เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 829
บทที่829 ห้ามลากคนของฉันออกมาตามใจชอบแบบนี้
พอเห็นว่าเย่โม่เซินยกมือขึ้นมาขวางเขาไว้ สีหน้ายิ้มแย้มของเฉียวจื้อก็เหยเกลงทันที แต่ด้วยความที่เป็นผู้ชาย เขาจึงได้แต่ยิ้มแหย
“ยู่ฉือ ฉันแค่จะไปดูว่าทำไมพนักงานร้านนี้ถึงทำงานชักช้าเท่านั้นเอง นายจะขวางฉันไว้ทำไม”
สายตาที่เย่โม่เซินมองมาที่เขา เหมือนจะทำให้เขากลายเป็นน้ำแข็ง
เขาเม้มปากไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ยืนหงอยไม่กล้าพูดอะไรอีก
เฉียวจื้อถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะรีบเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม
“ก็ได้ ก็ได้ ฉันไม่ไปแล้วก็ได้ งั้นก็รอพนักงานยกเข้ามาเอง”
พอพูดจบ เขาก็ถือโอกาสตอนที่เย่โม่เซินยังไม่เดินเข้ามาส่งสายตาให้หานมู่จื่อ
หานมู่จื่อที่วางมือยู่ใต้โต๊ะ คนอื่นมองไม่เห็น แต่เธอรู้ตัวดี ว่ามือของเธอใกล้จะแข็งตัวแล้ว
เพราะเธอกับเฉียวจื้อกำลังพูดถึงช่วงสำคัญ ที่เธอไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้
แต่เย่โม่เซินปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันเกินไป พร้อมกับพูดแทรกขึ้นมา
เธอไม่รู้ ว่าเขาเพิ่งมาถึง… หรือว่ามาถึงนานแล้ว และได้ยินเรื่องที่เธอกับเฉียวจื้อคุยกันหรือเปล่า
ดังนั้นตอนนี้เธอไม่กล้าทำอะไร ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม แล้วมองไปทางเย่โม่เซินเงียบๆ
เย่โม่เซินเดินเข้ามาอย่างมั่นคง แต่ทุกก้าวเดินของเขา เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนใจของเธอ
ตอนที่เย่โม่เซินเดินมาถึงตรงหน้าเธอ หานมู่จื่อก็รู้สึกว่าเหงื่อของเธอไหลออกมาเต็มหลัง เธอกำลังลังเลว่าจะเงยหน้าขึ้นมองเขาดีไหม
พอสบตาเข้ากับแววตาลุ่มลึกของเย่โม่เซิน
ดวงตาสีนิลของเขา ในเวลานี้กลับดูนิ่งขรึมมาก ถึงแม้เธออยากจะคาดเดาอารมณ์ของเขาผ่านแววตา แล้วคิดจะพูดอะไรทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ แต่พอจะขยับปากพูด กลับพูดอะไรไม่ออกเลย
วินาทีต่อมา เย่โม่เซินก็ก้มหน้าลงมา แล้วจับมือของเธอมากุมไว้ ก่อนจะพูดเสียงเย็นชา “จะจับใครไปขังไว้ หืม”
เขาขยับเข้าใกล้ กลิ่นอายของชายหนุ่มครอบคลุมเธอไว้
หานมู่จื่อสูดหายใจลึก
แต่พอเฉียวจื้อได้ยินเขาพูดแบบนี้ จึงเริ่มคิดหาข้ออ้างอื่นออกมา ก่อนจะพูดลองเชิง “นอกจากนายแล้ว จะจับใครขังอีกล่ะ เมื่อคืนคุณปู่ยู่ฉือโทรมาหาฉัน ฉันรู้สึกกังวล ก็เลยนัดผู้ช่วยของนายออกมาคุยกัน พอพูดถึงเรื่องแต่งงานของนาย ฉันก็เลยออกความเห็นว่าถ้าไม่มีหนทางแก้ไขจริงๆ ก็จับนายไปขังไว้เลย นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เขาสร้างเรื่องขึ้นมากะทันหัน และกำลังพนันกับตัวเองจากคำพูดที่เย่โม่เซินพูด ถ้าหากเขาได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันจริงๆ เย่โม่เซินจะต้องพูดออกมาแน่ๆ ถ้าหากเขาไม่พูดออกมา ก็หมายความว่าเขาไม่ได้ยิน
ถึงตอนนั้นเขากับพี่สะใภ้ก็แค่ร่วมมือกัน ก็สามารถกลบเกลื่อนเรื่องนี้ไปได้แล้ว
และเป็นไปตามที่คาด เย่โม่เซินขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเริ่มไม่พอใจ
“เขาบอกเรื่องเมื่อคืนให้คุณฟังเหรอ”
คำพูดนี้เขากำลังถามหานมู่จื่ออยู่
หานมู่จื่อชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ
เธอกระพริบตาให้เฉียวจื้อที่ยืนอยู่ข้างหลังเย่โม่เซิน เฉียวจื้อส่งสายตากลับไปให้เธอ แล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค หานมู่จื่อถึงได้รู้สึกโล่งอก
ฟังจากน้ำเสียงของเย่โม่เซิน เขาคงจะไม่ได้ยินเรื่องที่พวกเธอคุณกันก่อนหน้านี้
ไม่อย่างนั้น สิ่งที่เขาจะถามออกมา… จะไม่ใช่คำถามนี้
หานมู่จื่อกระแอมเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเย่โม่เซิน “อืม ฉันรู้เรื่องหมดแล้วค่ะ”
