เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1389
บทที่1389คุณไม่ชอบฉันสักหน่อย
เหลียงหย่าเหอฟังแล้วตบศีรษะทีนึง หัวเราะเหอะๆและพูด:“ก็ใช่ๆ หนูดูสมองน้าซิ มัวแต่คำนึงถึงแต่หนู ลืมสนิทเลยว่าวันนี้คืองานแต่ง”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างอึดอัด
ประตูถูกผลักออก เซียวซู่กับเซียวหมิงจื้อเดินเข้ามาพร้อมกัน
“เตรียมตัวเสร็จหรือยังครับ?”
พอพูดจบ เซียวซู่มองมาที่เจียงเสี่ยวไป๋
วันนี้ชุดที่เจียงเสี่ยวไป๋สวมใส่คือชุดราตรีสีเขียวอ่อน ด้านนอกสวมชุดคลุมสั้นสีไข่มุก ขาคู่นั้นขาวและเรียวยาว
เท้าของเธอสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีอ่อน ส้นสูงมาก รายละเอียดสูงกี่เซนต์ไม่รู้ แต่พอเห็นส้นที่สูงขนาดนี้ เซียวซู่ขมวดคิ้วด้วยจิตใต้สำนึก:“คุณใส่สูงขนาดนี้ เดี๋ยวเดินสะดวกเหรอ?”
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังแล้วอึ้ง
“ปกติคุณใส่แต่รองเท้าส้นแบน แน่ใจเหรอว่าจะสามารถเดินได้?”
ยังไม่รอให้เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับ เหลียงหย่าเหอที่อยู่ข้างกายเธอก็พุ่งออกมาพูด:“นี่แกพูดจายังไงเนี่ย? เด็กผู้หญิงใส่ส้นสูงมันก็เป็นเรื่องปกติมากไม่ใช่เหรอ? เดินไม่สะดวกยังไง? ถ้าไม่สะดวกเดี๋ยวแกก็พยุงเสี่ยวไป๋หน่อยสิ เสี่ยวไป๋เป็นแฟนของแกเชียวนะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้เหรอ?”
เซียวซู่คิดไม่ถึงว่าตัวเองแค่ถามเรื่อยเปื่อยคำเดียว ก็ถูกด่าชุดใหญ่เลย จับจมูกตัวเองด้วยสีหน้าลำบากใจ
เอาเถอะ เขาไม่ควรเปิดปากพูด
แม่เขาก็ปกป้องเสี่ยวไป๋เกินไปแล้ว ตอนนี้ยังเป็นแค่แฟนกัน ถ้าหากทั้งคู่เป็นแฟนกันขึ้นมาจริงๆ ต่อไปแต่งเข้าบ้าน เหลียงหย่าเหอไม่ต้องด่าตัวเองตายเพราะเจียงเสี่ยวไป๋เลยเหรอ?
แค่คิดก็ทำให้คนตัวสั่น เซียวซู่ไม่ได้พูดจาอีก
“คุณน้าคะ ไม่เป็นไรค่ะ เราไปกันเถอะค่ะ”
“ไปกันเถอะๆ”
เซียวซู่ขับรถเอง เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋อยากนั่งด้านหลัง เว้นเบาะนั่งข้างคนขับให้พวกเขา แต่ไม่คิดว่าเหลียงหย่าเหอจะช่วยเธอเปิดประตูของข้างคนขับ ให้เธอเข้าไป
เธอก็เกรงใจที่จะปฏิเสธ ก็เลยเข้าไปนั่งและคาดเข็มขัดนิรภัย
หลังจากรถขับออกไป เหลียงหย่าเหอก็เริ่มบ่นอยู่ที่เบาะนั่งหลัง
“หนูเสี่ยวไป๋ ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเซียวซู่ ปีนี้เพิ่งจะอายุ25เอง ได้ยินว่าแฟนคนนี้คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งสองคบกันมาสี่หน้าปีแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีมาก ปีที่แล้วได้หมั้นหมายกัน ปีนี้ก็จัดงานแต่งเลย หนูดูซิเซียวซู่เจ้าหมอนี่อายุปูนนี้แล้ว ทำไมไม่รู้จักเรียนรู้จากลูกพี่ลูกน้องเขาบ้างนะ?”
