เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1407
บทที่ 1407 ถ้าล้มลงไปจะทำอย่างไร
แต่คืนนี้ หล่อนไม่ได้รอเขา ตัวเองกลับกอดหมอนข้างนอนหลับไปก่อนแล้ว และไม่ได้กอดแขนเขาให้จูบบอกฝันดีอีกด้วย
ความรู้สึกทุกข์ใจเช่นนี้ ทำให้เซียวซู่รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่ยกมือขึ้นมาลูบปากของตัวเอง จากนั้นเลิกผ้าห่มขึ้นมาและล้มตัวลงนอนอีกด้านหนึ่งของเตียง
เจียงเสี่ยวไป๋หลับสนิทมาก ดูเหมือนไม่รู้เลยว่าเซียวซู่กำลังทุกข์ใจอยู่
เซียวซู่หันข้าง มองดูท้ายทอยของหล่อน และทอดถอนใจ
สาวน้อยคนนี้ตอนกลางวันยังโมโหมากขนาดนั้น ตอนนี้กลับนอนหันหลังให้เขาอย่างสบายใจ อันที่จริงหล่อนไม่ได้โกรธ หรืออาจพูดได้ว่าแม้ว่าหล่อนกำลังโกรธอยู่ แต่ไม่นานนักก็ลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว
คิดไปคิดมา เซียวซู่ก็นอนไม่หลับ
หลังจากตื่นเช้ามาวันรุ่งขึ้น ข้างกายเอาไม่มีเงาของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว เขาตกใจจนรีบลุกขึ้นมาจากเตียง จากนั้นเอามือไปคลำตรงที่เจียงเสี่ยวไป๋นอน หนาวเย็นเหมือนไม่เคยมีใครมาก่อน
ไปไหนล่ะ?
เซียวซู่หรี่ตาลง จากนั้นลุกขึ้นและเดินออกไป
หลังจากที่ประตูถูกเปิดออก เซียวซู่จึงหันไปเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ที่นั่งอยู่บนโซฟา พร้อมซีรีย์ละครเทพยุทธ์จักรที่ถูกเปิดไว้อยู่ หล่อนดูไปพลางเคี้ยวอาหารเช้าที่ทำเอง
คงได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋จึงหันมามองเขา และฉีกยิ้มให้
“นายตื่นแล้วเหรอ? ฉันไม่รู้ว่านายจะตื่นเมื่อไร ก็เลยไม่ได้ทำอาหารเช้าให้นาย จริงสิ วันนี้นายต้องไปทำงานใช่ไหม? เดี๋ยวระหว่างทางที่ขับรถไปทำงาน ไปซื้ออาหารเช้าเองก็ได้เนอะ”
เมื่อพูดจบ ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก้มหน้าลงกินอาหารเช้าของหล่อนต่อ
เซียวซู่ได้ยินเช่นนั้นอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น ด้านหน้าสาวน้อยผู้นี้มีของกองอยู่มากมาย แต่กลับบอกว่าไม่ได้ทำอาหารเช้าให้ตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าหล่อนยังโกรธอยู่ ดังนั้นจึงไม่ยอมให้เขากินของหล่อน
เซียวซู่กลับไปแปรงฟัน หลังจากออกมา เขากลับไม่ได้ไปออกไปทำงานเลย แต่กลับนั่งลงด้านข้างเจียงเสี่ยวไป๋
“เธอทำเยอะขนาดนี้ กินคนเดียวหมดเหรอ?”
