เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1311
บทที่ 1311 ความรู้สึกแบบนี้อบอุ่นมาก
เพราะผิวของเธอขาว และสีของลิปมันก็เข้มมาก ดังนั้นต่อให้เธอจะเช็ดอย่างรวดเร็วขนาดไหน ก็ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บนผิวขาวให้เห็น
เสี่ยวเหยียนหมดหนทาง ได้แต่หยิบสำลีเช็ดเครื่องสำอางมา เช็ดพลางพูดว่า:“เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“ยัยเด็กคนนี้ ทำอะไรของเธอ”
“คุณป้า คุณป้านั่งลงก่อนเถอะค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงของหานชิงก็ดังขึ้นที่นอกประตู เสี่ยวเหยียนตื่นตกใจเขามาได้ยังไงกัน มาหาเรื่องสนุกอะไรตอนนี้
แต่โชคดีว่าลิปสติกได้ถูกเธอลบออกแล้ว แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือรองพื้นที่ลงไว้ก่อนหน้านี้ก็ถูกเช็ดออกไปส่วนหนึ่งด้วย
เสี่ยวเหยียน:“……”
วันนี้เป็นวันอัปมงคลจริงๆ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเลย
เสี่ยวเหยียนได้แต่เช็ดเอารองพื้นทั้งหมดออก จากนั้นใช้โฟมล้างหน้าล้างหน้า
ตอนที่หานชิงผลักประตูเข้ามา ก็เห็นเธอเพิ่งจะออกจากห้องน้ำมา บนใบหน้ามีแต่หยดน้ำ
ทั้งสองประสานสายตากัน
เสี่ยวเหยียนอยากจะร้องไห้ในใจ เธออยากจะทำตัวเองให้ดียิ่งขึ้นต่อหน้าเขา แต่ทำไมกลับพังไม่เป็นท่าอีกแล้ว เธอจึงได้แต่ยิ้มเขินๆ อธิบายว่า:“ฉันเพิ่งตื่นได้ไม่นาน ก็เลยคิดว่าถ้าล้างหน้าล้างตา จะได้สดชื่นขึ้น”
“อืม”หานชิงพยักหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าก้าวไปด้านหน้าช่วยเสี่ยวเหยียนเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า
“เสร็จแล้ว ออกไปกินข้าวเถอะ คุณลุงคุณป้ารอคุณนานแล้ว”
เสี่ยวเหยียนกำลังคิดว่าจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาแล้วบอกเขาว่าจะช่วยเอาไปซักให้เขา แต่หานชิงก็เก็บผ้าเช็ดหน้าไปแล้ว จากนั้นก็นำเธอเดินออกไปข้างนอก ความจริงแล้วเสี่ยวเหยียนอยากจะถามมาก ว่าทำไมคุณถึงอยู่ทานอาหารเย็นพร้อมพวกเรา ตอนบ่ายคุณอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ คุณคงไม่ได้เฝ้าฉันอยู่ข้างเตียงคอยดูฉันหลับหรอกนะ
แต่คำถามเหล่านี้อยู่ที่ริมฝีปาก สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ถามออกมา
หลังจากออกไปแล้ว พ่อจางแม่จางก็ได้นั่งลงแล้ว มองตอนที่พวกเขาเดินมา หลัวหุ้ยเหม่ยยังยื่นมือมาผลักสามีเล็กน้อย“ตาแก่ คุณดูสิว่าพวกเขาสองคนเหมาะสมกันมากเลยใช่มั้ย”
พ่อจางที่สวมแว่นสายตายาวอยู่ ได้ยินอย่างนั้นก็มองไปที่สองคนนั้น จากนั้นก็พูดว่า:“ประธานหานเป็นคนที่ดูดีมีชาติตระกูลมากจริงๆ แต่ว่าลูกสาวของเราเนี่ยค่อนข้างจะ……”
“พุ้ย พูดอะไรของคุณเนี่ย นี่ลูกสาวของคนเองนะ มีใครเขาว่าร้ายลูกสาวตัวเองอย่างคุณมั้ย”
