เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1321
บทที่ 1321 ฉันชอบเขาก็ถือเป็นเรื่องของฉัน
“มานี่ ลองดูว่ามีอะไรที่อยากทานรึเปล่า” หลินสวี่เจิ้งยื่นเมนูให้เธอ พลางพูดขึ้น: “ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนคุณชอบทานของหวานที่สุด สั่งมาสักหนึ่งอย่างไหม?”
“ไม่เป็นไรค่ะ” สวี่เย็นหวั่นส่ายหน้า “ตอนนี้ฉันไม่ทานของหวานแล้วค่ะ”
ของหวาน อาจจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น
แต่ของหวานก็มีผลเสียเยอะเช่นกัน ทำให้อ้วนง่าย เป็นโรคเบาหวาน ไม่ดีต่อน้ำตาลในเลือดอีกด้วย
เมื่อก่อนสวี่เย็นหวั่นไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะทุกครั้งที่เธอกินเยอะ พ่อแม่จะคอยตักเตือนเธอเสมอ แต่ตอนนี้ล่ะ?
เธอไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีใครมาคอยห่วงใยเธอ กระทั่งไม่มีใครมาคอยดูแลยามค่ำคืนว่าเธอนอนหลับแล้วยัง
เธอทำได้เพียงเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเอง อะไรที่ทำไม่ได้ ก็พยายามที่จะไม่ทำ
สุดท้าย สวี่เย็นหวั่นจึงสั่งเพียงกาแฟดำหนึ่งแก้ว
หลินสวี่เจิ้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เห็นเธอสั่งเพียงแค่กาแฟดำหนึ่งแก้ว จู่ๆก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
สิ่งที่ชอบกลับไม่แตะต้องมันอีก สิ่งที่ไม่ชอบ….กลับ….
เมื่อเห็นสวี่เย็นหวั่นเป็นเช่นนี้ หลินสวี่เจิ้งจึงเข้าใจถึงความรู้สึกของเธอได้อย่างมาก ตอนนั้นที่เขาสูญเสียภรรยาของตัวเองไป เขาก็เคยผ่านช่วงเวลาอันสิ้นหวังเหมือนสวี่เย็นหวั่นมาก่อน
ไม่ต้องพูดถึงตอนนั้น แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังไม่กล้าพูดเต็มปากว่าตัวเองหลุดพ้นจากความรู้สึกเหล่านั้นแล้ว
หลังจากกาแฟมาเสิร์ฟ สวี่เย็นหวั่นก็ยกขึ้นจิบหนึ่งคำ รสชาติอันขมขื่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งลิ้นและปาก ค่อยๆกระจายไปทั่ว จนแทรกซึมไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เธอแยกไม่ออกเลยว่ารสชาติความขมขื่นนี้คือกาแฟ หรืออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองกันแน่
หลังจากที่สวี่เย็นหวั่นดื่มไปประมาณครึ่งแก้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองหลินสวี่เจิ้ง
“ว่ามาเถอะพี่ชาย จู่ๆเรียกฉันออกมา มีอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอ?”
หลินสวี่เจิ้ง: “…”
อื้ม หญิงสาวคนนี้ทั้งฉลาดและมีไหวพริบดีจริงๆด้วย เขาแค่เรียกเธอออกมาแค่นั้น แต่เธอกับทายถูกแล้วงั้นรึ?
“ทำไมล่ะ? ผมนัดสาวออกมาคุยเล่นเฉยๆไม่ได้หรือไง? ต้องมีธุระเท่านั้นเหรอ?”
