เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 890
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่890 อย่าลืมคำสัญญาของนาย
ตั้งแต่ตอนที่เฉียวจื้อรู้ว่าตวนมู่เสว่ถูกตวนมู่เจ๋อพาตัวกลับไปนั้น แถมตวนมู่อ้าวเทียนก็โมโหมาก ในใจก็แอบรู้สึกสดชื่น คิดว่าในที่สุดผู้หญิงปีศาจคนนั้นก็ได้รับการลงโทษของตัวเองแล้ว
หลังจากรู้สึกตื่นเต้นในใจ เฉียวจื้อก็กลับมารู้สึกหดหู่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะพูดยังไงเธอก็คือผู้หญิงที่เขาเคยชอบเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเธอเป็นแสงสว่างของเขาจริงๆ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนสายตาของเขาก็ต้องติดตามไปเสมอ หลังจากนั้น……ความจริงใจของฉันถูกโยนลงไปที่พื้นและบดขยี้
เฉียวจื้อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา ตอนนี้ใกล้จะเย็นแล้ว เขาเลื่อนดูรายการรายชื่อ ก็พบว่าตัวเองไม่มีแม้แต่คนให้ระบายความในใจด้วยเลย
เฉียวจื้อล้มลง รู้สึกว่าตัวเองก็ล้มเหลวเหมือนกัน
ผ่านมานานขนาดนี้ เขาไม่มีแม้แต่เพื่อนสนิทด้วยซ้ำ ไอ้เลวยู่ฉือนั่น ถ้าเกิดว่าโทรไปตอนนี้เขาก็คงพูดกับตัวเองแค่ว่าให้ไสหัวไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เขาเป็นเพื่อนที่สามารถเปิดอกพูดด้วยได้ แต่ไม่ใช่คนที่มีใจอยากจะพูด!
คิดไปคิดมา เฉียวจื้อก็คิดว่าไปดื่มคนเดียวดีกว่า สุดท้ายเขาก็ขับรถออกไปด้านนอกแล้วก็มองหาร้านขายอาหาร
ทันใดนั้นใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาของเฉียวจื้อ
เธอกำลังกินของกินอยู่ ซาบซึ้งจนพึมพำกับตัวเอง น้ำตาเอ่อล้นและพูดกับตัวเองว่า นายดีจังเลย!
ไม่งั้น เรียกเธอมากินอาหารมื้อใหญ่ด้วยดีไหม?
ยังไง ก็มีแค่เธอคนเดียวที่พอได้กินของกินแล้วก็พูดกับเขาว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ
หลังจากผ่านไป15นาที
หลัวลี่ถือกระเป๋าเข้ามาในร้านอาหาร หลังจากพูดกับพนักงานแล้ว ก็ถูกนำทางไปยังห้องส่วนตัว
พอเข้าไปในห้องส่วนตัว หลัวลี่ก็ได้กลิ่นที่หอมกรุ่น โต๊ะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะมีกลิ่นหอมเย้ายวน และเฉียวจื้อก็นั่งอยู่ท่ามกลางอาหารเหล่านี้
เฉียวจื้อในภาพนี้ มันช่างยั่วยวนกว่าหนุ่มหล่อขายาวซะอีก
หลัวลี่เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว วางกระเป๋าลง พร้อมกับเอ่ยปากถาม “ทำไมจู่ๆ ถึงนัดฉันออกมากินข้าวดึกขนาดนี้ด้วยล่ะ? ”
“มาแล้วเหรอ? ”เฉียวจื้อกวาดตามองเธอ แล้วก็อธิบายว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ดี ก็เลยนึกถึงเธอไม่ใช่เหรอ? ก็เลยจะเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่เธอเลยไง”
“แต่ว่า……เยอะขนาดนี้ พวกเราจะกินหมดเหรอ? ”
“ไม่รีบ ค่อยๆ กิน วันนี้กินไม่หมดก็ไม่เป็นไรหรอก”
ยังไงวันนี้เขาก็อยากหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนเขาอยู่แล้ว หลัวลี่เองก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
หลัวลี่มองดูท่าทางที่ใจดีของเขา แล้วก็เผลอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว “กินไม่หมดห่อกลับบ้านได้ไหม? ”
