เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 732
บทที่ 732 แทนที่ด้วยความหลงผิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อากาศเริ่มหนาวขึ้น
หานชิงและเสี่ยวเหยียนใช้เวลาสองสามวันถึงไปคลินิกเล็กๆทีหนึ่ง โชคดีที่ไอ้หัวเกรียนบอกว่าชายผ้าก๊อซฟื้นแล้วและหมอก็ได้เข้ามาตรวจแล้วเรียบร้อย
อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถถอดผ้าก๊อซออกได้ต้องใช้เวลาไปสักพักก่อน
เสี่ยวเหยียนและหานชิงมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ห้องพักผู้ป่วย
หลังจากเดินมาถึงห้องพักผู้ป่วยไอ้หัวเกรียนก็พูดขึ้นเบาๆว่า ”ก่อนหน้านี้เขาตื่นไปแล้ว ตอนนี้หลับไปอีกรอบ”
เสี่ยวเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้า โบกไม้โบกมือตรงหน้าคนๆนั้นและร้องเรียกออกมา “คุณชายเย่?”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนคำที่เสี่ยวเหยียนตะโกนใส่คุณชายเย่จะปลุกคนที่ดวงตาปิดอยู่ตอนนี้ให้เปิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้เสี่ยวเหยียนที่อยู่ใกล้ๆผงะถอยออกไปพร้อมกับอุทาน
มือใหญ่คู่หนึ่งประคองหลังของเสี่ยวเหยียนไว้ เสี่ยวเหยียนหันกลับไปมองก่อนจะนึกได้ว่าเป็นมือของหานชิง เธอเหลือบมองเขาอย่างขอบคุณแต่ไม่ต้องรอเธอโต้ตอบอะไรกลับหานชิงกลับชิงจับมือและพูดอย่างเย็นชาว่า “ยืนดีๆ”
เสี่ยวเหยียนรีบยืนขึ้นดีๆ
คนที่ถูกห่อด้วยผ้าก๊อซบนเตียงก็ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางตื่นเต้น
หลังจากที่เขาเห็นเสี่ยวเหยียนเขาก็ตกใจครู่หนึ่งก่อนจะเกิดการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้นมา
เสี่ยวเหยียนที่ยืนขึ้นดีๆแล้วเธอก็มองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น เมื่อทั้งสองสบตากันเสี่ยวเหยียนก็เกือบจำได้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนั้นคือใคร
แต่….เธอเองก็ไม่กล้าแน่ใจ จึงทำเพียงแค่มองไปที่คนนั้นและเตรียมถามอีกฝ่ายอย่างรอบคอบ
ไม่อยากให้อีกฝ่ายเปิดปากถามออกมาก่อน
“คุณชายเย่ แล้วคุณชายเย่ล่ะ?”
หานชิงคิ้วกระตุกทันทีที่ประโยคนั้นจบ
เสี่ยวเหยียนพูดด้วยความประหลาดใจ “นาย นายคือเซียวซู่?”
เซียวซู่พยักหน้ารับโดยไม่ได้เป็นห่วงบาดแผลบนร่างกายตัวเอง ฝืนร่างกายเพื่อลุกจากเตียงแต่ลับต้องล้มลงกับพื้น เสี่ยวเหยียนจึงเข้ามาช่วยประคอง: “นายไม่ต้องลุกลี้ลุกลนขนาดนั้น ร่างกายยังบาดเจ็บอยู่นะ แถมยังเพิ่งตื่นอีก…..ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไง?”