สวี่เย็นหวั่นยิ้มเจื่อน
“ฉันรู้สึกว่ามันไม่ง่ายขนาดนี้หรอก วันนั้นที่บริษัทคุณทำท่าทางอยากพูดบางอย่างแต่กลับไม่พูดออกมา เพียงเพราะคุณมีธุระอย่างอื่น ดังนั้นจึงไม่ทันได้ถามฉันต่างหาก ตอนนี้เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง พี่หลินก็มาหาฉันอีกแล้ว ความน่าจะเป็นที่ไม่มีธุระอะไรจึงน้อยมาก”
“โอเค คุณยังฉลาดเหมือนเมื่อก่อน”
“ว่ามาเถอะ พี่หลินมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เมื่อก่อนพวกเราอยู่ด้วยกันสามคนมาตลอด ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณอยู่ที่เมืองนอกไม่มีโอกาสได้เจอกัน ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว จึงอยากใช้โอกาสนี้เรียกหานชิงออกมาด้วย พวกเราทั้งสามจะได้นั่งคุยกันเหมือนเมื่อก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่เย็นหวั่นขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เรียกหานชิงออกมา?
“เย็นหวั่น ถ้าคุณตกลง ผมก็จะโทรเรียกหานชิงออกมาตอนนี้เลย และนัดกันที่….”
“ไม่!” ขณะที่หลินสวี่เจิ้งกำลังจะพูดประโยคหลังต่อ แต่สวี่เย็นหวั่นรีบพูดตัดบทขึ้นมาทันที จากนั้นก็ปฏิเสธข้อเสนอของเขา
“ตอนนี้ฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ ไม่ใช่สวี่เย็นหวั่นคนเดิมอีกแล้ว วัยเด็กก็คือวัยเด็ก ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน ไม่มีทางกลับเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
เมื่อพูดจบ สวี่เย็นหวั่นก็รีบลุกขึ้นยืน และเดินออกไปทางประตู
หลินสวี่เจิ้งสายตาว่องไว รีบลุกขึ้นไปขวางเธอไว้
“หลินสวี่เจิ้ง?”
สวี่เย็นหวั่นเงยหน้าจ้องเขา คงเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าจู่ๆเขาจะมาขวางไว้ “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่? อยากให้ฉันเจอกับหานชิง อยากให้เขารู้ว่าฉันทำงานอยู่ที่บริษัทเขา นี่คงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของคุณล่ะสิ”
ต้องยอมรับว่า สวี่เย็นหวั่นทายถูกแล้ว
หลินสวี่เจิ้งอยากให้หานชิงรู้เรื่องนี้จริงๆ
รอยยิ้มของสวี่เย็นหวั่นกลับกลายเป็นความเศร้าโศกทันที สายตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง “คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ฉันเรียกเขาว่าพี่ชายจะคิดแผนทำกับฉันแบบนี้”
“เย็นหวั่นจะเรียกว่าวางแผนได้ยังไง? สถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ทำไมยังต้องทนฝืนต่อไปด้วย?”
“ดังนั้นพี่ก็เลยสงสารฉัน?” สวี่เย็นหวั่นค่อยๆเดินเข้าไปประชิดคนตรงหน้าทีละก้าว มือกดไปที่หัวใจตัวเอง “รู้สึกว่าตำแหน่งของฉันในตอนนี้มันต่ำเกินไป รู้สึกว่าชีวิตฉันช่างย่ำแย่เหลือเกิน หรือรู้สึกสงสารมากเพราะพ่อแม่ของฉันจากไป ก็เลยอยากจะช่วยฉัน? เห็นฉันเป็นขอทานเหรอ?”
ประโยคตอนท้ายเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนแรกหลินสวี่เจิ้งที่คิดจะพูดปลอบเธอ ตอนนี้กลับหายไปหมดแล้ว หลงเหลือเพียงแค่ความโกรธโมโห “สวี่เย็นหวั่น!”
สวี่เย็นหวั่นยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ถ้าคุณยังจำมิตรภาพที่ดีกับพี่หลินคนนี้ตอนวัยเด็กได้ ก็ควรรู้ไว้ว่า พวกเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อีกทั้งยังโตมาด้วยกันด้วยมิตรภาพอันแสนดีนี้ และการที่เพื่อนช่วยเหลือเพื่อนซึ่งกันและกัน ก็ถือเป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่คุณ คุณคิดยังไงกันแน่ ทำไมถึงต่อต้านปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้ล่ะ?”