“นายทำอะไรน่ะ?” เจียงเสี่ยวไป๋ยกมือป้องอาหารเช้าของตัวเองไว้ มองเขาด้วยสายตาตักเตือน: “ของพวกนี้ไม่มีส่วนของนาย นายอยากกินก็ไปทำเองสิ”
“ฉันกลัวว่าเธอกินไม่หมดแล้วจะสิ้นเปลือง ฉันช่วยเธอกินหนึ่งชิ้นนะ”
เซียวซู่กำลังจะยื่นมือออกไปหยิบแซนวิชอย่างไม่เกรงใจ แต่เจียงเสี่ยวไปกลับแย่งไปได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กัดกินต่อหน้าเขาหนึ่งคำ
เซียวซู่หมดพูดไม่ออกทันที จึงจำต้องไปหยิบอีกชิ้นหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋แย่งไปได้อีกครั้ง และกัดอีกหนึ่งคำ
จากนั้นหล่อนยังไม่พอใจ จึงหยิบของกินทุกอย่างบนโต๊ะขึ้นมากัดหนึ่งคำ จากนั้นวางกลับไปที่เดิม และหันไปมองเซียวซู่ด้วยท่าทางสะใจ ราวกับสายตาคู่นั้นกำลังพูดว่า
เป็นของที่ฉันกินมาหมดแล้ว นายจะทำอะไรได้?
เซียวซู่คิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะงอนเหมือนเด็กเพียงเพราะเรื่องนี้ เวลาชั่วครู่ทำให้เขายังสติกลับมาไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้ว ก็ได้ยินเจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า: “ถูกฉันกินมาหมดแล้ว เดี๋ยวฉันจะกินให้หมดนี่เลย ถ้านายอยากกิน นายก็ไปทำกินเองนะ”
“นอนมาหนึ่งคืนแล้ว ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ?”
“นายพูดอะไรอยู่ ฉันไม่เข้าใจ” เจียงเสี่ยวไป๋หันหน้ากลับไป กัดแซนวิชหนึ่งคำ หล่อนกินพลางดูทีวีไปพลาง ไม่มีท่าทีสนใจเซียวซู่แม้แต่น้อย
ตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋คิดว่าของพวกนั้นถูกตัวเองกัดหมดแล้ว เซียวซู่คงไม่กินต่ออีก แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะหยิบแซนวิชที่หล่อนกัดแล้วขึ้นมากินโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลย จากนั้นก็กินเข้าไปจนหมด
เจียงเสี่ยวไป๋: “?”
นี่เขาหมายความว่าอะไรกัน หรือเขาไม่ได้รังเกียจอาหารที่หล่อนกัดไปแล้วบ้างเลย?
แต่ดูเหมือนเซียวซู่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรในใจอยู่ จึงตอบกลับ “พวกเราเคยจูบกันแล้วนะ เธอคิดว่าการที่เธอกัดแซนวิชไปหนึ่งคำ จะทำให้ผมตกใจกลัวงั้นเหรอ?”
เจียงเสี่ยวไป๋อึ้งตะลึงไปทันที มองเขาด้วยความโมโห
หึ ไอ้ผู้ชายขี้ขลาด!
“ฉันพูดผิดเหรอ?” เซียวซู่เหลือบมองดูเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเป็นผู้ชาย จึงกินเร็วเป็นธรรมดา เขากินแซนวิชที่อยู่บนโต๊ะหมดอย่างรวดเร็วต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋ และยังหยิบต่ออีกหนึ่งชิ้น
“นี่ นายพอได้แล้วนะ หนึ่งชิ้นยังไม่พอสำหรับนายเหรอ?”
“หนึ่งชิ้นจะพอได้อย่างไร” เซียวซู่มองหล่อนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “วันนี้ผมไปทำงาน เธออยากได้อะไรไหม ฉันจะซื้อกลับมาให้”
ตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่กลับพลั้งปากพูดออกไปให้เซียวซู่ซื้อของหลายอย่างให้ตัวเอง ยังไงเสียเขาเป็นคนทำให้ตัวเองโกรธ ให้เขาออกแรงนิดหน่อย ถือว่าเป็นการลงโทษเขาแล้วกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดดีไซน์เนอร์ก็ทำชุดเจ้าสาวที่เสี่ยวเหยียนเลือกไว้เสร็จเรียบร้อย หลังจากที่เสี่ยวเหยียนใส่ดูแล้ว รู้สึกว่าใหญ่ไปนิดหน่อย แต่ตอนนี้ยังห่างกับวันงานอีกหลายวัน เมื่อลองคิดคำนวณเวลาดู ถึงตอนนั้นคงใส่ได้พอดี
เมื่อดีไซน์เนอร์เห็นเสี่ยวเหยียนใส่แล้วกลับดูหลวม จึงรู้สึกตกใจมาก จึงเสนอให้เสี่ยวเหยียนวัดตัวอีกครั้ง
เสี่ยวเหยียนจึงตอบตกลง
หลังจากดีไซน์เนอร์วัดตัวเสร็จ ออกอาการตกใจสุดขีด: “คุณนายหาน เมื่อครู่ตอนที่ฉันลองวัดให้คุณ สังเกตเห็นว่านอกจากช่วงเอวที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ส่วนอื่นกลับยังมีขนาดเท่าเดิม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสี่ยวเหยียนเผยให้เห็นถึงความเคอะเขินขึ้นมาทันที แต่ไม่นานนักก็เลือนหายไป
แต่ดีไซน์เนอร์อยู่ใกล้หล่อนมาก จึงสังเกตสีหน้าอารมณ์หล่อนได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เริ่มเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว ดีไซน์เนอร์จึงยิ้มและพูดขึ้น: “เห็นที คุณคงจะมีข่าวดีแล้วใช่ไหม?”