“ก็เพราะว่าเป็นลูกสาวของตัวเองไง ดังนั้นผมถึงรู้ดีว่าเธอเป็นยังไง”
“ฮึ ฉันไม่สน ยังไงก็แล้วแต่ลูกสาวของเราจะคู่กับใครก็เหมาะสมทั้งนั้น ทั้งสองคนก็คือเหมาะสมก็คือคู่ควร”
พ่อจาง:“……”
เขาเบื่อที่จะโต้เถียงกับหลัวหุ้ยเหม่ย และคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่ว่าจะดูว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวตนของแต่ละคะ บางคนดูภายนอกนั้นเหมาะสมกันมาก แต่ว่านิสัยใจคอไปด้วยกันไม่ได้แล้วจะทำยังไงได้
ตอนแรกหลังจากที่พ่อจางรู้ว่าแฟนของลูกสาวตัวเองก็คือประธานหานแห่งบริษัทตระกูลหาน ความจริงแล้วพ่อจางก็ตกใจจนตัวสั่น
คนที่ไม่รู้จักอาจจะไม่รู้ว่าธุรกิจของตระกูลหานนั้นเป็นอย่างไร แต่คนที่เคยทำงานในบริษัทตระกูลเย่มาก่อนอย่างพ่อจางนั้นรู้ดี
บริษัทตระกูลเย่ บริษัทตระกูลหาน บริษัทตระกูลหลิน บริษัทเหล่านี้ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง เมื่อก่อนพ่อจางจัดการให้เสี่ยวเหยียนเข้าไปทำงานในบริษัท ก็หวังว่าลูกสาวคนธรรมดาอย่างตนเองจะได้หาแฟนที่ทำงานในบริษัทเหมือนกัน จากนั้นก็จะได้แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือสามีดูแลลูก คิดไม่ถึงว่าเธอจะลาออกกลางคัน ทำเอาเขาโกรธไม่น้อย แต่ต่อมาเขาก็คิดได้ เขาคิดว่าลูกสาวมีความสุขก็พอ ในชีวิตคนเราก็มีแค่มีชีวิตและสุขภาพแข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แน่นอนว่า ถ้าเขาไม่เคยผ่านจุดที่ลำบากแสนสาหัสมาก่อน อาจจะไม่เข้าใจเหตุผลในข้อนี้ ดังนั้นเขาจึงคิดมาตลอดว่าคนที่ลูกสาวชอบเป็นคนธรรมดาทั่วๆไป ให้เก่งขึ้นอีกนิดก็คงเป็นหัวหน้างานในบริษัท แต่คิดไม่ถึงว่าเธอกลับพาประธานหานกลับมาที่บ้าน
แม้ว่าแฟนของลูกสาวจะเก่งกล้าสามารถทำให้พ่อจางดีใจมาก แต่คนเป็นพ่อ เขาก็ทั้งดีใจและกังวลด้วยเล็กน้อย
ในเมื่อคนนั้นคือหานชิงแห่งบริษัทตระกูลหาน ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินข่าวลือมาบ้าง ว่าหานชิงไม่เข้าใกล้ผู้หญิง ข้างกายไม่เคยมีผู้หญิงปรากฏตัวเลย จู่ๆก็มาคบหาอยู่กับลูกสาวของตนเอง หรือว่าเพราะอายุถึงวัยแล้ว อยากจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นจึงเลือกผู้หญิงมาแก้ขัด
แต่จะแก้ขัดยังไง ก็ไม่น่ามาเลือกลูกสาวตนนี่
ต่อมาหลัวหุ้ยเหม่ยบอกเขาว่า เสี่ยวเหยียนกับน้องสาวแท้ๆของหานชิง เป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อก่อนตอนอยู่ต่างประเทศพบกันบ่อยพ่อจางจึงได้สบายใจลงบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี
แน่นอนว่าเขาก็ต้องรักลูกสาวตัวเอง และก็เพราะรักลูกสาวตัวเองดังนั้นจึงเป็นห่วงว่าเสี่ยวเหยียนอยู่กับหานชิงจะน้อยเนื้อต่ำใจ ในเมื่อผู้ชายดีเลิศขนาดนั้น หากเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับลูกสาวตนจะทำอย่างไร
ต่อไปบอกจะทิ้งก็ทิ้งไปเฉยๆจะทำอย่างไร
แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้พ่อจางได้แต่คิดอยู่ในใจไม่ได้พูดออกมา
ครั้งแรกที่หานชิงมาเป็นแขกที่บ้าน เขาไม่ทันได้เตรียมของอะไรมา แต่ว่าหลัวหุ้ยเหม่ยกลับซื้อของดีๆมากมายก่ายกองมาต้อนรับเขา
“หานชิง คุณมากินข้าวกับลุงและป้าที่บ้านครั้งแรก ลุงกับป้าก็ไม่รู้ว่าจะคุณชอบทานอะไร ดังนั้นก็เลยทำอาหารประมาณนี้ หวังว่าจะไม่รังเกียจนะ”
พอตั้งโต๊ะ หลัวหุ้ยเหม่ยก็พูดกับหานชิงอย่างเป็นกันเอง
จางเสี่ยวเหยียนและหานชิงนั่งอยู่ด้วยกัน มองเห็นอาหารบนโต๊ะก็ต่างตกใจ เธอโตขนาดนี้ กินข้าวที่บ้านมาไม่รู้กี่มื้อแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นอาหารมากมายอุดมสมบูรณ์ที่สุดมื้อหนึ่ง นี่เทียบกับอาหารในโรงแรมหรูระดับห้าดาวได้เลยทีเดียว
เยอะเกินไปหน่อย เสี่ยวเหยียนคิด
อาหารมากมายขนาดนี้กินไม่หมดแน่
หานชิงเองก็ตกใจมาก แต่เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นเป็นกันเองของหลัวหุ้ยเหม่ยก็รู้ว่าแม่ของเสี่ยวเหยียนคนนี้ดีกับตนเองเป็นพิเศษ แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะสถานะของเขาและกลัวว่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติเขา ดังนั้นเขาจึงปล่อยวางความเยือกเย็นและระแวดระวังตัวทั้งหมดลง เอ่ยเบาๆว่า:“คุณป้าครับต่อไปไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้ครับ ผมกินง่ายไม่เลือกมาก อะไรก็ได้ครับ”
หลัวหุ้ยเหม่ยยิ้ม:“ได้ยังไงกันล่ะ พวกนั้นเป็นอาหารธรรมดาบ้านๆ คุณต้องไม่คุ้นเคยแน่ แต่ชีวิตนี้ ควรจะต้องกินอาหารพื้นบ้านธรรมดาเยอะๆ อย่ากินอาหารข้างนอกบ่อย แม้ฝีมือทำอาหารป้าจะเทียบกับบรรดาพ่อครัวใหญ่ไม่ได้ แต่อาหารที่ป้าทำก็สะอาดถูกหลักอนามัยและมีประโยชน์ต่อร่างกายแน่นอนจ้ะ”
เสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างๆได้ยินที่หลัวหุ้ยเหม่ยพล่าม ก็รู้สึกอายมาก ปกติแล้วมีเพียงแค่ร้านอาหารที่ไม่ผ่านการรับรองสุขลักษณะเท่านั้นที่จะไม่สะอาด แต่บรรดาร้านอาหารระดับห้าดาว หรือพ่อครัวที่หานชิงเชิญมาที่บ้าน ก็ล้วนผ่านคุณสมบัติหมด และยังตระหนักถึงคุณค่าทางโภชนาการด้วย
“แม่……”เสี่ยวเหยียนตัดบท“พวกเรากินข้าวกันเถอะค่ะ”
พูดจบเธอก็หันไปมองหานชิง พูดอย่างระวังว่า:“ถ้าคุณไม่ถูกปากล่ะก็ อย่างนั้นพวกเรา……”
“ไม่หรอก”หานชิงยิ้มอ่อนๆ“ ความรู้สึกแบบนี้อบอุ่นมาก ผมไม่ได้สัมผัสชีวิตแบบนี้มานานหลายปีแล้ว”
เขาอยู่คนเดียวลำพังมาโดยตลอด กินข้าวก็กินคนเดียวโดดเดี่ยวอ้างว้าง ตอนนั้นเขาขึ้นมัธยมปลาย เคยไปร่วมงานปีใหม่ที่บ้านของหลินสวี่เจิ้งครั้งหนึ่ง ตอนนั้นที่บ้านของหลินสวี่เจิ้งก็เป็นอย่างนี้ ฉลองปีใหม่ทำอาหารเยอะแยะมากมาย จากนั้นทุกคนก็รุมล้อมเข้าไป พูดคุยหัวเราะ สนุกสนานคึกคักอย่างมาก