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังจนอึดอัด เพราะสถานะของเธอในตอนนี้คือแฟนของเซียวซู่ รู้สึกคำพูดของเหลียงหย่าเหอเหมือนกำลังเร่งรัดให้เขาสองคนแต่งงานยังไงอย่างงั้นเลย
เธอกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบยังไง เซียวซู่ก็ขมวดคิ้วและพูด:“แม่ครับ อย่าพูดเรื่องนี้เลยครับ”
เหลียงหย่าเหอหรี่ตา และพูดด้วยความโกรธ:“ทำไม ฉันที่เป็นแม่ว่าแกหน่อยก็ไม่ได้แล้วใช่มั้ย?”
เซียวหมิงจื้อแตะมือของเหลียงหย่าเหอ ส่งสัญญาณให้เธอว่าเสี่ยวไป๋ยังอยู่ที่นี่นะ
เหลียงหย่าเหอก็ดึงสติกลับมา จากนั้นได้ยกมุมปากขึ้น:“เสี่ยวไป๋จ๊ะ หนูวางใจนะ ต่อไปถ้าหนูกับเซียวซู่แต่งงาน น้าจะดีกับหนูแน่นอน ถ้าเซียวซู่กล้ารังแกหนู น้าไม่ปล่อยเขาไว้แน่”
ฮึ่มๆ เสี่ยวไป๋อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ถึงว่าล่ะเซียวซู่บอกว่ากลับมาจากงานแต่งจะพูดให้ชัดเจน ที่แท้แม่ของเขารีบร้อนขนาดนี้เลย คงไม่ใช่เคยปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งกับเซียวซู่อย่างเป็นการส่วนตัวแล้วมั้ง?
อย่างไรก็ตามเจียงเสี่ยวไป๋รู้สึก หลังจากกลับมาพูดให้ชัดเจนก็พูดให้ชัดเจนเถอะ พูดให้ชัดเจน ถึงเวลาเธอก็กลับไปพบปะหาคู่ครอง
ก็แค่พบปะหาคู่ครองไม่ใช่เหรอ? ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย
หลังจากคิดแบบนี้ ตอนที่เจียงเสี่ยวไป๋เผชิญหน้ากับเหลียงหย่าเหอก็แค่ยิ้มอย่างเก้อเขิน ไม่ได้ตอบคำถามเธอ
เหลียงหย่าเหอก็ไม่ได้คิดมาก แค่นึกว่าเธออาย ในใจก็ยังดีใจมาก
เธอกลุ้มใจจริงๆที่เซียวซู่ไม่หาแฟน คิดไม่ถึงว่าเขาไม่หือไม่อือสักคำก็ได้หาแฟนที่หน้าตาสวยขนาดนี้คนนึง ทำให้ตระกูลเซียวของพวกเขามีหน้ามีตาชัดๆ ที่สำคัญที่สุดคือเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ใช่คนที่สวยแต่ไร้ความสามารถ เธอดีพร้อมทุกด้าน
รถได้ขับมาประมาณสองชั่วโมง ตอนพักทานข้าวระหว่างทาง สีหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ดูไม่ค่อยดี จึงได้ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ
เธออาเจียนอยู่ที่ห้องน้ำไปครึ่งค่อนวัน ก็อาเจียนไม่ออกสักอย่าง
ที่จริงเธอเมารถนิดหน่อย นั่งรถนานๆแล้วรู้สึกพะอืดพะอม อยากอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก ถ้าไม่ใช่เหลียงหย่าเหอกับเซียวหมิงจื้อต่างก็อยู่บนรถ เธอคงให้เซียวซู่จอดรถกลางคันให้ตัวเองพักผ่อนแล้ว
แต่มีอาวุโสอยู่ เธอก็ค่อนข้างเกรงใจ กลัวคนอื่นรู้สึกว่าเธอยุ่งยาก ก็เลยอดทนมาถึงตอนนี้
อาเจียนอยู่ที่ห้องน้ำไปครึ่งค่อนวัน เจียงเสี่ยวไป๋อยากล้างหน้าให้ตัวเองมีสดชื่นหน่อย แต่เพิ่งเปิดก๊อกน้ำก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้ตัวเองได้แต่งหน้ามา เธอถอนหายใจอย่างจนปัญญา หยิบตลับแป้งขึ้นมาเติมแป้งหน่อยนึง จากนั้นก็ได้หันหลังเดินออกไป
เพิ่งเดินออกไป ก็เห็นข้างประตูมีร่างเงาสูงใหญ่พิงอยู่
เซียวซู่?
เขาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เจียงเสี่ยวไป๋เกิดความข้องใจ เซียวซู่เงยหน้าขึ้นมา สายตาหล่นอยู่ที่บนตัวเธอ
“คุณไม่สบายเหรอ?”
