เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1482
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่1482 หลับแล้วจะคิดยังไง
เจียงเสี่ยวไป๋คิดไม่ถึงจริงๆว่าเซียวซู่จะจูบมา
แต่แค่จูบของเขาเบามาก คำนึงถึงสภาพร่างกายตอนนี้ของเธอ เขาจูบเหมือนแมลงปอแตะน้ำยังไงอย่างงั้น แตะเบาๆ จากนั้นได้ถอยออกมา
“ทำไมจะจูบไม่ลง?”หลังจากถอยออกมา เซียวซู่แทบจะเอาลมหายใจแนบชิดเธอและพูดเสียงต่ำ
เจียงเสี่ยวไป๋เหมือนจงใจอยากจะกระตุ้นเขา เธอได้พูดต่อ:“จูบตื้นขนาดนี้ คุณรังเกียจฉันแน่ๆเลย ใช่มั้ย?”
เซียวซู่: “…….”
หางตาของเขาอดกระตุกไม่ได้ จากนั้นได้หรี่ตาจ้องมองเธอ
“ยังแกล้งทำมาเป็นจูบฉันอีก คุณมันรังเกียจฉันชัดๆ”
ถ้าไม่ใช่นาทีนี้เห็นเธอสีหน้ายังซีดเซียว ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่ เซียวซู่อยากให้เธอรู้จริงๆอะไรเรียกว่าภัยพิบัติออกจากทางปาก แต่สุดท้ายก็ได้ทนเอาไว้ เขาหัวเราะเสียงต่ำและพูด:“ตอนนี้คุณสะกิดผมเถอะ เดี๋ยวรอคุณหาย พวกนี้ล้วนต้องชดใช้คืนเป็นร้อยเท่านะ”
พอพูดจบ เซียวซู่นั่งตัวตรง ช่วยเจียงเสี่ยวไป๋ห่มผ้าห่ม“นอนเถอะ ให้น้ำเกลือพวกนี้เสร็จก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว”
เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋ก็คิดจะกระตุ้นเขานั่นแหละ แต่คิดไม่ถึงว่าเซียวซู่จะไม่หลงกล อีกอย่างเมื่อครู่พูดเยอะไปหน่อย เธอรู้สึกเหนื่อยอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ทั้งถ่ายทั้งอาเจียน ได้ใช้ชี่ดั้งเดิมของเธอไปจนหมด ไม่รู้ว่ากี่วันถึงจะสามารถพักรักษาตัวให้กลับมาเหมือนเดิมได้
แต่ว่าตอนที่เซียวซู่จูบเธอ ในสมองของเจียงเสี่ยวไป๋ก็มีแค่ความคิดเดียว นั่นก็คือโชคดีที่ตัวเองแปรงฟันมาแล้ว!
ไม่งั้นถ้าจูบมีกลิ่น ถึงเวลาต้องก่อให้เกิดปมใหญ่แค่ไหนเชียว?
แต่ก็เพราะอันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ถึงกล้าใช้แผนกระตุ้นเซียวซู่ ไม่งั้นถึงเซียวซู่ทนไหว เธอเองก็ทนไม่ไหวแล้ว
พอให้น้ำเกลือหลายขวดเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ถึงฟื้นฟูชี่ดั้งเดิมกลับมาได้บ้าง แต่เดิมทีเธอก็ทรมานอยู่แล้ว เดิมทียังนึกว่าจะต้องออดอ้อน ใครจะไปรู้เซียวซู่ก็เป็นฝ่ายรุกโน้มตัวลงมาตรงหน้าเธอ“ขึ้นมา”
เจียงเสี่ยวไป๋มองเซียวซู่ทีหนึ่ง ไหล่ของเขากว้างมาก แผ่นหลังก็แข็งแรงมาก ดูแล้วใจกว้างและอบอุ่น
เพราะยังไงซะก็เป็นคนที่คุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว เพราะฉะนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่เกรงใจเลยหมอบไปที่หลังของเซียวซู่โดยตรง และยื่นมือกอดคอของเขาไว้
ถึงแม้บนตัวเธอใส่เสื้อผ้าไม่น้อยชิ้น แต่เพราะให้น้ำเกลือ มือที่เจียงเสี่ยวไป๋กอดมาจึงเย็นเฉียบ ตอนแรกแนบอยู่ที่คอรู้สึกหนาวจริงๆ แต่เซียวซู่ก็ไม่รังเกียจ แม้กระทั่งไม่แสดงออกมาเลย ได้แบกเธอไว้อย่างสงบและค่อยๆเดินออกไปข้างนอก
