เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 122 ก่อนไปกราบไหว้
“มี่เอ๋อร์ วันมะรืนนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี เจ้าเตรียมตัวไว้หน่อย เราจะไปกราบไหว้ที่ศาลบรรพชนกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่แสร้งทำเป็นไม่สนใจซึ่งอิงแอบอยู่ข้างกายเขา วันมะรืนนี้เป็นวันที่หกสิบห้าหลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันพอดี ซั่งกวนจิ่นได้เตรียมการเรียบร้อยแล้ว รอให้เขาตัดสินใจขั้นสุดท้าย
“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ซั่งกวนเจวี๋ยจัดการเช่นนี้ซึ่งนางได้เตรียมใจอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย นางหวังว่าจะได้กลายเป็นภรรยาเอกคนที่สองในตระกูลซั่งกวนที่ไปกราบไหว้หลังจากแต่งเข้ามาเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน นางซุกใบหน้าไว้ในอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ย ค่อนข้างรู้สึกลังเลใจ อยากจะบอกความจริงว่าตัวนางเองก็คือคุณหนูสุราที่ชอบหัวเราะและก่นด่าไปตามประสาผู้นั้นดีหรือไม่? ถ้าเจวี๋ยรู้เรื่องนี้ จะมีสีหน้าแบบไหนนะ? จะเลือกวันไปสักการะบูชาใหม่หรือไม่?
“ศาลบรรพชนอยู่บนเขาอวี้ฉิงในเขตชานเมืองทางตอนใต้ของลี่โจว ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตระกูลซั่งกวน ตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นแรก บุตรชายคนโตของตระกูลซั่งกวนก็นอนหลับอย่างสงบอยู่ที่นั่น สิ่งที่อยู่พร้อมกับพวกเขาคือบ่าวไพร่และปัญญาชนที่เสียสละพลีชีพและภักดีต่อตระกูลซั่งกวน” ซั่งกวนเจวี๋ยอธิบายสั้นๆ ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังพลางกล่าวว่า “บรรดาผู้อาวุโสที่เคยอยู่กับรุ่นปู่ก็จะเลี้ยงดูจนแก่เฒ่าอยู่ที่นั่นด้วย”
“ผู้อาวุโส?” ดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกกว้างอย่างสงสัย นางรู้ว่าต้องมีกองกำลังที่ไม่รู้จักมากมายในตระกูลซั่งกวน แต่ไม่ได้คาดหวังว่าคนเหล่านั้นจะเฝ้าอยู่ใกล้ศาลบรรพชนจนแก่ชรา
“ใช่! เขาอวี้ฉิงเป็นสมบัติของตระกูลซั่งกวนในรัศมีร้อยลี้ ทั้งยังเป็นสถานที่ที่สมาชิกในครอบครัวซั่งกวนอาศัยอยู่มากที่สุด เกือบครึ่งหนึ่งของคนที่นั่นมีสายเลือดของตระกูลซั่งกวน นอกจากผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คนที่เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกับท่านปู่ในตอนนั้นแล้วก็ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่มีเกียรติและชื่อเสียงในฐานะญาติห่างๆ ของตระกูลซั่งกวน” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มแล้วเล่าต่อ “หลังจากข้าได้สามขวบ ก่อนอายุสิบห้า ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น ท่านปู่เถารักใคร่เอ็นดูข้ามากที่สุด ท่านเคยเป็นดาวมารร้ายนามกระเดื่องในยุทธภพ เขามักหวังจะเปลี่ยนข้าให้เป็นหลานเขยของเขา แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่มีหลานผู้หญิงเลยสักคน หากเขาเห็นเจ้าจะต้องชอบมากแน่”
“ดาวมารร้าย?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตากว้างแล้วถามว่า “เหตุใดถึงได้สมญาว่าดาวมารร้าย?”
“เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มีพรรคมารแห่งหนึ่งเกิดขึ้นในยุทธภพ ตระกูลซั่งกวนและตระกูลหวงฝู่ร่วมมือกันระดมทุกตระกูลใหญ่ นำสำนักใหญ่แต่ละแห่งของยุทธภพเข้ากวาดล้าง ในยามนั้นท่านปู่เถาใช้หนึ่งชีวิตต้านร้อยอริ สังหารทั่วทั้งจตุรทิศ ต่อมาจึงได้ฉายาว่าดาวมารร้าย ท่านพ่อและท่านลุงอีกหลายคนก็เข้าต่อสู้ในสงครามทำลายล้างครั้งนั้นของยุทธภพ จึงไม่มีใครกล้ายั่วยุตระกูลซั่งกวนมานานกว่าสองทศวรรษ ก็เป็นเพราะพลังอานุภาพของการสัประยุทธ์ครั้งนั้นด้วย” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินเรื่องเล่าเหล่านี้จากผู้เฒ่าท่านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ท่านพ่อและท่านลุงหลายคนไม่ชอบเอ่ยถึงเรื่องนี้ มันผ่านมานมนานแล้ว ก็ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้”
ยี่สิบกว่าปีก่อน? สำนักนั่น? เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ หรือว่าจะเป็นสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านป้าเล่าให้ฟัง ท่านประมุขก็คือบิดาของท่านป้า ส่วนชายผู้นั้นที่ท่านป้าหลงรักก็เป็นท่านประมุขน้อยที่เรียกกันนั่นเอง พวกเขาล้วนถูกฆ่าตายในการต่อสู้ประหัตประหารครั้งนั้น
“กลัวจนเสียขวัญเลยหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยกระชับแขนทั้งสองข้างแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเขาอยู่นอกยุทธภพมาหลายปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการเข่นฆ่าหรือทำให้ผู้คนหวาดกลัว พวกเขาล้างมือเลิกทำแล้ว และพวกเขาจะต้องชอบเจ้าแน่นอน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะชอบข้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองค้อนขวับซั่งกวนเจวี๋ยแวบหนึ่ง แต่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ‘ถ้าพวกเขารู้ว่าตนได้รับการสั่งสอนจาก ‘เศษอธรรม’ ของสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเกลียดตัวเองเข้ากระดูกดำก็เป็นได้ ไม่ได้การ! เรื่องนี้จะต้องไม่ถูกเปิดเผย และแม้แต่เรื่องที่ตนรู้วรยุทธ์ก็ต้องปกปิดให้ถึงที่สุดด้วย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งใจแน่วแน่จะเก็บเรื่องนี้ให้มิดชิด จะไม่ให้ซั่งกวนเจวี๋ยรู้เรื่องนี้แน่!
“เพราะเจ้าเป็นภรรยาตัวน้อยที่ข้าชอบ พวกเขาย่อมจะชอบด้วยอยู่แล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม แม้การแต่งงานของทั้งสองจะเป็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อดึงดันทำตามอำเภอใจ แต่ก็มีผู้อาวุโสหลายท่านส่งเสริมให้ท้าย พวกเขาก็ไม่เต็มใจจะเห็น
ซั่งกวนเจวี๋ยแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์เหมือนกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยซึ่งเป็นนายหญิงดูแลครอบครัว มีคนเดียวในสามชั่วอายุคนก็เพียงพอแล้ว หากมีอย่างนางอีกคนหนึ่ง ก็จะเป็นอันตรายต่อหลายชั่วอายุคน แทนที่จะปล่อยให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดพิเรนทร์ตลอดทั้งวัน มิสู้ทำตามความปรารถนาของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะดีกว่า แต่งงานกับผู้หญิงที่มีพื้นเพครอบครัวธรรมดา…แน่นอนว่า ก็เป็นเพราะจงเสวี่ยฉิงที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากทุกคนในแง่ของรูปร่างหน้าตาหรือสติปัญญา จนมีคำกล่าวกันว่าลูกสาวคล้ายแม่ ต่อให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะทัดเทียมจงเสวี่ยฉิงไม่ได้ทว่าก็ไม่ได้ด้อยค่า