เซี่ยวซู่กับจับมือเธอไว้และพูดอย่างคนกังวล “เครื่องบินเกิดอุบัติเหตุ ผมตกลงมากับคุณชายเย่ เขาไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
เสี่ยวเหยียนเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดซ้ำ “คนของเราพบนายเพียงแค่คนเดียว ส่วนคุณชายเย่….จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา และ….พวกเขาทั้งหมดคิดว่านายเป็นคุณชายเย่กัน”
หานชิงที่นั่งฟังคิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่เขารู้สึกว่ามันผิดปกติเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้มีผ้าก๊อซพันไว้ทั้งตัว จึงไม่สั่งให้คนของตัวเองหยุดค้นหา
ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงยังคอยตามสืบและหาเบาะแสของเย่โม่เซิน แม้ว่าพวกเขาจะรู้กันเป็นการส่วนตัวแล้วว่าเจอบุคคลที่ตามหาแล้ว แต่ยังต้องหาบางสิ่งต่อ
“อะไรนะ?” เซียวซู่ได้ยินก็รู้สึกช็อกไปจนเป็นลมคาอ้อมกอดของเสี่ยวเหยียน
เสี่ยวเหยียน: “…………”
“…….บ้าเหรอ? เพิ่งจะตื่นแล้วก็เป็นลมไปเนี่ยนะ? เฮ้?? รีบตื่นขึ้นมาสิ นายรู้ตำแหน่งของคุณชายเย่ไหม?”
“ไอ้บ้า!” เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา
สรุปหานชิงก็เห็นเธอระเบิดอารมณ์ออกมาเพราะเขาก็อยู่ในห้องพักผู้ป่วยนี้ด้วย
เธอรู้สึกอายมาก จับเซียวซู่ออกไม่ได้ แถมร่างทั้งร่างของเขาก็ยังบาดเจ็บเลยจะผลักเขาออกไม่ได้ จึงทำได้เพียงแค่มองไปที่หานชิง “เอ่อ….ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
หานชิงเมินไม่ช่วยเหลือ หลังจากเรียกหมอเข้ามาทั้งสองก็ออกจากห้องพักผู้ป่วยไปด้วยกัน
“ทำยังไงดี?” เซียวซู่คือผู้ช่วยของคุณชายเย่ เจอผู้ช่วยแล้วแต่กลับยังไม่เจอคุณชายเย่ ดีที่ยังไม่ได้บอกมู่จื่อ”
“หาต่อไป”
จะทำยังไงได้ล่ะ? ทำได้แค่หาต่อไป
เสี่ยวเหยียนมองกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยในใจรู้สึกอยากร้องไห้
คิดไม่ถึงว่า….คนที่ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างนั้นคือเซียวซู่……
เมื่อได้ฟังไอ้หัวเกรียนบอกว่าใบหน้าเขามีบาดแผลลึก
ไม่รู้ว่า….อนาคตจะเสียโฉมไหม?
จู่ๆเสี่ยวเหยียนก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมา
*
หานมู่จื่อยังคงรอแล้วรอเล่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ยังดีที่วิญญาณยังไม่เป็นไร
ซูจิ่วมาหาเธอตั้งแต่เช้า
“ถึงแม้คุณจะบอกฉันมาก่อนหน้านี้ว่าให้ฉันกับประธานหานไม่ต้องมาดูแลคุณอีก แต่ครั้งนี้…..ฉันไม่มาไม่ได้”
หานมู่จื่อลอบมองหน้าอีกฝ่ายแต่ไม่ตอบโต้อะไรออกไป
“ถ้าฉันบอกว่าฉันอยากเป็นกำลังให้คุณ พนักงานที่บริษัทก็กำลังรอคุณอยู่นะ คุณจะว่ายังไง?” ซู่จิ่วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
หานมู่จื่อก็ยังไม่ตอบอะไรกลับ
ซูจิ่ว: “…….ดูท่าว่าโม่เย่เซินไม่อยู่แถมคุณก็ไม่ได้ต้องการบริษัทด้วยซ้ำ แล้วถ้า……เป็นบริษัทของเขาล่ะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นหานมู่จื่อก็หยุดชะงัก ก่อนจะหันไปมองเธอและในที่สุดก็พูดออกมา “หมายความว่ายังไง?”
“แม้ว่างานแต่งงานคุณจะไม่ได้ราบรื่นมาก แต่ฉันรู้ว่าพวกคุณเป็นสามีภรรยากันก่อนหน้านี้ ตอนนี้เย่โม่เซินหายไปและมีคนต้องการจะใช้โอกาสนี้เพื่อแย่งชิงทรัพย์สินและอำนาจของเขาไป คุณอยากจะปกป้องเขารึเปล่า?”
