เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่ / เจ้าสาวมือสองของคุณชายพิก… - ตอนที่ 934
บทที่934ท่าที
เดิมทียู่ฉือจินไม่คิดจะบอก ใครจะไปรู้ว่าหยูโปแค่คำพูดเดียวก็พูดความคิดของเขาออกมาแล้ว ทันใดนั้นยู่ฉือจินก็รู้สึกตัวเองเสียหน้า เขาตำหนิด้วยเสียงเคร่งขรึม
“หยูโป!”
หยูโปไม่กลัวเขาเลยสักนิด พูดด้วยรอยยิ้มต่อ: “นายท่านหน้าไม่ด้านพอ ดังนั้นผมจึงมาพูดแทนนายท่านครับ”
“หยูโป นี่แกพูดเหลวไหลอะไร?” ยู่ฉือจินโมโหจนหน้าแดงก่ำ เขาอธิบายอย่างทั้งโกรธทั้งใจร้อน: “ แกเรียกฉันมาแท้ๆ แล้วตอนนี้แกกลับมาพูดแบบนี้? ”
“ใช่ครับๆ” หยูโปพยักหน้า “ผมเป็นคนเรียกนายท่านมาเองครับ”
หลังจากยู่ฉือจินตื่นนอน ก็เหม่อลอยอยู่ตลอด แถมยังถามซ้ำๆว่าเรื่องของเมื่อคืนเป็นความจริงหรือเปล่า? ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่เหมือนความจริงเลย?
หยูโปสามารถเข้าใจอารมณ์ที่จู่ๆตัวเองมีเหลนโผล่มาคนหนึ่งอยู่ อีกอย่างสำหรับยู่ฉือจินแล้ว เขาโดดเดี่ยวเดียวดายมานาน จู่ๆมีคนในครอบครัว อีกทั้งยังมีเหลนด้วย ความรู้สึกที่ทั้งตะลึงและดีใจไม่ใช่คนธรรมดาที่จะเข้าใจได้
หยูโปบอกกับเขาหลายครั้งแล้วว่าเป็นความจริง แต่ยู่ฉือจินก็ยังมีสีหน้าไม่เชื่อ จากนั้นหยูโปก็เลยเสนอว่า ให้นายท่านมาดูด้วยตนเองก็พอแล้ว
ตอนนั้นยู่ฉือจินยังรู้สึกว่าคำแนะนำนี้ดีอยู่เลย จึงได้รับปาก
คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งถึงที่นี่ หยูโปก็หักหลังเขาซะแล้ว เขาจะยอมรับได้ยังไงว่าตัวเองเป็นคนอยากมาเอง? แบบนี้ไม่เท่ากับว่าให้หานมู่จื่อหัวเราะเยาะเอาหรอ?
เพราะอย่างไรซะเรื่องที่ทำไปในก่อนหน้านั้น ตอนนี้มายอมรับอีก ก็รู้สึกว่าตบหน้าตัวเองชัดๆ
หานมู่จื่อไม่ถือสาท่าทีของยู่ฉือจินเลย สำหรับเธอในตอนนี้ ที่จริงท่าทีแบบนี้ของยู่ฉือจินก็ถือว่าดีแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก ให้หยูโปเอาเช็คใส่ซองจดหมายและเกลี้ยกล่อมให้เธอจากไป
ตอนนี้แค่ปากบอกว่าไม่อยากยอมรับเธอเฉยๆ แต่สีหน้าอารมณ์และความคาดหวังที่อยากจะเจอหน้าเสี่ยวหมี่โต้ว หานมู่จื่อล้วนแต่รู้สึกได้ทั้งนั้น
คิดถึงตรงนี้แล้ว หานมู่จื่ออารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย เธอยิ้มอ่อนๆและอธิบาย: “งั้นพวกคุณมาไม่ได้จังหวะเลยค่ะ เสี่ยวหมี่โต้วกับโม่เซินออกไปแล้ว ไม่อยู่บ้านค่ะ”
ได้ยินคำนี้ปุ๊บ ยู่ฉือจินหน้าดำหน้าเขียวเลย
เขามาหาเสี่ยวหมี่โต้ว ใครจะไปรู้ว่าเสี่ยวหมี่โต้วไม่อยู่ พริบตาเดียวยู่ฉือจินก็รู้สึกผิดหวังมาก
หยูโปถาม: “แล้วพวกเขาออกไปทำอะไรครับ?”