ถึงแม้เธอได้แต่งหน้า แต่เห็นได้ชัดว่าแววตาเหนื่อยล้า สีหน้าดูไม่ค่อยดี
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังแล้วส่ายหัว:“ไม่เป็นไรค่ะ”
เซียวซู่ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์:“ทำไมไม่สบายไม่บอกตั้งแต่แรก? ผมรออยู่ที่นี่ห้านาทีแล้ว”
ห๊ะอ๋อ?
รอมาห้านาทีเหรอ?
งั้นคงได้ยินเสียงอาเจียนของเธอในเมื่อกี๊แล้ว ไหนๆก็ถูกเปิดโปงแล้ว งั้นเธอก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้ว จึงได้พูดด้วยรอยยิ้ม:“พ่อแม่คุณต่างก็อยู่ ถ้าฉันพูดออกมา มันยุ่งยากเกินไป”
“ยุงยากอะไร?”เซียวซู่ขมวดคิ้วและพูด:“พวกท่านต่างก็ชอบคุณมาก คุณก็ใช่ว่าจะไม่รู้สักหน่อย”
“ใช่ พวกท่านชอบฉันมาก แต่คุณไม่ได้ชอบฉันสักหน่อย…..”
คำพูดหลัง เจียงเสี่ยวไป๋พูดเสียงเบามาก คงจะมีแค่เธอเท่านั้นที่ได้ยิน
เซียวซู่ไม่ได้ยิน หรี่ตาถามเธอ:“คุณว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรค่ะ”เจียงเสี่ยวไป๋แบะปาก และพูดด้วยสีหน้าไม่แคร์:“ฉันว่า ถึงพวกท่านชอบฉัน แต่ฉันก็อาศัยที่พวกท่านเอ็นดูฉันก็ทำตัวเย่อหยิ่งทะนงตัวไม่ได้ ครั้งนี้ได้ยินชัดเจนหรือยัง?”
เซียวซู่ขมวดคิ้วอยู่ตลอด นึกย้อนคำพูดที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดเมื่อกี๊
ทำไมรู้สึกอยู่เรื่อยว่าเมื่อกี๊เธอพูดว่า พวกท่านชอบฉันมาก แต่คุณไม่ได้ชอบฉันสักหน่อย
ถึงแม้คำพูดท้ายสุดคำนั้นเขาไม่ได้ยินหมด แต่รู้สึกอยู่เรื่อยว่าก็คือคำนั้นแหละ
แต่ถ้าเป็นคำนั้นจริงๆล่ะก็ ก็ไม่เหมือนสไตล์ของเจียงเสี่ยวไป๋
เธอไม่ใช่คนที่จะพูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้
เขาอาจจะคิดมากไปเอง?
“ไม่สบายแล้วพูดออกมา ไม่ถือว่าอาศัยมีคนเอ็นดูก็ทำตัวหยิ่งและทะนงตัว ไม่มีปัญหาแล้วบอกว่ามีปัญหาเนี่ยสิ ถึงเรียกว่าอาศัยมีคนเอ็นดูก็ทำตัวหยิ่งและทะนงตัว”
“โอเค คุณพูดถูก ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว เราออกไปกันเถอะค่ะ”
พอพูดจบ เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เดินไปที่ข้างกายเขา ตอนที่เดินผ่านเขา มือกลับถูกเขาจับเอาไว้
ตอนที่ฝ่ามือสัมผัสกัน เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกตัวเองเหมือนถูกไฟช็อต จู่ๆเธอเบิกตากว้าง:“คุณทำอะไรคะ?”
เซียวซู่แค่อยากขวางเธอเฉยๆ คิดไม่ถึงว่ากลับจับมือของเธอ ถูกเธอจ้องมองแบบนี้ พริบตาเดียวเขาก็ดึงมือกลับอย่างกับถูกไฟฟ้าช็อตยังไงอย่างงั้น“ขอโทษครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋เม้มปาก มองมือที่ดึงกลับไปของเขา บนมือเหมือนยังมีอุณหภูมิของเขาหลงเหลืออยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ มีอะไรหรือเปล่า?”
เดิมทีเซียวซู่อยากบอกว่า ทำไมสองวันนี้คุณดูแปลกๆ แต่คำพูดถึงปากแล้วได้เปลี่ยนเป็น:“ไม่มีอะไรครับ ไปกันเถอะ”
จากนั้นก็เป็นฝ่ายได้เดินไปข้างหน้าก่อน