เฉียวจื้อ:“……ได้สิ”
หลัวลี่รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที “ขอบคุณนะ! ”
หลังจากนั้นเธอก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกิน เฉียวจื้อจ้องหน้าเธอ ตอนที่อาหารเข้าปากไปนั้น ใบหน้าเล็กๆ ขาวๆ ของเธอก็แสดงสีหน้าที่พึงพอใจอีกครั้ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นซาบซึ้ง สุดท้ายเธอก็มองหน้าเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“อาหารร้านนี้มันอร่อยเกินไปแล้วใช่ไหม? เฉียวจื้อ นายนี่เป็นคนดีจริงๆ! ”
มาอีกแล้ว เริ่มชมเขาอีกแล้ว พอได้กินของอร่อยหน่อย หลัวลี่ก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย
นึกถึงลุคที่ดูดุๆ ของเธอก่อนหน้านี้ เฉียวจื้อก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเธอ ดังนั้นก็เลยเอ่ยปากถาม “งั้นเหรอ? ดีแค่ไหน? ”
หลัวลี่ยัดอาหารเข้าปากพลางพึมพำว่า “ดีมาก ดีที่สุดในโลกเลย! ”
เฉียวจื้ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “งั้นเธอก็ชมฉันนะ? ถ้าเกิดว่าชมถูกใจต่อไปอีกเดือนหนึ่งฉันจะเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่เธอทุกวันเลย”
ก็แค่ชมคนเท่านั้นเอง มันไม่ได้ทำให้หลัวลี่รู้สึกยากอะไรเลย แต่ว่าเธอไม่ชอบการประจบประแจง ก็เลยเลียริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าข้อเสนอหนึ่งเดือนจะเป็นข้อเสนอที่ยั่วยวนมาก แต่ว่าฉันไม่สามารถชมนายโดยขัดกับจิตสำนึกของตัวเองได้หรอก”
พอได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวจื้อก็ค้างทื่อทันที น่าจะเพราะว่าคิดไม่ถึงว่าหลัวลี่จะพูดแบบนี้ เขาหรี่ตาลงและพูดว่า “เธอจริงจังเหรอ? หรือว่าฉันไม่มีข้อดีเลยเหรอ? ”
สีหน้าของเขาหดหู่ลงในทันที ตอนนั้นหลัวลี่รู้สึกอึดอัด เธอพึมพำว่า “ที่จริง นายก็มีข้อดีนะ”
เฉียวจื้อเหมือนกับว่าจะหมดความหวังในตัวเองไปแล้ว เขายิ้มอย่างขมขื่นและถามว่า “งั้นเหรอ? ”
ก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกว่าที่ตวนมู่เสว่ไม่ชอบเขาเพราะว่าตาไม่ถึง แต่ว่าตอนนี้คำพูดของหลัวลี่ทำให้เขาได้สติขึ้นมา บางที……เขาฉียวจื้อาจจะไร้ค่าจริงๆ ก็ได้?
หลัวลี่พยักหน้า “แน่นอน ทุกคนก็ต่างมีข้อดีข้อเสีย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะได้ยินข่าวเรื่องของนายจากคนอื่น แต่ว่าพอได้มาเจอกันหลายครั้งฉันก็รู้สึกว่านายก็มีข้อดีนะ”
“ถ้ายังงั้นเธอลองพูดมาสิ ฉันมีข้อดีอะไร? ”
“จริงใจไง ฉันคิดว่านายปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ นายรู้ไหมว่ามู่จื่อเข้าถึงยากแค่ไหน? เพราะว่าฉันกับเธอต่างเป็นคนจีน ฉันก็เลยอยากจะใกล้ชิดเธอสักหน่อย แต่ว่าเธอระมัดระวังตัวมาก ฉันก็เลยเข้าหาเธอด้วยความจริงใจ เพราะฉะนั้นที่เธอยอมรับนายเป็นเพื่อน ก็แสดงว่านายก็เป็นคนที่มีความจริงใจมากเหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุด……”
พอพูดถึงตรงนี้ หลัวลี่ก็หยุด เหมือนกับว่ากำลังลังเล ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา “นายเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่น”
เห็นอกเห็นใจคนอื่นงั้นเหรอ?
