เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 882
บทที่882 กลับมาก็ดีแล้ว
ประโยคนี้ทำให้ตวนมู่เสว่อึ้งไป
แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนพูดประโยคนี้กับเธอ ให้เธอไปตายงั้นเหรอ??
ดวงตากลมโตราวกับระฆังทองแดงของตวนมู่เสว่ มองหน้าส้งอานด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
“เธอ เธอพูดอะไร……”เธอถามด้วยริมฝีปากที่สั่น
ส้งอานเหล่มองเธอด้วยหางตา พร้อมกับยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยอย่างขบขัน “ทำไม ประโยคง่ายๆ เธอก็ฟังไม่ออกเหรอ? ฉันคิดดูแล้ว เธอก็ไม่ได้ดูเหมือนคนพวกสมองหมาปัญญาควายนะ ทำไมแม้แต่ประโยคของฉันยังฟังไม่เข้าใจอีกล่ะ? ยังไงซะ……แม้แต่วิธีเลวๆ เธอยังทำได้เลยนี่~”
พอได้ยินประโยคสุดท้าย ลมหายใจของตวนมู่เสว่ก็ถี่ขึ้นทันที เธอหดไหล่โดยที่ไม่รู้ตัว มือกำผ้าห่มแน่น ก้มหน้าลงไม่กล้ามองตาของส้งอาน
ประโยคของส้งอานเมื่อกี้นี้ แสดงให้เห็นว่าเธอรู้เรื่องที่เธอทำลงไปแล้ว
แต่ว่า เธอรู้ได้ยังไงกัน แล้วเธอคือใคร?
ส้งอานเอามือกอดอก แล้วก็พูดอย่างอารมณ์ไม่ดี “ทำไมกัน? ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยนะ เธอจะถอยหลังเพื่ออะไร? ทำเหมือนกับว่าฉันรังแกเธอยังงั้นแหละ? ช่างเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารเก่งเหมือนกันนิ”
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็หยุด หลังจากนั้นก็หันกลับไปมองยู่ฉือเซิน “ไม่น่าแปลกใจ ตาเฒ่าของตระกูลยู่ฉือถึงได้โดนเธอกล่อมจนหัวหมุนไปหมด”
ยู่ฉือจินตื่นเต้นมาก มองดูส้งอานที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนเดิม ตอนที่พูดอยู่นั้นเสียงดูมีพลังมาก ถึงได้ว่าสิ่งที่เธอพูดมันจะไม่น่าฟังเอาอย่างมาก แต่ว่า……นี่คือลูกสาวตัวน้อยที่เขาไม่ได้เจอมาหลายปีมากแล้วนะ……
เพราะฉะนั้นยู่ฉือจินก็เลยไม่ได้ไปคิดสนใจว่าตอนนี้ตวนมู่เสว่จะรู้สึกอย่างไร ทั้งหัวใจและสายตาของเขาเต็มไปด้วยลูกสาวตัวน้อยของตัวเอง
พอได้ยินเธอเรียกชื่อของตัวเอง ยู่ฉือจินถึงได้ลูบจมูกของตัวเองอย่างแผ่วเบา อ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง
ใครจะไปรู้ว่าส้งอานจะชิงพูดออกมาอย่างแยบยลก่อน
“เธอชื่อตวนมู่เสว่ใช่ไหม? ไม่คิดเลยว่าผ่านไปหลายปีตระกูลตวนมู่ก็ยังคงไม่หยุด แต่ว่าเธอเป็นผู้หญิง ทำเรื่องแบบนี้รู้สึกอับอายขายขี้หน้าบ้างไหม? ”
พอรู้ว่าเย่โม่เซินโดนวางยา แล้วหานมู่จื่อก็จำเป็นต้องตามเขาไป แถมยังเกือบจะแท้งอีก อารมณ์โมโหร้ายของส้งอานก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
หลังจากนั้นเธอก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ปกติแล้วเธอจะสุภาพกับคนรุ่นหลังพวกนี้ ต่อให้ไม่ชอบก็จะไม่พูดคำพูดที่ทำให้เสียหน้าแบบนี้
คนรุ่นหลัง เต็มไปด้วยพลังแห่งความเยาว์วัย มันเป็นเรื่องปกติมากที่จะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม แค่เปลี่ยนแปลงก็ได้แล้ว
แต่ว่าเรื่องแบบนี้ที่ตวนมู่เสว่ได้ทำ มันได้เลยขีดจำกัดของเธอไปแล้ว และคนที่ได้รับบาดเจ็บก็คือลูกชายของพี่สาวเธอ
เรื่องนี้เธอไม่สามารถทนได้จริงๆ
เพราะฉะนั้นเธอก็เลยด่าตวนมู่เสว่ และไม่ได้มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว อีกฝ่ายกลัวอะไรเธอก็พูดแบบนั้น พูดจี้จุดที่เจ็บปวดของตวนมู่เสว่
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พอตวนมู่เสว่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดนั้น สีหน้าก็ดูตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที เธอส่ายหน้าและก็ถอยหลัง “เธอ เธอพูดอะไร? ฉันไม่เข้าใจ……อย่าเข้ามานะ ฉันไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไร”
ส้งอานมองเธอด้วยสายตา
เหอะ เริ่มเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารอีกแล้ว
ตวนมู่เสว่ไม่มีทางยอมรับ ต่อให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของตัวเองรู้เรื่อง แล้วมันยังไงกันล่ะ ขอแค่ปู่ยู่ฉือเชื่อเธอก็พอแล้ว ถึงยังไงเธอก็ไม่มีวันยอมรับหรอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นฝีมือของเธอ
แน่นอนว่าส้งอานรู้ว่าเธอมีแผนการอะไรในใจ ก็เหลือบมองไปที่ยู่ฉือจิน “ฉันว่านะตาเฒ่า คนรับใช้ด้านล่างสารภาพทุกอย่างให้ฟังหมดแล้ว ตอนนี้พอคนไปก็แกล้งโง่แล้วเหรอ? หรือคุณคิดว่าเด็กคนนี้ยังเด็กและสวย แค่ทำน้ำตาไหลสักหน่อย พูดอีกไม่กี่ประโยคคุณก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? ”
คำพูดนี้มัน……
ยู่ฉือจินขมวดคิ้วอัตโนมัติ สุดท้ายก็ดึงสติกลับมาได้
เขาพูดอย่างไม่มีทางเลี่ยง “อานอาน……”
อานอาน……
ชื่อเรียกที่สนิทสนมแบบนี้ทำให้รูม่านตาของส้งอานหดลงในทันที เธอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวและตวาดเสียงดัง “อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ! ”
เธอได้รับการกระตุ้นทางด้านอารมณ์ และก็พูดอย่างรุนแรง “คุณไม่เหมาะสมที่จะพูดแบบนั้น! ”
ตวนมู่เสว่ที่นั่งฟังบทสนทนาของทั้งสองคนนี้อยู่บนเตียง ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ในตระกูลยู่ฉือเธอก็พึ่งพายู่ฉือจินได้เพียงแค่คนเดียวแล้ว ดังนั้นเธอก็เลยยื่นมือออกไปดึงชายเสื้อของยู่ฉือจิน แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอว่า “คุณปู่ยู่ฉือคะ……”
ไม่รู้เหมือนกันว่าแรงที่เธอดึงมันไม่พอหรือว่าเสียงของเธอมันเบาเกินไป ยู่ฉือจินไม่สนใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ
เขาเอาแต่มองส้งอานอยู่แบบนั้น แม้แต่ตอนที่ส้งอานได้รับการกระตุ้นทางอารมณ์นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา
ส้งอานเห็นท่าทางของเขาแบบนี้ ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นในใจของเธอ แล้วเธอก็ถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับพูดว่า “คุณเป็นโรคสมองเสื่อมหรือยังไง? พูดเรื่องเก่าๆ ไม่ได้แล้วรึไง? ฉันขอเตือนเลยนะ ต่อไปห้ามเรียกฉันด้วยชื่อนั้นอีก! ”
ยู่ฉือจินดึงสติกลับมาแล้วก็ยิ้ม “ได้ อานอานพูดอะไรก็ได้ทั้งหมด กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
ส้งอาน:“……”
ตวนมู่เสว่เห็นว่ายู่ฉือจินดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้เห็นตัวเองอยู่ในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว เธอก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