หานมู่จื่อตื่นนอนก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาออกไปทำอะไร ดังนั้นหลังจากหยูโปถามคำถามนี้ออกมา หานมู่จื่อจึงได้หันไปมองเสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างกาย
ยู่ฉือจินและหยูโปได้มองไปตามสายตาของหานมู่จื่อ ทั้งสามได้จ้องที่ใบหน้าของเสี่ยวเหยียน
ทันใดนั้นเสี่ยวเหยียนมีความรู้สึกถูกตั้งความหวังไว้สูง แถมยังรู้สึกตื่นเต้นด้วย เธอหายใจลึกๆทีหนึ่งแล้วพูด: “คุณชายเย่จะออกไป ฉันก็ไม่กล้าถามเขาว่าออกไปทำไมนี่คะ? อีกอย่างฐานะของฉันไปถามก็คงจะไม่เหมาะ”
พอพูดจบ มุมปากของเสี่ยวเหยียนก็ได้ยกขึ้นด้วย
แววตาของยู่ฉือจินกับหยูโปมีความผิดหวังแว๊บผ่าน วินาทีต่อมายู่ฉือจินก็พูดอย่างเย็นชา: “ในเมื่อเหลนของฉันไม่อยู่ งั้นก็กลับ!”
พอพูดจบ เขาก็หันหลังจากไป หยูโปก็ได้แต่ยิ้มให้หานมู่จื่อด้วยความรู้สึกผิด: “ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณนายน้อย ผมกับนายท่านขอตัวก่อนครับ”
หานมู่จื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม: “โอเคค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
ยู่ฉือจินที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินคำนี้ก็หยุดฝีเท้าไว้ จากนั้นก็หันกลับมามองหานมู่จื่อ แววตาขุ่นมัวมีความโกรธแว๊บผ่าน
หานมู่จื่อย่อมรู้สึกได้ถึงแววตานี้อยู่แล้ว เธอมองไปด้วยแววตาที่สงสัย และใช้แววตาถาม เมื่อกี๊เธอพูดผิดเหรอ?
แต่เสียดายยู่ฉือจินไม่ได้ให้คำตอบเธอ เขาหันหลังจากไปด้วยความโกรธ
ไม่นาน ประตูก็ถูกกระแทกอย่างเสียงดัง
หานมู่จื่อหันไปมองเสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้างกาย เธอกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง: “ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าประตูบานนี้ถูกกระแทกด้วยความโมโห?”
“ไม่ใช่แค่เธอรู้สึกคนเดียวนะ เมื่อกี๊แค่แววตาที่จ้องเธอก็น่ากลัวมากแล้ว” พูดถึงตรงนี้ เสี่ยวเหยียนยังอดไม่ได้ที่จะหดคอ พร้อมพูดด้วยสีหน้าหวาดกลัว: “คงไม่ใช่เพราะเสี่ยวหมี่โต้วไม่อยู่บ้าน คุณตาของคุณชายเย่จึงมาพาลใส่เธอมั้ง?”
“น่าจะไม่หรอก”
แต่ว่า ตะแก่คนนี้เย่อหยิ่งจริงๆ หานมู่จื่อก็ไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อย เขาจะไปตัวเองก็ไม่กล้าเปิดปากรั้งเอาไว้ กลัวว่าตอนที่พูดจาไม่ทันระวังไปแตะต้องโดนแผลในใจของคุณตาคนนี้ ถึงเวลาจะได้ไม่คุ้มเสีย
นอกห้อง ยู่ฉือจินเดินเข้าลิฟต์พร้อมกับอารมณ์ที่โมโหจะแย่ แต่หยูโปกลับไม่พูดจาเลย
สักพัก ในที่สุดยู่ฉือจินก็อดไม่ได้ที่จะเรียกหยูโป
หยูโปเหมือนกับว่าถึงดึงสติกลับมา เขาเงยหน้าขึ้น: “มีอะไรครับ นายท่าน?”
คำพูดนี้ทำเอายู่ฉือจินโมโหสุดขีด “นี่แกไม่ใส่ใจเลยเหรอ? ยังดียัยเด็กนั่นยังเรียกฉันคุณตาคำหนึ่ง คำพูดสวยหรูสักคำก็พูดไม่เป็น!”