“มันง่ายขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหล่มองเขาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ยามที่ไม่ได้ออกไปข้างนอก นางก็ไม่ได้จงใจหลุบตาลงอีกต่อไป ซั่งกวนเจวี๋ยก็ชอบท่าทีเอาแต่ใจและงามสง่าหยาดเยิ้มของนางอีกด้วย
“แน่นอน!” ซั่งกวนเจวี๋ยจูบริมฝีปากของนางอย่างอดใจไม่ได้ มี่เอ๋อร์ตอบสนองอย่างเร่าร้อนเจือความเขินอายน้อยๆ หลังจากร่วมห้องเมื่อคืน รสชาติเฝื่อนๆ ก็ค่อยๆ จางลง แม้จะยังคงอ่อนโยน แต่ก็มีเสน่ห์น่าสัมผัสไม่เหมือนใครเช่นกัน
“มี่เอ๋อร์ เจ้าช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน” ซั่งกวนเจวี๋ยคลายริมฝีปากอันหอมหวานของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออก หากไม่ใช่เป็นเพราะการเผด็จศึกเมื่อคืนนี้ กอปรกับนางยังไม่ค่อยหายดี เขาจะไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้แน่
เมื่อนึกถึงคืนที่แล้วมา ซั่งกวนเจวี๋ยก็อดกอดภรรยาผู้แสนงามที่เอาแต่กอดคลอเคลียแนบชิดกันไม่ได้ สูดกลิ่นหอมจางๆ ของนาง เขาไม่เคยคิดเลยว่ามี่เอ๋อร์จะมีพลังอันยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนอยู่ในเรือนร่างอันอ่อนนุ่ม หลังจากผ่านความเจ็บปวดจากการผ่าด่านพรหมจรรย์จนระเบิดด้วยความเร่าร้อนเช่นนี้ สามารถปลดปล่อยทั้งร่างกายและจิตใจได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เขาได้สัมผัสลิ้มรสความหวานซึ้งและความอ่อนโยนของนาง ตอบสนองต่อการเผด็จศึกของเขาได้อย่างมีเสน่ห์และชวนให้หลงใหลมากยิ่งขึ้น เขาหยุดความกระหายใคร่อยากไปนานโขแล้ว การระเบิดอารมณ์ปฏิพัทธ์ที่รุนแรงทำให้ทั้งสองคนเคล้าเคลียกันจนถึงรุ่งสาง ส่วนนางแม้จะเหน็ดเหนื่อยมากจนไม่สามารถขยับนิ้วมือได้ในท้ายที่สุด กระนั้นก็เกินความคาดหมายของซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว
ครั้นส่งยิ้มหวานชื่นให้ซั่งกวนเจวี๋ย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ซุกตัวกอดอยู่ในอ้อมอกของซั่งกวนเจวี๋ยอีกครั้งด้วยความพึงพอใจ นางยังมีอารมณ์ค้างเล็กน้อย แต่ความปวดเมื่อยที่ไม่จางหายไปทำให้นางไม่กล้าแกล้งตอแยซั่งกวนเจวี๋ยอีก จึงไม่กล้าท้าทายอารมณ์ของเขา ควรรู้ไว้ว่าผู้ชายคนนี้ที่ถูกข่มกลั้นความกำหนัดไว้นานนั้นเมื่อคืนจึงไม่รู้จักบันยะบันยังแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะตนพื้นฐานสุขภาพดี ตอนนี้คงมิวายนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง ไม่สามารถลุกขึ้นได้ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ นางก็มองค้อนปะหลับปะเหลือกอีกคราอย่างโกรธงอน บ่นตัดพ้อถึงการเอาแต่ได้ของเขาและไม่รู้จักสงสารและหวงแหนภรรยาเลย
ความคิดที่ระมัดระวังของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกอยู่ในสายตาของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างปิดบังไม่ได้ เขาโอบกอดรัดคนในอ้อมแขนแน่นอีกนิด โน้มตัวไปข้างหูของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แล้วพูดกระเซ้าว่า “มี่เอ๋อร์บ่นว่าสามีไม่มีน้ำยาพอหรือ?”