ผู้หญิงคนนี้ดูมีอำนาจเหนือกว่า พอเข้ามาก็พ่นคำพูดใส่เธอทันที แถมยังบอกว่าเธอไร้ยางอายอีก เธออยากจะขอความช่วยเหลือจากยู่ฉือจิน แต่ว่ายู่ฉือจินไม่สนใจเธอเลย
เธอไม่ใช่เหรอที่……
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ยู่ฉือจินก็มองไปที่หยูโปที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู และพูดด้วยน้ำเสียงที่รีบร้อน “หยูโป เร็ว ให้คนไปเก็บกวาดห้องให้เธออยู่ที่นี่ หลังจากนั้น……”
หยูโปกำลังเตรียมจะพยักหน้า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงส้งอานตะคอกออกมา “ไม่ต้องหรอก”
เธอเหล่มองยู่ฉือจิน แล้วก็ดึงสายตากลับมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันไม่ได้จะมาอยู่ที่ของคุณหรอก และก็ไม่ได้กะจะอยู่ต่อด้วย วันนี้ฉันก็แค่อยากจะมาดูหน่อยว่าคุณสับสนเพราะคนนอกขนาดไหนกัน พูดจบฉันก็จะไปแล้ว”
ตวนมู่เสว่รู้สึกเสียวสันหลังทันที
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด สายตาของส้งอานก็มาหยุดอยู่ที่เธออีกครั้ง
“เข้าใจรึเปล่าว่าสิ่งที่ฉันพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง? ผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนจะโค่นล้มคนอื่นแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ เธอเคยได้ยินประโยคที่ว่าความอิจฉาทำให้คนอัปลักษณ์ไหม? ”
พอได้ยินดังนั้น ตวนมู่เสว่ก็ยื่นมือออกมาลูบใบหน้าของตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ตอนนี้ คำพูดนี้มันเหมือนจะเป็นจริงนะ เธอบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ไปได้”ส้งอานหัวเราะเยาะเธอ หลังจากนั้นก็เหมือนกับว่าจะขู่ “แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่ถึงกับว่าเสียโฉมหรอกนะ ถ้าเกิดว่าต่อไปเธอยังมีความคิดอะไรที่ไม่ดีอีก มันจะไม่เป็นแค่นี้แน่”
ตวนมู่เสว่รู้สึกหวาดกลัว เงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ ก็พบว่าสายตาของส้งอานดำขลับและชัดเจน เหมือนกับน้ำแข็งบนภูเขาหิมะ ทำให้เธอสั่นโดยที่ไม่รู้ตัว
เธอก้มหน้าลง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกกลัวมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่กล้าสบตาส้งอานอีกต่อไป
ส้งอานถอนสายตากลับอย่างพึงพอใจ หันไปถลึงตาใส่ยู่ฉือจิน แล้วก็พูดจารุนแรงต่อ
“ถ้าเกิดว่าเธอรู้สึกว่าไม่มีความหวังในการใช้ชีวิตอีกต่อไปแล้ว แล้วเธออยากจะไปตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้นะ แต่ว่าฉันขอรบกวนให้เธอไปหาสถานที่ให้ไกลๆ หน่อย อย่ามาทำให้พวกเราโชคร้ายไปด้วยอย่างเสียเปล่า”
“โอเค ฉันพูดจบแล้ว เวลานี้ฉันควรจะกลับไปกินข้าวได้แล้ว”
ส้งอานยกมือขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง ยิ้มมุมปาก หลังจากนั้นก็ก้าวยาวออกไปข้างนอก แต่จู่ๆ เธอก็คิดอะไรได้แต่ก็หยุดเดิน หันกลับมามองตวนมู่เสว่แล้วก็ค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “ใช่สิ ฉันลืมเตือนเธอไปเลย เรื่องที่เธอวางยาเย่โม่เซินนั้น ทุกคนรู้เรื่องหมดแล้วนะ แล้วอีกอย่าง ฉันก็ได้ส่งคนให้ไปแจ้งให้ครอบครัวของเธอรู้แล้วด้วย”