“อ๋อ เรื่องนี้เหรอครับ?” หยูโปสีหน้าตระหนักได้ทันที “อยู่ตรงหน้าของคุณนายน้อย นายท่านแสดงอารมณ์ที่แปรปรวนขนาดนั้นออกมา ถ้าผมเป็นคุณนายน้อย ผมก็ไม่กล้าพูดจาเรื่อยเปื่อยหรอกครับ”
ยู่ฉือจิน “……..”
หยูโป “แล้วนายท่านคิดว่ายังไงล่ะครับ?”
ยู่ฉือจินหรี่ตา ถามอย่างไม่พอใจ: “ความหมายของแกคือ ให้ฉันดีกับเด็กสาวคนนั้นหน่อย?”
หยูโปจับจมูก พูดด้วยรอยยิ้ม: “ผมว่าดีครับ”
พอได้ยินคำนี้ ยู่ฉือจินยักคิ้ว มีอาการของการโมโห หยูโปเร่งน้ำเสียง: “ไม่พูดถึงตอนนี้คุณนายน้อยได้คลอดเหลนออกมาคนหนึ่ง ตอนนี้เธอยังตั้งครรภ์ได้หลายเดือนแล้ว นายท่านคงไม่ใช่ยังไม่ยอมให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีกมั้งครับ?”
ยู่ฉือจิน “………”
คำพูดนี้ ได้ทำเอายู่ฉือจินถึงกับพูดไม่ออกเลย
หยูโปเพิ่มเชื้อไฟ: “ในเมื่อคัดค้านไม่ได้ งั้นต่อไปนายท่านกับคุณนายน้อยก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว คนบ้านเดียวกันถ้าความสัมพันธ์ไม่ดีก็จะกระทบอารมณ์ของคนอื่นมาก สามัคคีปรองดองกัน ต่อไปลูกสองคนของคุณนายน้อยกับคุณชายเย่ก็จะกตัญญูนายท่านด้วยกัน ลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าเทศกาลไหนๆก็มีคนอยู่เคียงข้าง”
ต้องยอมรับ หยูโปมีความสามารถในการพูดมาก คำพูดเหล่านี้ได้แทรกซึมเข้าไปในใจของเขา
แววตาที่เขามองหยูโปเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา แต่สีหน้ากลับยังเหมือนเมื่อกี๊ ก็ไม่รู้ว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของหยูโปหรือเปล่า
หยูโปสำรวจยู่ฉือจินอย่างละเอียดทีหนึ่ง เขากัดฟันแล้วเพิ่มเชื้อไฟอีก
“อีกอย่างผมฟังคุณหนูอานอานพูด ครรภ์นี้ของคุณนายน้อยมีแนวโน้มจะแท้ง คิดๆแล้วครั้งก่อนคนของเรามัดตัวคุณนายน้อยไว้ ระหว่างนั้นก็ถูกคุณหนูตวนมู่ทำพัง เกือบจะตกลงไปจากบันได”
พูดถึงตรงนี้ ยู่ฉืนจินมีสีหน้าแววตาที่อกสั่นขวัญแขวนโผล่ขึ้นมา
หยูโปคิดอยู่ในใจว่าสำเร็จแล้ว เขาพูดต่ออีก: “ผมได้ยินคนบอกว่า คนตั้งครรภ์ต้องรักษาจิตใจให้สงบ ลูกในครรภ์ถึงจะมีพัฒนาการที่ดี เดิมทีคุณนายน้อยก็มีแนวโน้มจะแท้งอยู่แล้ว ถ้าท่าทีที่นายท่านมีต่อเธอไม่ดี เธอไปหลบซ่อนคนเดียวอย่างหดหู่ใจ งั้นไม่เท่ากับว่ามีผลเสียต่อลูกในท้องหรอครับ?”
คำพูดที่มีมโนธรรมพูดจบ ยู่ฉือจินอดไม่ได้ที่จะแบะปาก: “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันรู้แล้ว”
แต่ว่า ให้เขาดีกับสาวน้อยคนนั้นหน่อย?
นี่ไม่ใช่จะตบหน้าแก่ๆของเขาให้ดังเพี๊ยะๆเลยหรอ?