มลายหายไปหมดแล้ว
“ตอบไม่ได้แล้ว?” รอยยิ้มที่มุมปากของหานมู่จื่อ ก็ยิ่งลึกมากขึ้น เธอไม่ได้คุยกับเฉียวจื้อมากไปอีก แต่ค่อยๆเดินไปตรงหน้า
เพราะเธอได้เห็นเย่โม่เซิน ที่กำลังมาทางนี้แล้ว
อาจเป็นเพราะเห็นเธอเดินเข้าใกล้กับเฉียวจื้อมากเกินไป ใบหน้าที่หล่อเหลาของเย่โม่เซิน ในตอนนี้เหมือนกับก้นหม้อ แววตาดำคล้ำราวกับหมึก สายตาที่มืดมนไร้ที่ติ พุ่งตรงไปที่ตัวเฉียวจื้ออย่างนี้เลย
เดิมทีเฉียวจื้อยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นก็ตัวสั่นสะดุ้ง จากนั้นก็กระวนกระวายใจ ราวกับว่ามีหนามทิ่มแทงอยู่ด้านหลัง
เขาค่อยๆหันกลับไป สบเข้ากับสายตาของเย่โม่เซิน
ที่แท้แล้วสายตาในเมื่อกี้ คือยู่ฉือที่ส่องประกายออกมา เขาไปขัดใจยู่ฉือยังไงอีก? หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เฉียวจื้อก็คิดว่า น่าจะเป็นเพราะเขาคุยกับพี่สะใภ้ ดังนี่จึงทำให้ยู่ฉือหึง?
อ๊ะๆ สมควรตาย ไอ้ขี้หึงนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เฉียวจื้อ มีจิตใจกว้างขวาง คิดว่าคงจะตัดขาดความเป็นเพื่อนกับเขาไปนานแล้ว ฮึ่มๆ
แน่นอนว่า คำพูดเหล่านี้ เฉียวจื้อแค่กล้าที่จะพึมพำในใจของเท่านั้น ภายนอกบนใบหน้าของเขา ได้แสดงรอยยิ้มที่ดูเหมือนคนโง่ไปแล้ว วิ่งไปตรงหน้าของเย่โม่เซินและหานมู่จื่ออย่างตื่นเต้น
หานมู่จื่อเดินไปที่ด้านข้างของเย่โม่เซินอย่างเป็นธรรมชาติ วันนี้เธอได้สวมชุดเดรสยาวสีน้ำเงิน ผมที่นุ่มลื่น อยู่บนไหล่อย่างเป็นธรรมชาติ บนใบหน้าแค่แต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แววตาท่าทีสุภาพเรียบร้อยดูดีมีสง่า
เธอไปอยู่ด้านข้างของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งข้อนี้ ใช้ได้กับเย่โม่เซินเป็นอย่างมาก
“ฉันมาอุ้มหน่อยเถอะ~” หานมู่จื่อยื่นมือออกไปหาเย่โม่เซินอย่างเป็นธรรมชาติ อยากจะอุ้มเสี่ยวโต้วหยาเสียหน่อย แต่เย่โม่เซินกลับยื่นแขนอีกข้างหนึ่งให้เธอ
“หือ?” หานมู่จื่อกะพริบตาเล็กน้อย ดวงตาที่เหมือนน้ำ จ้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เย่โม่เซินนิ่งไม่ขยับ อยากจะหัวเราะอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มองไปที่เธออย่างจนปัญญา “กอดฉันก็พอแล้ว กอดเสี่ยวโต้วหยา
อะไรกัน?”
หานมู่จื่อ “……”
เธอแค่รู้สึกว่า ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เย่โม่เซินอุ้มเสี่ยวโต้วหยามาตลอด เธอกลัวว่าเขาจะเมื่อยมือแล้ว จึงอยากจะช่วยเขาหน่อยเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่า เขายังไม่พอใจด้วย ยังยื่นมือออกมาอีก?”
คิดสักครู่ หานมู่จื่อก็ยังคงยื่นมือออกไปควงแขนของ เย่โม่เซินไว้
เมื่อเฉียวจื้อที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้า ก็อดไม่ได้ที่จะร้องเสียงดัง
“ไม่ไหวแล้วๆ พวกคุณจงใจแสดงความรักต่อหน้าฉัน มีลูกสาวที่น่ารักขนาดนี้ก็พอแล้ว ยังสาดความหวานใส่ฉันมากขนาดนี้”
เมื่อได้ยิน เย่โม่เซินก็เหลือบมองเขาอย่างเกียจคร้าน “ถ้าอิจฉา คุณก็สามารถไปหาคนหนึ่ง”
หานมู่จื่อควงแขนของเย่โม่เซินไว้ ยิ้มเบาๆ “ใช่เลย คุณก็สามารถไปหาคนหนึ่ง ถึงเวลานั้น แสดงคืนมา ก็ได้แล้วไง?”
เฉียวจื้อบอกว่า ได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก
งานเลี้ยงฉลองครบเดือนของเสี่ยวโต้วหยา มีคนมาไม่น้อย แต่เดิมความตั้งใจของหานมู่จื่อคือ จัดเพียงง่ายๆเท่านั้น เชิญคนสนิทก็พอแล้ว แต่นายท่านยู่ฉือไม่เห็นด้วย โดยบอกว่า เสี่ยวโต้วหยาเป็นแก้วตาดวงใจ จะต้องแจกการ์ดเชิญ เชิญคนจำนวนมาก แต่ยังต้องเชิญเพื่อนเก่าของเขาด้วย
บอกว่าตาแก่พวกนั้น เมื่อก่อนล้อว่าตัวเองไม่มีทายาท เป็นคนแก่ที่เหงาเดียวดาย แม้แต่หลานยังไม่มีเลยสักคน!
ส่วนนายท่านยู่ฉือนั้น เขาที่รู้สึกโดดเดี่ยวในเวลานั้นได้จำคำพูดเหล่านี้ไว้เป็นเวลานาน และใครเป็นคนพูดบ้าง เขายังจำได้ถึงตอนนี้ ดังนั้นการ์ดเชิญ จึงได้ส่งให้พวกตาแก่ที่หัวเราะเยาะเขาเป็นอันดับแรกเลย
นี่ไง ตาแก่ในตระกูลใหญ่เหล่านั้น ปกติพูดเล่นกันอย่างเฮฮา ในเวลานี้ได้รับการ์ดเชิญ ก็ไม่กล้าที่จะไม่ไว้หน้านายท่านยู่ฉือ ดังนั้นแต่ละคน จงต้องมาแสดงความยินดีกับนายท่านยู่ฉือ ด้วยใบหน้าที่ละอายจนแดงก่ำ
ส่วนนายท่านยู่ฉือนั้นก็โอ้อวดไม่หยุด ว่าหลานชายของตัวเองน่าภูมิใจแค่ไหน หลานสะใภ้ของตัวเอง เรียบร้อยสง่างาม จิตใจกว้างขวางมีน้ำใจมากแค่ไหน และลูกทั้งสองคน ฉลาดแค่ไหนอะไรทำนองนี้
และแน่นอนว่า รูปร่างหน้าตาของเย่โม่เซินและหานมู่จื่อ ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาตบหน้าตัวเองแล้ว พวกตาแก่แม้ว่าจะไปพอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงอดทนไว้ เพราะไม่ว่าจะยังไงแล้ว ในตอนนั้น พวกเขาก็ได้หัวเราะเยาะคนเขาจริงๆ?”