เสี่ยวเหยียนควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ไม่อยู่ เมื่อถูกอีกฝ่ายเดาถูก หล่อนจึงไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่พยักหน้าลง
“อืม”
“ยินดีด้วยนะคะ ฉันก็คิดอยู่ว่าทำไมคุณถึงให้ฉันช่วยออกแบบให้หลวมขึ้น ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ วางใจได้ค่ะ ดูจากความเร็วในการโตขึ้นของท้องคุณ ถึงวันงานชุดเจ้าสาวไม่มีปัญหาแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่คุณช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อนได้ไหมคะ?”
ได้ยินเช่นนั้น ดีไซน์เนอร์จึงเข้าใจขึ้นมาทันที “ที่แท้คุณนายหานยังไม่บอกข่าวดีกับคุณหานเหรอคะ? โอเคค่ะ ฉันเข้าใจดี ต้องปิดเป็นความลับแน่นอนค่ะ”
จัดเตรียมเรือนหอใกล้เสร็จแล้ว ตระกูลหานในอดีตเป็นยังไงปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เพราะอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อของหานชิงมีเยอะมาก ต่อมาจึงช่วยกันคัดเลือก เสี่ยวเหยียนยังคงชอบวิลล่าส่วนตัวของหานชิงที่เคยไปมา อันที่จริงแล้วนี่ก็เป็นความเห็นแก่ตัวเล็กๆของหล่อน
เพราะหล่อนจำได้ว่าหลังจากที่หานชิงช่วยหล่อนไว้ ก็พามาที่วิลล่าแห่งนี้
และก็เป็นครั้งแรกที่เขาจูบหล่อน
ทุกครั้งที่เสี่ยวเหยียนนึกเรื่องนี้ขึ้นมา ใจของหล่อนยังคงหวั่นไหวอยู่เช่นเคย
ดังนั้นจึงต้องเลือกที่นี่เป็นเรือนหอ
คืนวันนั้น เสี่ยวเหยียนนำชุดเจ้าสาวกลับมาที่วิลล่าส่วนตัวของหานชิง เพื่อเก็บไว้
ตอนที่หานชิงกลับมาจากบริษัท เสี่ยวเหยียนกำลังยืนเช็ดโคมไฟอยู่บนบันไดพอดี เมื่อเห็นภาพนี้ หานชิงรีบขมวดคิ้วขึ้นทันที
“เรื่องพวกนี้ให้เป็นหน้าที่ของป้าแม่บ้านก็ได้ คุณมาทำเรื่องพวกนี้ทำไมกัน?”
ตอนที่หานชิงพูดขึ้น เขาเดินถึงข้างบันไดพอดี “รีบลงมา เกิดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เสี่ยวเหยียนขานรับ จากนั้นพูดขึ้น: “ไม่มีทางหรอก ฉันจะระวังอย่างดีที่สุด”
“อย่าดื้อ”
“รอสักครู่ เดี๋ยวก็ลงไปแล้ว”
เสี่ยวเหยียนกะระยะทาง จากนั้นยื่นมือออกไป เมื่อหานชิงเห็นภาพนี้ จึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา