เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 610
บทที่ 610 เมื่อกี้ใครกันที่บอกว่าเหนื่อย
นานแล้วที่ความสัมพันธ์ระหว่างเย่โม่เซินกับเย่หลิ่นหานได้แตกหักกันไป ก่อนหน้านี้ที่ยังพอพยักหน้าทักทายกันได้เป็นครั้งคราวก็ไม่เหลืออีกแล้ว
แน่นอนว่าหลังจากที่เย่โม่เซินพูดประโยคนี้ สีหน้าของผู้คนที่อยู่รอบข้างก็เปลี่ยนไป
หรือจะมีความแค้นอะไรกัน?
เมื่อภรรยาของลุงอ้วนได้ยินประโยคนี้ก็ตกใจตาตั้ง “ไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้จะดูน่าเกรงขามได้ขนาดนี้ ตอบโต้ได้ดีมาก ว่าแต่…พวกเขาเป็นพี่น้องกันหรือ?”
ทันใดนั้นพี่สาวก็มองเย่หลิ่นหานด้วยความสงสัย เขาจะตอบโต้อย่างไรเมื่อต้องอับอายต่อหน้าผู้คนเช่นนี้?
ทางด้านเย่หลิ่นหานก็ชำระเงินเสร็จพอดี ตอนที่เก็บบัตร เขาก็เดินไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าเขาไม่ได้พาลโกรธหรือแสดงท่าทางหงุดหงิดที่ถูกเย่โม่เซินพูดเหน็บแนม อีกทั้งยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งและอบอุ่น
เขาพูดเรียบๆว่า “นายยังโทษพี่เพราะเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ? นั่นไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของพี่ พี่เองก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น”
“หึ” เย่โม่เซินยิ้มอย่างเยือกเย็นโดยไม่เห็นแก่หน้าเขาเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าสายตาของเขาที่อยู่ใต้เลนส์มองตามมาที่มือเขากับหานมู่จื่อ เขาจึงออกแรงบีบมือนุ่มๆหานมู่จื่อโดยไม่รู้ตัวและยังบีบนิ้วเธอแน่น
“ไม่ได้ตั้งใจ? งั้นนายถูกคนอื่นบังคับสินะ?”
เย่หลิ่นหานมองเขา ชายหนุ่มทั้งสองสบตากัน ทันใดนั้นไฟนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาและสงครามที่ปราศจากดินปืนก็ปะทุขึ้น
หานมู่จื่อรู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะฉีกหน้ากันแบบนี้ เย่โม่เซินต้องการแสดงความเป็นเจ้าของต่อหน้าเย่หลิ่นหาน อย่างเช่นว่า…ตอนนี้เขาจับมือเธอไว้ในฝ่ามือและใช้แรงบีบมากขึ้นกว่าเดิม
จากการปรากฏตัวของเย่หลิ่นหาน หานมู่จื่อก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์บางอย่างจากตัวเย่โม่เซิน
มันคือ…ความกลัว
อย่างไรก็ตามเธอคิดว่าตัวเองกำลังเข้าใจผิด เนื่องจากเธอรับไม่ได้ที่เธอกลับมารู้สึกแบบนี้อีกในภายหลัง บวกกับที่เธอไม่ควรรู้สึกถึงสภาพอารมณ์นี้ในตัวเย่โม่เซิน
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หลิ่นหาน คนหยิ่งยโสโอหังอย่างเย่โม่เซินจะกลัวได้อย่างไร?
แม้ว่าเย่หลิ่นหานจะมีบริษัทเป็นของตัวเอง แต่บริษัทของเขายังคงเป็นลูกไล่บริษัทตระกูลเย่ ไม่มีความเป็นไปได้
ดังนั้นความกลัวนี้มาจากอะไรกันแน่?