ลมหายใจของเขาร้อนแรง ตรงเข้ากระทบติ่งหูที่สัมผัสเฉียบไว มี่เอ๋อร์รู้สึกว่าเมื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงไปทั่วสรรพางค์กาย ความร้อนผะผ่าวพรั่งพรูออกมาจากหัวใจ เข้าต่อต้านแรงกระตุ้นที่จะจูบเขากลับ จึงใช้นิ้วเค้นจิกเนื้อนิ่มตรงหว่างเอวของเขาอย่างแรง ทั้งบีบและบิดจนเห็นซั่งกวนเจวี๋ยหน้าถอดสีได้
“มี่เอ๋อร์คิดจะฆ่าสามีเองเลยหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เคยนึกเลยว่าวรยุทธ์ของตัวเองจะสู้กับมือเรียวบางที่หยิกไม่ได้ เจ็บจนต้องสูดหายใจ ไม่คาดคิดว่ามี่เอ๋อร์ผู้นิ่มนวลจะมีวิธีพาลพาโลเช่นนี้
“ไม่ใช่นะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกยิ้มอย่างมีชัยที่มุมปาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า
“มี่เอ๋อร์รักสามี อยากให้สามีรู้ว่ามัน ‘เจ็บ’ นะ”
“เจ้านี่มันเรื่องเล็กน้อยเอง” ซั่งกวนเจวี๋ยหอมติ่งหูของนางไว้ ทำให้นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แทบจะละลายในอ้อมแขนของเขา เมื่อเห็น…เต็มอยู่ในดวงตาของนาง หลังจากปล่อยปากออกก็เลียแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยหายอยากพลางกล่าวว่า “มี่เอ๋อร์ของข้าเป็นเหมือนวิฬาร์น้อยที่ว่านอนสอนง่ายมาตลอด เหตุใดจู่ๆ จึงกลายเป็นแม่เสือ?”
“ท่านพี่อย่าลืมสิ ลูกแมวเหมียวก็มีกรงเล็บนะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่หอบหายใจอยู่ก็เถียงคอเป็นเอ็นอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้แล้วพูดว่า “เพียงแต่มี่เอ๋อร์อ่อนโยนกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอารมณ์ ท่านพี่อย่าประมาทเชียวนะ”
“เอาล่ะ เจ้าอย่าขยับจะดีที่สุด” ซั่งกวนเจวี๋ยมองภรรยาที่งามเพริศพริ้งอย่างไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เมื่อคืนเคยผ่านมาแล้ว เขาจะอุ้มนางกลับห้องเดี๋ยวนี้
“ท่านพี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขานเรียกอย่างอ่อนหวาน เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่ลึกล้ำของซั่งกวนเจวี๋ยเพราะความ… ทันใดนั้นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนเคลิบเคลิ้มก็ปรากฏขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าคิดอะไรอยู่?”
“คิดถึงข้าอยู่แล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยสอดมือเข้าไปใต้สะโพกของนาง แม้กระทั่งจะมีผ้าผ่อนกั้นอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงความกลมกลึงนวลเนียนและความร้อนแผดเผาอันน่าทึ่งนั้น
“ไม่ใช่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นลิ้นหอมออกมา เลียริมฝีปากสีแดงชาดเบาๆ มองดวงหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยที่เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพูดว่า “ข้ากระหายน้ำ ท่านพี่ช่วยรินชาให้ข้าหน่อยเถิด?”