“เรื่องที่อาหารเป็นพิษ ก็ไม่ต้องบอกผู้ใหญ่แล้วมั้งคะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หมอบอยู่ที่แผ่นหลังของเซียวซู่ และเป็นฝ่ายพูดเอง
เซียวซู่ก็ไม่คัดค้าน เขาได้พยักหน้า:“โอเคครับ”
“แล้วก็เมื่อกี๊ฉันคิดไปครู่หนึ่ง เรื่องที่เราจะแต่งงานก็ไม่ต้องบอกพวกท่านเร็วขนาดนั้นมั้งคะ”
เซียวซู่ฟังแล้วหยุดฝีเท้าไว้ เหมือนค่อนข้างคาดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำนี้
เจียงเสี่ยวไป๋นึกว่าเขาจะถามตัวเองว่าเพราะอะไร ใครจะไปรู้ว่าเซียวซู่จะพูด: “เมื่อกี๊คิดไปครู่หนึ่ง? เมื่อกี๊คุณหลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
คำถามนี้เกือบทำให้เจียงเสี่ยวไป๋ดึงสติกลับมาไม่ได้ เพราะจุดโฟกัสของเขาช่างน่าทึ่งเกินไป สมองที่ตรงทื่อของคนๆนี้อาจจะมีโครงสร้างแตกต่างกับผู้ชายซื่อตรงคนอื่น? “ฉันคิดตอนนอนไงคะ”
“หลับไปแล้วยังจะคิดได้ยังไง?” เซียวซู่ข้องใจมาก เขาเม้มปาก หันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่าง สงสัยทีหนึ่ง “คุณไม่ได้นอนหลับใช่มั้ย?”
“นอนหลับสิคะ!”เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นมือไปผลักมือของเขา และพูดตำหนิ:“คุณดูทางดีๆสิ ถ้าคุณแบกฉันล้ม ฉันในตอนนี้อ่อนแอมากเลยนะ ทนไม่ไหวกับการให้คุณมาล้มหัวฟาดพื้นหรอก”
อ่อนแอ?
เซียวซู่กลับรู้สึกอย่างชัดเจน มือที่เธอผลักหน้าตัวเองมีแรงเยอะดี ยัยเด็กคนนี้…….
มุมปากของเซียวซู่มีรอยยิ้มอ่อนๆโผล่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาได้แบกเธอให้แน่นขึ้น มองดูถนนตรงหน้าอย่างตั้งใจและพูดกับเธอว่า:“บอกเมื่อไหร่ก็ได้ บอกช้าบอกเร็วก็เหมือนๆกันแหละ เพราะยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจอยู่แล้ว”
“เอาล่ะๆ”เจียงเสี่ยวไป๋พูดขัดจังหวะเขา: “ทำไมคุณเหมือนสาบานกับฉันตลอดเลย? ฉันไม่ได้ไม่เชื่อคุณสักหน่อย ฉันแค่รู้สึกเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้เยอะไปหน่อย ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก ฉันอยากกลับไปพักผ่อนดีๆก่อน จากนั้นหาเวลาที่เหมาะสมค่อยบอกการตัดสินใจของเราให้ผู้ใหญ่ฟัง ไม่ยืดเยื้อพวกท่านแน่นอนค่ะ”
“อืม”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ล้อเล่น เธอเหนื่อยจริงๆ ตอนแรกยังสามารถพูดกับเซียวซู่และต่อว่าเขาได้บ้าง ต่อมายิ่งอยู่ยิ่งเหนื่อยแล้ว ได้ซบอยู่ที่หลังของเซียวซู่ก็หลับไปโดยตรงเลย ขึ้นรถแล้วเจียงเสี่ยวไป๋ก็ยังไม่รู้เลย หลังจากถึงบ้านยังเป็นเซียวซู่ที่อุ้มเธอขึ้นชั้นบน
ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋หลับลึกตลอด ผิวที่ปกติก็ขาวผ่องอยู่แล้ว ตอนนี้อยู่ในอาการป่วยยิ่งดูซีดเซียว มีความอ่อนแอเพิ่มมากขึ้น
