เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 1491
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่1491เกี่ยวกับเรื่องการมีลูก
ตอนกลางคืน เหลียงหย่าเหอกับเซียวหมิงจื้อพ่อแม่ของเซียวซู่จะมากินข้าวด้วยกัน เหลียงหย่าเหอมาถึงตอนช่วงใกล้ค่ำ แล้วรับหน้าที่เป็นแม่ครัวจำเป็น เธอจึงซื้อวัตถุดิบมาเป็นจำนวนมาก
ตอนที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เจียงเสี่ยวไป๋จะแกล้งเซียวซู่อยู่บ่อยๆ
เพราะยังไงก็อยู่กันแค่สองคนไม่มีคนนอก จะทำอะไรก็ไม่เป็นอะไร แต่ตอนที่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยก็ต้องทำตัวเรียบร้อยรู้กาลเทศะบ้าง
ก่อนที่เหลียงหย่าเหอจะมาถึง เจียงเสี่ยวไป๋ยังนอนเซาอยู่บนเตียงไม่ยอมตื่น พอได้ยินเซียวซู่บอกว่าพวกท่านจะมา เธอก็รีบลุกจากเตียงแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะแต่งหน้าบางๆ ให้ดูเหมาะสม
ตอนที่เธอกำลังแต่งหน้า เซียวซู่ก็ยืนมองอยู่ข้างๆ
“เจอกับพ่อแม่ ต้องแต่งหน้าด้วยเหรอ”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่กำลังจดจ้องอยู่กับการแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก พอได้ยินคำถามนี้ก็หันกลับไปมองหน้าเซียวซู่ “แน่นอนสิคะ ฉันเป็นลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามา ต้องทำอะไรดีๆให้พวกท่านได้เห็น คุณมันซื่อบื้อไม่เข้าใจหรอก”
ไม่ใช่ว่าเธอต้องการจะประจบพวกท่าน แต่ที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำแบบนี้ เพราะพ่อแม่ของเซียวซู่ดีกับเธอมาก ดังนั้นเธอจะเสียเวลาไปกับการเตรียมตัวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
หลังจากแต่งหน้าเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ สุดท้ายเธอก็เลือกชุดกระโปรงที่เหลียงหย่าเหอซื้อให้เธอ
หลังจากนั้นเจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบวิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยงาน
“คุณแม่คะ”
เหลียงหย่าเหอเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้ามา ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองว่าแม่ ในใจก็ยิ่งรู้สึกรักใคร่เอ็นดู ดวงตายิ้มจนหยีและยิ้มจนหุบไม่ลง
“เสี่ยวไป๋ แม่ได้ยินเซียวซู่บอกว่าลูกกำลังนอนหลับอยู่ ทำไมตื่นเร็วจังลูก ถ้ารู้สึกเหนื่อยจริงๆ ก็เข้าไปพักอีกสักหน่อย เดี๋ยวแม่เตรียมอาหารเสร็จลูกค่อยลุกขึ้นมากินข้าวก็ได้จ้ะ”
พอได้ยินแบบนี้ รอยยิ้มของเจียงเสี่ยวไป๋กระตุกเล็กน้อย ตาบ้าเซียวซู่กล้าฟ้องว่าเธอกำลังนอนหลับอยู่เหรอ เรื่องระหว่างชายหญิง ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี
แต่พอเอาออกมาพูดตรงๆ มันทำให้รู้สึกอับอายทำตัวไม่ถูก
อย่างเช่นตอนนี้ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นแทน
“คุณแม่คะ คืนนี้คุณแม่จะทำเมนูอะไรคะ ให้หนูช่วยนะคะ”
พอพูดเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็รีบถลกแขนเสื้อขึ้น แต่เหลียงหย่าเหอรีบห้ามไว้ซะก่อน “ไม่ต้องจ้ะไม่ต้อง วันนี้แม่จะรับหน้าที่เป็นแม่ครัวเอง ลูกไปพักผ่อนอีกสักพัก เดี๋ยวแม่ทำอาหารเสร็จจะให้เซียวซู่ไปเรียกอีกที”
“คุณแม่คะ หนูจะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน หนูมาเป็นลูกสะใภ้นะคะ ไม่ใช่มาเพื่อเสวยสุขเป็นคุณหนู งานบ้านต้องช่วยกันทำสิคะ”
“ใครบอกว่าไม่ใช่จ้ะ”เหลียงหย่าเหอได้ยินแบบนั้น จึงรีบหน้าเคร่ง “เจ้าลูกบ้านั่นบังคับให้ลูกมาใช่ไหม ใช่หรือเปล่าจ้ะ เดี๋ยวแม่จะจัดการสั่งสอนให้ เจ้าลูกบ้านั่นคิดจะแข็งข้อหรือไงกัน มีภรรยาแล้วไม่ดูแลดีๆ เขาคิดจะทำอะไรกัน”
ในตอนแรกเจียงเสี่ยวไป๋นึกว่าเหลียงหย่าเหอพูดเล่น แต่พอเห็นเหลียงหย่าเหอถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินออกจากห้องครัวด้วยท่าทางโมโห ท่าทางเหมือนเตรียมตัวจะไปจัดการกับลูกชายตนเองจริงๆ เจียงเสี่ยวไป๋ถึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้พูดล้อเล่น
“คุณ คุณแม่คะ”เจียงเสี่ยวไป๋รีบรั้งแขนเธอไว้ “เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเซียวซู่นะคะ เป็นหนูเองที่อยากช่วย เขาไม่ได้เป็นคนไปเรียกหนูมาช่วยค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น เหลียงหย่าเหอมองมาที่เธออย่างจับผิด “จริงเหรอจ้ะ”
“จริงๆค่ะคุณแม่ หนูแค่รู้สึกว่าการช่วยเหลือผู้ใหญ่เป็นหน้าที่ของลูกหลานที่ควรจะทำ ไม่ใช่ความผิดของเซียวซู่หรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร”เหลียงหยาเหอโบกมือปฏิเสธ “ถึงแม้ตอนนี้หนูจะเป็นลูกสะใภ้ของแม่ แต่หนูไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดัน แม่กับแม่สามีคนอื่นไม่เหมือนกัน แม่รักและเอ็นดูเสี่ยวไป๋เหมือนลูกสาวของแม่อีกคน ดังนั้นลูกอยากจะทำอะไรลูกก็ทำได้เลย”
“สิ่งที่หนูอยากจะทำตอนนี้คือช่วยคุณแม่ทำอาหารค่ะ ถ้าพวกเราช่วยกันทำ จะได้เสร็จเร็วๆไงคะ”
พอพูดเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋ก็คล้องแขนของเหลียงหย่าเหอไว้อย่าออดอ้อน จนสุดท้ายเหลียงหย่าเหอต้องยอมตามใจเธอ ทั้งสองคนเดินเข้าห้องครัวด้วยท่าทางสนิทสนมเหมือนสองแม่ลูก
หลังจากทำอาหารเย็นเสร็จ ทุกคนก็มานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข
ในคืนนั้นเหลียงหย่าเหอมอบของขวัญให้เจียงเสี่ยวไป๋อีกจำนวนมาก รวมถึงอั่งเปาซองหนา ทั้งที่ในวันงานแต่งงานก็ได้ค่าสินสอดก็มากพออยู่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋คิดไม่ถึงเลยว่าเหลียงหย่าเหอจะดีกับเธอถึงขนาดนี้ เธอเข้าไปกอดเหลียงหย่าเหออย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะเอ่ยพูด “ขอบคุณนะคะคุณแม่ คุณแม่ดีกับหนูที่สุดเลย”
พอเธอเข้าไปกอด เหลียงหย่าเหอเริ่มแสบจมูก ขอบตาเริ่มแดง เธอลูบไหล่เสี่ยวไป๋อย่างเอ็นดู “ต่อไปนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ลูกไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันขนาดนี้ก็ได้จ้ะ แม่กับพ่อมีเซียวซู่เป็นลูกชายแค่คนเดียว จากนี้ไปอยากจะได้อะไรบอกพ่อกับแม่ พ่อกับแม่จะพยายามหามาให้ รวมถึงเวียวซู่ด้วย ต่อไปนี้ลูกต้องดูแลเสี่ยวไป๋ดีๆ ถ้าแม่รู้ว่าลูกรังแกเสี่ยวไป๋ แม่กับพ่อจะลงโทษลูกให้หนักเลย”