นางจงใจแกล้งทำ ซั่งกวนเจวี๋ยมองรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์แสนกลในดวงตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ต้องการจะระดมจูบนางอย่างดูดดื่มยิ่งนัก ปล่อยให้นางร้องขอความเมตตาอยู่ภายใต้เรือนกายของเขา… แต่ลองนึกถึงสิ่งที่จะต้องเผชิญในการสักการะศาลบรรพชนกับเหล่าผู้อาวุโสขิงแก่ เขาก็ถอนหายใจ แล้วเคล้าคลึงบั้นท้ายของมี่เอ๋อร์อย่างเสียวซ่าน ทว่าไม่ได้เห็นแววตาอันสุดแสนน่าพิสมัยของนางที่ปรากฎออกมา จากนั้นวางนางลง รินชาให้นางถ้วยหนึ่ง เขาเองก็ดื่มสองถ้วยติดๆ กัน เพียรพยายามจะฟื้นคืนสภาพ…
“มีผู้อาวุโสทั้งหมดสิบสองท่าน สี่ท่านเป็นผู้อาวุโสที่มีแซ่อื่น แปดท่านเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเราเอง หนึ่งในนั้นเป็นน้องชายสายตรงของท่านปู่ พวกเขาล้วนเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงคุณวุฒิ เจ้าต้องสำรวมอย่างระมัดระวัง” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวเตือนอย่างจริงจังว่า “แม้พวกเขาจะเป็นคนกึ่งสันโดษอยู่แล้ว ทว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขายังคงมีอิทธิพลต่อกิจการของครอบครัวซั่งกวน หากเจ้าสามารถทำให้พวกเขาพอใจได้ละก็ จะไม่มีใครทำให้เจ้าลำบากใจได้”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่ผู้อาวุโสเหล่านี้พออกพอใจ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะกลายเป็นตัวตลกที่เต้นแร้งเต้นกา? เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยหมายถึงอะไร ยามนี้ตระกูลซั่งกวนไม่พอใจนาง ก็มีเพียงทั่วป๋าซู่เยวี่ยเท่านั้นที่ถูกว่ากล่าวเช่นนี้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขามีข้อปฏิบัติกฎเกณฑ์อะไรหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ได้ปิดบังว่านางเปลี่ยนความคิดโดยไม่ให้รู้ตัว
“พูดยากทีเดียว” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเตือน แต่เป็นเพราะทำไม่ได้ การบอกมี่เอ๋อร์ล่วงหน้าเป็นสิ่งเดียวที่เขาพอทำได้ ส่วนการเล่าอย่างอื่นๆ ไปก็ไร้ประโยชน์
“แล้วท่านแม่กับฮูหยินใหญ่ทำให้บรรดาผู้อาวุโสในอดีตพอใจได้หรือไม่? หรือว่าพวกนางไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากตอนที่เพิ่งแต่งงานกับเวลานี้เลยหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาไปมา เปลี่ยนวิธีการสืบหาข่าวคราว
“เจ้าน่ะ…” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะเสียงหลง บางทีอาจเป็นเพราะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตของตระกูลซั่งกวน หรืออาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ มี่เอ๋อร์ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยเนื้อแท้อันอ่อนโยน ยังคงอ่อนหวานเข้าได้กับทุกคน แต่หากเผลอไม่ได้ตั้งตัวจะเป็นคนขี้เล่นและน่าเอ็นดูมากขึ้น และไม่ได้ซ่อนเร้นความมีปฏิภาณไหวพริบของนาง บุคลิกที่เป็นธรรมชาติและตรงไปตรงมา ทำให้ผู้คนรู้สึกสนิทใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
“สำหรับฮูหยินใหญ่ เหล่าผู้อาวุโสยังคงรักษาท่าทีที่อบอุ่นมาตลอด ผู้อาวุโสบางคนยังจงใจห่างเหินกับตระกูลทั่วป๋าด้วยซ้ำ ส่วนท่านแม่นั้น เหมือนกับในตอนแรก แต่ตอนนี้ดูจะสงบสุขแล้ว แม้จะไม่ได้ให้ความมั่นใจมากเกินไปก็ตาม แต่ไม่ได้เจตนาหมางเมิน”
“อืม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ขบคิดถึงความต่างขั้วกันมากที่สุดระหว่างทั้งสอง แล้วรู้สึกว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นยังคงฉลาดมาก นางจึงคลี่ยิ้มพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคำถามสุดท้าย พวกเขาจะดูแคลนหรือจงใจทำให้อึดอัดเพราะภูมิหลังของข้าหรือไม่?”
“ไม่อย่างแน่นอน” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวยืนยันต่อ “พวกเขาล้วนเป็นคนที่ผ่านความยากลำบากมาโชกโชนแล้ว ชาติกำเนิดก็เป็นเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อยสำหรับพวกเขา หากพวกเขาสนใจเรื่องนี้ เราจะไม่มีวันนี้เลย”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ตกอยู่ในภวังค์ความคิด นางต้องครุ่นคิดอย่างรอบคอบสักครู่…
———————————-
Related