น่าเสียดายที่เย่โม่เซินไม่ได้รอให้เย่หลิ่นหานพูด เขากุมมือเธอแล้วเดินออกไป เขาเดินนำหน้าหานมู่จื่อ ดังนั้นในตำแหน่งของหานมู่จื่อจึงสามารถมองเห็นแผ่นหลังของเย่โม่เซินได้ เขาจับมือเธอข้างหนึ่ง แล้วอีกข้างหนึ่งถือของที่เพิ่งซื้อมา ภาพแบบนี้เหมือนสามีที่พาเธอมาเดินซุปเปอร์มาเก็ต
แต่น่าเสียดาย…
หานมู่จื่อก้มหน้าลง ดวงตาเธอเริ่มหม่นหมองลงเล็กน้อย
เมื่อเย่หลิ่นหานมองฉากนี้ก็ลดสายตาลงเพื่อระงับความเยือกเย็นที่อยู่ภายในใจ จากนั้นก็ถือของเดินออกไป
ลุงอ้วนผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถอนหายใจ “ถามโลกหล้ารักนั้นเป็นฉันใด ฉันล่ะเสียใจแทนพี่ชายเขาจริงๆ ถูกกระทำเสียขนาดนั้นก็ยังตอบโต้ด้วยคำพูดสุภาพ เฮ้อ…”
“ผู้ชายแบบพวกคุณก็ตาตื้นแบบนี้แหละ เห็นได้ชัดว่าการตอบโต้ของเขาเป็นการถอยเพื่อล่า คุณคิดจริงๆหรือว่าเขาพูดด้วยความสุภาพ?”
“เอ๋?” ลุงอ้วนเกาศีรษะ “ถอยเพื่อล่า?”
“ถ้าฉันจะบอกว่าคุณโง่ คุณจะยอมรับไหม? เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ? ต่อหน้าผู้หญิงที่รัก ถ้าเขาคนนั้นทะเลาะกับอีกฝ่ายในเวลาแบบนี้ เขาก็เสียภาพลักษณ์หมดน่ะสิ อย่ามองเพียงว่าผู้ชายคนนี้ดูสุภาพเรียบร้อย เพราะเขาน่าจะเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก”
“น้ำนิ่งไหลลึก? คุณรู้ได้ยังไง? มองแป๊บเดียวก็ดูออกแล้วหรือ?”
“มองแป๊บเดียวจะไปรู้อะไรมากล่ะ ฉันเพิ่งเจอเขาเป็นครั้งแรก ถ้าจะให้ฉันตัดสินเขาก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะฉะนั้นฉันไม่พูดละ ฉันจะพูดแค่ว่าเขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยก็แล้วกัน แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึก! นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นนะ!”
พอพูดเสร็จ พี่สาวก็หันกลับมาตบหัวลุงอ้วน
อย่างแรงลุงอ้วนเกาศีรษะ “อืม เข้าใจแล้ว”
“แต่ว่า…” พี่สาวกอดอกและมองไปที่แผ่นหลังเย่หลิ่นหานจากที่ไกลๆ เธอค่อยๆหรี่ตาลง “ผู้ชายคนนี้…แม้จะไม่ได้เป็นคนประเภทแบบที่ฉันพูด แต่ก็ไม่ใช่คนทั่วไปอย่างแน่นอน”
“ไม่เข้าใจ”
“ไป กลับบ้าน”
ลุงอ้วนรีบตามไป
*
หานมู่จื่อโดนเย่โม่เซินลากมาตลอดทางกลับบ้าน เธอทำตัวเชื่อฟังโดยไม่พูดอะไรในระหว่างทาง เธอรู้ว่าเย่โม่เซินอารมณ์ไม่ดีและด้วยความใจฝ่อ เธอจึงได้แต่เดินตามเขา
เนื่องจากเขาสาวเท้าเร็วมาก หานมู่จื่อจึงเดินตามจนเหนื่อยหอบ สุดท้ายเธอก็อดพูดออกมาไม่ได้ว่า “คุณเดินช้าๆหน่อยได้ไหม?”