เพื่อนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปมาก
นั่นสิ เมื่อก่อนสวี่เย็นหวั่นก็คิดแบบนี้ แต่ตอนนี้ทำไมเธอถึงรับไม่ได้แล้วล่ะ?
เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร หลินสวี่เจิ้งจึงพูดขึ้นต่อ “ไม่ ผมควรพูดใหม่ คุณไม่ได้ต่อต้านพวกเรา”
ใจของสวี่เย็นหวั่นเริ่มสั่นคลอน เหมือนรู้สึกได้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร
เธออยากจะพูดขัดเขา แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“บางทีคนที่คุณคิดต่อต้านอยู่ จริงๆแล้วคือหานชิง!”
สวี่เย็นหวั่นเบิกตาโตกว้าง จ้องหน้าหลินสวี่เจิ้ง
ผ่านไปนานสักพัก เธอหุบยิ้มและพูดขึ้น
“คุณเอาอะไรมาพูด?”
“หรือว่าผมพูดผิด?” หลินสวี่เจิ้งเม้มปาก เดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง เคาะนิ้วชี้ลงบนโต๊ะ: “คุณยอมมาหาผม นั่งคุยกับผมอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อพูดถึงหานชิง คุณก็เหมือนกระต่ายที่ถูกเหยียบหางไว้ นี่ไม่ใช่การต่อต้านงั้นเหรอ? งั้นตอนนี้ ให้ผมเดานะเหตุผลที่คุณขัดแย้งกับหานชิงคืออะไร?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” สวี่เย็นหวั่นพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง
“คุณไม่อยากฟัง หรือไม่กล้าฟังกันแน่?”
“หลินสวี่เจิ้ง!”
“อันที่จริงคุณชอบเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องนี้พี่หลินรู้ดี”
สุดท้ายหลินสวี่เจิ้งจึงพูดความในใจออกมา สวี่เย็นหวั่นตกตะลึงไปทันที ยืนเหม่ออยู่ตรงที่เดิม คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดออกมาจริงๆ
ความในใจของตัวเองถูกพูดออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ สวี่เย็นหวั่นไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกอย่างไร
“แล้วยังไงล่ะ?” พี่หลินพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?
หลินสวี่เจิ้งไม่พูดอะไร
สวี่เย็นหวั่นค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว “ถ้าคุณไม่อยากพูด งั้นฉันก็จะพูดแทนคุณเลยแล้วกัน คุณคิดว่าฉันชอบหานชิง ดังนั้นจึงแอบทำงานอยู่ในบริษัทของเขาใช่ไหม?”
คำพูดนี่ทำให้หลินสวี่เจิ้งขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“ฉันแค่คิดไม่ถึงว่า แม้แต่จะเลือกบริษัททำงาน ฉันก็ไม่มีสิทธิ์แล้วงั้นเหรอ? หลินสวี่เจิ้ง ทำไมคุณต้องมายุ่งเรื่องฉันด้วย? ตอนที่ฉันส่งประวัติส่วนตัวไป ฉันส่งให้บริษัทบริษัทตระกูลหาน และคนของบริษัทตระกูลหานเป็นคนรับฉันเข้าทำงาน ฉันก็ไม่คิดว่าฉันอยู่ในบริษัทหานแล้วจะมีปัญหาอะไร? หานชิงไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของฉัน เพราะตอนนี้ฉันแค่ตั้งใจทำงานอยู่ที่นั่นให้ดีก็เท่านั้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หลินสวี่เจิ้งเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเธอ ก้มหน้ามองเธออย่างลึกซึ้ง
สวี่เย็นหวั่นที่มีนิสัยเรียบร้อยและอ่อนโยน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนโต และคอยเป็นห่วง ‘พี่ชาย’ ที่อยู่ตรงหน้ามาตลอด เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
“ตั้งใจทำงานให้ดี? แต่ คุณแน่ใจเหรอว่าใจของคุณคิดแบบนี้จริงๆ?”