กลางวันน้อยมากที่จะได้เห็นหน้าตาแบบนี้ของเธอ นาทีนี้กลับเหมือนแมวน้อยหดตัวอยู่ในผ้าห่ม เพราะยังไม่ค่อยสบาย คิ้วของเธอก็เลยขมวดไว้เบาๆ ใบหน้าเล็กๆหน้านิ่วขมวดคิ้วไว้
เซียวซู่ลางาน ไม่ได้ไปที่บริษัท อยู่เป็นเพื่อนกับเจียงเสี่ยวไป๋ที่บ้าน
เจียงเสี่ยวไป๋หลับยาวจนถึงตอนเย็น เมื่อคืนอาเจียนจนกระเพาะว่าง ตอนที่ตื่นขึ้นมาหิวจะแย่อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังไม่อยากอาหารอีกเช่นเคย
หลังจากตื่นนอนก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียง ห่มผ้าไว้มองโคมไฟระย้าบนเพดาน ก็ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
จนกว่าเซียวซู่ผลักประตูเข้ามา เธอถึงเงยหน้ามองไปที่เซียวซู่
“คุณตื่นแล้วเหรอ?”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เป็นฝ่ายยื่นมือไปให้เซียวซู่ เซียวซู่เข้าใจความหมายเธอ เขานั่งลงที่ขอบเตียง จากนั้นดึงเจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาที่อ้อมกอดของตัวเอง
บนตัวเขาเย็นเล็กน้อย หลังจากเจียงเสี่ยวไป๋ถูกเขากอดไว้ในอ้อมกอด เธออดบ่นไม่ได้: “หนาวจังเลย”
“งั้นผมถอดเสื้อคลุมออก ด้านในอุ่น”เซียวซู่พูดจบก็จะถอดเสื้อคลุม เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้กอดเอวของเขาแน่นขึ้นอีก พร้อมส่ายหัว:“ไม่ต้องค่ะ กอดสักพักเดี๋ยวก็อุ่นแล้วค่ะ”
เธอยังไม่หายป่วย เอาแต่ใจติดเซียวซู่งอมแงมเหมือนเด็ก กอดเซียวซู่ได้ไม่นานก็เริ่มสะลึมสะลือง่วงนอนอีก
“ง่วงอีกแล้ว? ไม่หิว?”
“หิวนิดหน่อย แต่ฉันกินไม่ลงค่ะ”
ฝ่ามือใหญ่ของเซียวซู่หล่นอยู่ที่แผ่นหลังของเธอ ช่วยเธอจัดผมไปด้วยและพูดอย่างอ่อนโยนด้วย: “ผมได้ต้มโจ๊กไว้ ลุกขึ้นมากินหน่อย”
โจ๊ก?
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว:“ฉันไม่อยากกินโจ๊ก ฉันอยากกินอะไรที่เผ็ดๆหน่อย”
เซียวซู่ฟังแล้วก็หน้าบึ้งขึ้นมาเลย
“เมื่อคืนคุณเป็นแบบนั้น ตอนนี้ยังกินของเผ็ดอีก? ผมว่าเมื่อคืนคุณก็เพราะกินพริกมากเกินไปเนี่ยแหละ”
เมื่อคืนตอนที่กินสุกี้ ของที่สั่งก็คือ หม่าล่าแบบผัดแห้งอยู่แล้ว ปรากฏยัยเด็กคนนี้ยังปรุงน้ำจิ้มเผ็ดให้ตัวเองอีกถ้วยหนึ่ง กระทั่งกินถึงสุดท้ายตัวเองก็เผ็ดจนร้องไห้อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังยืนหยัดที่จะกินต่อ
เพราะฉะนั้นตอนนี้เซียวซู่สงสัยว่าเธอก็เพราะกินพริกมากเกินไป กระเพาะรับไม่ไหว ถึงได้มาเป็นแบบนี้
เจียงเสี่ยวไป๋คงจะเหตุผลไม่เพียงพอ จึงไม่ได้พูดมาก
“สรุปก็คือฉันก็ไม่อยากกินโจ๊ก ไม่อร่อย”
“เด็กดี”เซียวซู่เหมือนกำลังกล่อมเด็กยังไงอย่างงั้น น้ำเสียงค่อนข้างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้: “คุณเพิ่งตื่น กินโจ๊กก่อน กินครึ่งถ้วยรองท้องก่อน พอคุณหายดีแล้วถึงเวลาอยากกินอะไรก็ยังไม่สาย”
เจียงเสี่ยวไป๋แค่ไม่อยากกินโจ๊ก แต่เธอเป็นผู้ใหญ่ รู้ว่าเวลานี้ตัวเองกินได้แค่ของอ่อนๆ เพราะฉะนั้นสุดท้ายก็ได้พยักหน้าอย่างเชื่อฟังอยู่ดี