หานมู่จื่อขมวดคิ้นมุ่น จะรู้สึกยังไงดีกับคำพูดของซูจิ่ว…..เหมือนว่ามีคนพยายามจะแย่งบริษัทของเย่โม่เซินไป?
บนโลกใบนี้จะมีใครสามารถแย่งชิงสิ่งของจากคนอื่นได้ง่ายๆอยู่เหรอ?
ท่าทางของหานมู่จื่อดูเย็นชา เธอตอบกลับอย่างเฉยเมย “เพียงแค่ตอนนี้หาที่ๆเขาอยู่ไม่เจอเท่านั้น ใครจะโลภเอาบริษัทของเขากัน?”
ซูจิ่วยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไป
“ปกติก็จะเป็นพี่ชายพ่อเดียวกัน”
อะไรนะ?
เย่หลิ่นหาน?
“เธอหมายความว่า…..เขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อกลับเข้าตระกูลเย่?”
เกี่ยวกับเย่โม่เซินและเย่หลิ่นหาน จริงๆแล้วหานมู่จื่อ….รู้เพียงนิดหน่อยไม่ได้มากขนาดนั้น แต่จากอารมณ์ตอนที่เย่โม่เซินพูดแล้วมันเห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดชายหนุ่มผู้ที่มีพ่อคนเดียวกัน
ความบาดหมางระหว่างทั้งสองคนเหมือนบ้านใหญ่กับบ้านเล็ก
กลัวว่าต้องมีเรื่องอื่นๆจะตามมาอีกมากมาย
“ทำไมเป็นอย่างงั้น?” หานมู่จื่อพึมพำ “เย่หลิ่นหาน….เป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอ?”
“คุณคิดว่าเขาเป็นคนยังไง? มีเรื่องเกิดขึ้นกับเย่โม่เซิน เขาก็ต้องคิดอยากจะแทนที่อยู่แล้ว คุณคิดว่าไงล่ะ?”
หานมู่จื่อรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวราวกับทั้งตัวของเขาถูกน้ำเย็นๆสาดเข้าให้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ถ้า…เย่หลิ่นหานต้องการแทนที่จริงๆ ก็……ทำให้เธอผิดหวังมากจริงๆ
ในตอนนี้ตอนที่เย่โม่เซินประสบอุบัติเหตุ เขาต้องการเข้ามาแทนที่ แบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?
“เรื่องครั้งนี้ฉันเข้าใจคุณจริงๆ คุณเป็นภรรยาของเย่โม่เซิน แต่ในเวลานี้ฉันคิดว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนกระแสน้ำได้ แต่ถ้าช้ากว่านี้ล่ะก็ ฉันเกรงว่า……”
ซูจิ่วไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่หานมู่จื่อรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร
เธอรู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วตัวเธอเองอยู่ที่นี่ไปไม่ได้ตลอดโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้
เธอเพียงแต่อยากรอให้เย่โม่เซินกลับมา
แต่ว่าก่อนที่เขาจะกลับมา เธอจำเป็นต้องปกป้องทรัพย์สินของเขาไว้ให้ดีๆด้วย
ไม่มีใครสามารถเอาเปรียบเขาได้ในช่วงที่เขาประสบอุบัติเหตุ ไม่มีใครจะมาแทนที่เขาไม่ได้ ไม่มี!!
“ฉันจะไม่บังคับคุณ ฉันจะให้เวลาคุณตกผลึกความคิดตัวเองดีๆสักคืนก่อน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาหาคุณอีกครั้ง”
ซูจิ่วลุกขึ้นยืน ก่อนจะส่งยิ้มให้และเตรียมตัวจะจากไป
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเธอสงบเงียบ
“ไม่ต้อง ช่วยฉันจองตั๋วตอนนี้เลย”
ซูจิ่ว: “……….”
ค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็เป็นไปตามที่คาด ซูจิ่วพยักหน้าให้ “โอเค ฉันจะส่งข่าวให้ประธานหาน นอกจากนี้คุณหนูมู่จื่อ……เธอรักคุณชายเย่มากจริงๆนั่นแหละ”