พอเย่โม่เซินได้ยินดังนั้นก็หยุดเท้า เขาหันมามองเธอที่กำลังหอบแฮ่กก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป
ดวงตาของเขาเป็นประกายแล้วมองลงมา
“เหนื่อยหรือ?”
“แล้วคุณว่าไงล่ะ?” หานมู่จื่อจ้องเขาอย่างไม่พอใจ
เธอไม่เพียงแค่เหนื่อย อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้รับการทรมานจากเขา ตอนนี้เธอจึงปวดไปทั้งขา อีกอย่างวันนี้เธอก็เดินมาตั้งนานแล้ว เขายังมาเดินเร็วเสียแบบนี้ ไม่รู้ว่านี่กำลังทรมานเธออยู่หรือเปล่า?”
หานมู่จื่อพูดไม่ออกเล็กน้อย เธอเท้าสะเอวหายใจเหนื่อยหอบ
เย่โม่เซินมองไปรอบๆก็พบว่าไม่มีที่ที่สามารถพักผ่อนได้ ดังนั้นเขาจึงก้มตัวลงแล้วพูดกับหานมู่จื่อว่า “ขึ้นมา”
หานมู่จื่อ “อะไร?”
เธอมองการเคลื่อนไหวของเขาด้วยความประหลาดใจ ถ้าเธอไม่ได้เข้าใจผิด เย่โม่เซินจะแบกเธอขึ้นหลังงั้นหรือ?
แต่ว่า…พวกเขาก็อายุเยอะขนาดนี้แล้ว การทำอะไรแบบนี้ก็มีแต่พวกหนุ่มสาวเขาทำกัน
ทว่าเธอ…
“ยืนบื้ออยู่ทำไม?” เย่โม่เซินเห็นเธอยืนงงอยู่กับที่ เขาจึงยกมือขึ้นแล้วลากเธอมาที่หลังตัวเอง
ก่อนที่เธอจะตอบสนอง เธอรู้สึกว่าเธอได้แนบตัวอยู่บนแผ่นหลังของเย่โม่เซินแล้ว เนื่องจากมืออีกข้างกำลังถือถุงอยู่ ดังนั้นเขาจึงใช้มืออีกข้างประคองสะโพกเธอ พลางกำชับ “ไม่อยากตกลงไปก็กอดแน่นๆ”
จากนั้นก็ลุกขึ้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หานมู่จื่อยื่นมือไปกอดคอเขาแน่นแทบจะเป็นคนคนเดียวกัน
ด้วยการสัมผัสที่แนบชิด เย่โม่เซินก็ยิ้มอย่างพึงพอใจและแบกเธอไว้ข้างหลังเดินไปข้างหน้า
ที่จริงระยะทางกลับที่พักไม่ได้ไกลมาก แต่เนื่องจากเขาแบกเธออยู่ อีกทั้งยังต้องถือของ หานมู่จื่อจึงรู้สึกว่าภาระเย่โม่เซินนั้นหนักหน่วงมาก ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นมาว่า “หรือว่า…ฉันจะลงแล้วเดินไปเอง”
“หืม” เย่โม่เซินยิ้มเยาะเย้ย “เมื่อกี้ใครกันที่บอกว่าเหนื่อย?”
หานมู่จื่อ “…”
เธอลดสายตาลงเห็นเส้นบนลำคอของเขา ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเธอไม่พูดออกมาก็คงดี แล้วยังมาโทษเธออีก?
หลังจากเดินไปได้สักพัก แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงเหนื่อยหอบของเย่โม่เซิน แต่หานมู่จื่อก็รับรู้ได้ว่าเขาเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นเธอจึงปรับท่าอยู่บนหลังของเขาเพื่อให้ตัวเบาขึ้น
หลังจากบิดตัวบางส่วน ลมหายใจของเย่โม่เซินก็หนักหน่วงขึ้น เขาพูดด้วยเสียงแหบพร่า “คุณทำอะไรอยู่ข้างหลังผม?”