ถ้าเทียบกับ เหลียงหย่าเหอที่กำลังพูดกำชับไม่หยุดแล้ว เซียวหมิงจื้อดูจะนิ่งสงบมากกว่าเยอะเลย แววตาที่เขามองเจียงเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความเมตตาและอ่อนโยน “ลูกมีอะไรก็คุยกับพ่อได้ ไม่ต้องเกรงใจนะ”
“ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่”
“จริงด้วยสิ จริงด้วย”เหลียงหย่าเหอเหมือนจะนึกอะไรที่สำคัญขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยพูด “พวกลูกสองคนแต่งงานกันแล้ว งั้นพวกลูกก็ต้องเตรียมตัวเรื่องลูกแล้วใช่ไหม เสี่ยวไป๋ลูกตั้งใจจะมีลูกเมื่อไหร่จ้ะ”
พอได้ยินแบบนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ชะงักไป ก่อนจะยิ้มแหย เป็นไปตามที่เธอคาดไว้เลย พอแต่งงานแล้วก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับคำถามนี้ นั่นก็คือเรื่องการมีลูก
เธอยิ้มแหย ก่อนจะรีบพูดอธิบาย “คุณแม่คะ หนูกับเซียวซู่เพิ่งจะแต่งงานกันเองนะคะ แล้วอีกอย่างพวกเราอายุยังน้อย เรื่องนี้เรายังไม่รีบร้อนดีกว่านะคะ”
“ยังเด็กเหรอลูก”เหลียงหย่าเหอเหลือบมองไปทางเซียวซู่ ก่อนจะเบ้ปากแล้วพูด “จะกลายเป็นชายแก่อยู่แล้ว เด็กที่ไหนกัน แต่ก็ถูก เสี่ยวไป๋ยังสาว ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ เสี่ยวไป๋ ที่แม่ถามลูกแบบนี้ไม่ใช่ว่าแม่กำลังเร่งเร้าลูกนะจ้ะ”
“หนูเข้าใจค่ะคุณแม่ คุณแม่วางใจได้ค่ะ พวกเราจะปล่อยให้ท้องตามธรรมชาติแน่นอนค่ะ”
ถึงแม้เหลียงหย่าเหอจะบอกว่าไม่เร่งเร้า ที่จริงแล้วในใจเธออยากจะอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว แต่คิดก็คือคิด เธอก็แค่ลองถามดู ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
“มา มา เราเริ่มกินข้าวกันดีกว่าจ้ะ กินเยอะๆนะจ้ะลูก”
โจ๊กสามชามที่กินไปตอนเที่ยงย่อยไปนานแล้ว ตอนอาหารเย็นเจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจจะกินเยอะขึ้นเล็กน้อย แต่ใครจะคิดว่าเหลียงหย่าเหอจะตักอาหารใส่จานของเธอไม่หยุด จนเจียงเสี่ยวไป๋อิ่มจนจุกไปเลย
เหลียงหย่าเหอกลัวว่าเธอจะกินไม่อิ่ม จึงคีบอาหารใส่ชามของเธอไม่หยุด สุดท้ายเจียงเสี่ยวไป๋ต้องส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเซียวซู่อย่างเร่งด่วน
“แม่ครับ”หลังจากที่เซียวซู่เห็นแววตาขอความช่วยเหลือ เขาก็ยื่นมือไปยกชามข้าวของเธอมาวางลงตรงหน้าตัวเอง ก่อนจะเอ่ยพูด “เสี่ยวไป๋กินเยอะมากแล้วครับ เดี๋ยวตอนดึกเธอจะปวดกระเพาะเอาได้นะครับ”
พอได้ยินแบบนั้น เหลียงหย่าเหอถึงได้นึกขึ้นได้ เธอจึงหันไปยิ้มแหยให้เจียงเสี่ยวไป๋ “เสี่ยวไป๋ ลูกกินอิ่มมากแล้วใช่ไหมจ้ะ ทำไมลูกไม่บอกแม่ล่ะจ้ะ”
“คุณแม่คะ…”
“เอาล่ะ เด็กคนนี้ทำไมชอบเกรงใจจริงๆ แบบนี้ดูจะห่างเหินกันมาก แม่บอกแล้วไง ลูกคิดซะว่าแม่เป็นแม่ของลูก มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ แม่ตามในลูกทุกอย่างเลย”
“อืม หนูจะจำไว้ค่ะ ครั้งหน้าหนูจะพูดออกไปตรงๆแน่นอนค่ะ”
ทั้งสี่คนนั่งกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าและเบิกบานใจ