หลัวลี่ก้มหน้าลง ไม่ได้ยัดอาหารเข้าใส่ปากอีกต่อไป อารมณ์ของเธอตกลงอย่างเห็นได้ชัด “ฉันรู้ ว่าที่นายบอกว่าจะเลี้ยงฉันกินอาหารมื้อใหญ่ ที่จริงแล้วก็เพราะว่าสงสารฉัน บอกว่าจะเลี้ยงฉันก่อน แล้วพอฉันมีเงินค่อยเลี้ยงนายกลับ มันก็เป็นแค่การปลอบใจฉันเท่านั้นเอง”
เฉียวจื้ออึ้งไป ไม่คิดว่าเธอจะรู้ตัว
ตอนเริ่มแรกเขาก็เลี้ยงข้าวเพราะอยากจะขอโทษธรรมดาๆ แต่ว่าหลังจากนั้นพอเห็นว่าเธอได้กินของอร่อยแล้วร้องไห้ เขาก็รู้สึกสงสาร ดังนั้นก็เลยรับปากว่าจะไปเธอมาเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่บ่อยๆ
ไม่คิดเลยว่าเธอจะรู้ตัว
“ขอบคุณนะ” หลัวลี่เงยหน้าขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองเขาด้วยสายตาที่จริงจัง “ก่อนหน้านี้ฉันมองนายด้วยอคติมาโดยตลอด ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่ควรจะไปฟังคำพูดของคนอื่น ไม่ว่าคนอื่นจะพูดถึงนายว่าอะไร พวกเธอก็เห็นแค่บางส่วนของนายเท่านั้น ไม่ได้เห็นทั้งหมด ดังนั้น……ไม่สามารถใช้การกระทำของผู้คนเพียงอย่างเดียวมาตัดสินได้ว่านิสัยของคนคนนั้นเป็นยังไง”
เฉียวจื้อ:“……”
เขาอึ้งอยู่นานกว่าจะดึงสติกลับมา นี่เขาโดนสาวน้อยคนนี้ปลอบใจซะได้
เชอะ มันทำให้เขารู้สึกตื้นตันแปลกๆ เฉียวจื้อเห็นว่าเธอมองเขาอย่างจริงจังด้วยดวงตาที่กลมโต มีน้ำตาเม็ดคริสทัลอยู่บนขนตาของเธอ มันเป็นประกายแวววาว และเธอก็ดูน่ารักสดใสทำให้คนประทับใจได้มากขึ้น
เฉียวจื้ออึ้งไป
ตอนที่เขาดึงสติกลับมานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ตัวเองอย่างแรงในใจ สาวน้อยอย่างหลัวลี่ไม่ใช่สเปคของเขาแน่นอน เขาชอบผู้หญิงที่สดใสและสวยงามอย่างตวนมู่เสว่ แต่ว่า……เมื่อกี้เขากลับรู้สึกว่าหลัวลี่สวยมากยังงั้นเหรอ?
พอคิดแบบนี้ เฉียวจื้อก็แตะจมูกตัวเอง นรกจริงๆ!
“พอแล้ว ไม่ต้องมามั่วพูดคุยไร้สาระอะไรกันแล้ว ต่อให้เธอไม่พูดอะไรที่น่าฟัง ฉันก็จะเลี้ยงข้าวเธออยู่ดี รีบกินเถอะเธอ”
พอได้ยินดังนั้น หลัวลี่ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “จริงเหรอ? แล้วทำไมนายไม่รีบพูด? ”
เฉียวจื้อ:“?”
หลัวลี่: “ถ้าเกิดว่านายพูดแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่ต้องคิดคำชมนายมากมายขนาดนี้แล้ว”
พอพูดจบ หลัวลี่ก็ส่ายหน้าอย่างจำใจ แล้วก็กินข้าวต่อ และเธอก็เงยหน้าขึ้นมาพูดอีกครั้ง “อย่าลืมที่นายสัญญาไว้ด้วยล่ะ”
เฉียวจื้อ:“……”
ถ้าจู่ๆ เกิดอยากจะเรียกคำพูดที่พูดออกไปเมื่อกี้กลับทำไงได้บ้าง? ต่อให้ไม่ได้ชมเขาจากใจจริงก็เถอะ แต่ว่าพูดไปแล้วก็คือพูดไปแล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้เขาดื่มด่ำกับมันสักหน่อยล่ะ?
เฉียวจื้อรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองได้รับบาดแผลอย่างรุนแรง
ร้ายแรงกว่าอกหักอีก!
แต่ว่า ความเศร้าก่อนหน้านี้เหมือนกันจะหายไปในทันที