เย่โม่เซินหรี่ตาลง แล้วบีบมือของเธอเบาๆ
หานมู่จื่อนิ่งอึ้ง ส่วนเฉียวจื้อที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ก็พูดหยอกล้อออกมา “ยู่ฉือ นายจับมือผู้ช่วยของนายทำไมกัน หรือว่าพวกนายคบกันแล้ว งั้นฉันควรจะเปลี่ยนมาเรียกคุณผู้ช่วยว่าพี่สะใภ้แล้วใช่ไหม”
พี่สะใภ้อย่างนั้นเหรอ
เย่โม่เซินตกใจกับคำเรียกนี้ไม่น้อย เขารู้สึกว่าเฉียวจื้อเรียกเธอแบบนี้ ก็น่าฟังไม่น้อย
เขาใช้แรงดึง จนหานมู่จื่อลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ แล้วล้มเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ก่อนจะถลึงตามองเฉียวจื้ออย่างไม่พอใจ
“ครั้งหน้าถ้าไม่ได้รับการอนุมัติจากฉัน ห้ามลากคนของฉันออกมาตามใจชอบแบบนี้อีก”
เฉียวจื้อ “…”
เดี๋ยวนะ นี่ขนาดเพิ่งจะคบกันนะ คนของฉันพูดได้ลื่นไหลมาก แล้วยังดึงอีกฝ่ายมากอดไว้อีก
ภาพตรงหน้า ทำให้เฉียวจื้อรู้สึกอิจฉามาก
แต่พอนึกถึงเรื่องที่หานมู่จื่อบอกกับตนเอง เฉียวจื้อก็รู้สึกปวดใจแทนหานมู่จื่อ ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นคนรักของตัวเอง และยังถึงขั้นจะแต่งงานกันแล้ว แต่กลับพูดความจริงออกมาไม่ได้
เฉียวจื้อพบว่าตนเองยิ่งรู้สึกเห็นใจพี่สะใภ้คนนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ตนเองเจ็บปวดใจแต่ก็ยังคิดแทนคนอื่นอีก ไม่เหมือนกับตวนมู่เสว่ ที่คิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง ไม่ได้ชอบคนอื่น แต่กลับมีความสุขที่ได้แย่งชิงมา ต่อหน้าทำเป็นยิ้มแย้ม แต่ลับหลังกลับไม่เคยให้เกียรติอีกฝ่ายเลย
ความแตกต่างระหว่างคนสองคน ทำไมมันถึงได้ห่างไกลกันมากขนาดนี้
เฉียวจื้ออุทานในใจ
“เอาล่ะเอาล่ะ รู้แล้วว่าเธอเป็นคนของนาย จากนี้ไป ถ้าฉันไปหาพี่สะใภ้ จะขอนายก่อนล่วงหน้าพอใจหรือยัง จริงๆเลยนะ ฉันไม่ได้จะทำอะไรพี่สะใภ้สักหน่อย แค่คุยกันธรรมดาเอง”
เย่โม่เซินยังคงทำสีหน้าเย็นชา “แค่คุยกันก็ไม่ได้”
จะพูดยังไงเฉียวจื้อก็เป็นผู้ชาย ถึงแม้เฉียวจื้อจะไม่มีความคิดแบบนั้น แต่ให้เธอกับผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะมาเจอกันโดยไม่บอกเขาด้วยแล้ว เย่โม่เซินรู้สึกไม่ชอบใจ เดิมทีเขาคิดว่าพอเลิกงาน จะโทรเรียกเธอมาที่ห้องทำงานของเขา
แต่พอโทรไปกลับไม่มีคนรับสาย พอถามดูถึงได้รู้ว่าเฉียวจื้อมาพาตัวเธอไป เขาอุตสาหกรรมตามมา กลับได้ยินเฉียวจื้อพูดอะไรกับเธอสักอย่าง
พอนึกถึงคำพูดของเฉียวจื้อก่อนหน้านี้ เย่โม่เซินก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างไม่ชอบใจ “อย่าสอนอะไรไม่ดีกับเธออีก”
เฉียวจื้อ”???? ”
เดี๋ยวนะ เขาสอนอะไรไม่ดีเธอตรงไหนกัน
“ยู่ฉือ ฉันเพิ่งรู้วันนี้เองนะว่าหัวใจนายมันลำเอียงขนาดไหน”
พนักงานยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ พอเห็นว่ามีคนเข้ามาเพิ่มก็ชะงักไปเล็กน้อย
หานมู่จื่อกระแอมออกมา แล้วพูดกับพนักงานที่ยืนอ้าปากค้าง “รบกวนช่วยเอาถ้วยกับตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด ได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวดิฉันจะรีบไปหยิบให้นะคะ”
หานมู่จือปัดมือของเย่โม่เซินออก แล้วคิดจะลุกขึ้นมาจากตักของเขา แต่มือของเขาเหมือนคีมเหล็ก ไม่ว่าเธอจะแกะยังไงก็แกะไม่ออก เพราะมีเฉียวจื้ออยู่ในห้องด้วย ทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น เธอก็อายเหมือนกัน
ไม่ว่าจะแกะยังไงก็แกะไม่หลุด หานมู่จื่อจึงกระซิบบอกเขาเบาๆ “คุณปล่อยฉันก่อนค่ะ”
เย่โม่เซินมองหน้าเธอ “หืม”
หานมู่จื่อ “ฉันบอกว่า พวกเรากินข้าวกันก่อน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันหลังกินข้าวเสร็จนะคะ”
เย่โม่เซินไม่ตอบ แต่สักพักเขาก็ปล่อยมือลง หานมู่จื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก
วันนี้เธอตกใจอยู่ตลอดเลย ไม่รู้ว่าลูกในท้องคลอดออกมาแล้วจะกลายเป็นเด็กขี้กลัวหรือเปล่า