เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 13 การมาถึง
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย นายท่านเยี่ยนเริ่มรีบเร่งเดินทาง คุณหนูหกกับคุณหนูเจ็ดที่แต่งตัวอย่างสวยเพริศพริ้งมานานแล้วก็ไปที่ลี่โจวกับเขาด้วย ภายใต้การรับใช้ของสาวใช้ใหญ่ส่วนตัว พิงถิงขึ้นรถม้าก็มีลมโชยหอมไม่ว่าจะผ่านไปที่ใด มีเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ยังคงสวมชุดธรรมดา สวมผ้าคลุมหน้าแล้วขึ้นรถม้าไปอย่างถ่อมตัว ซั่งกวนจิ่นเห็นอยู่ในสายตา และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจอย่างเงียบๆ
กลุ่มคณะนี้รีบไปยังเมืองลี่โจวที่ได้รับสมญานามว่า ‘เมืองบงกช’ ก่อนเที่ยงวัน
ลี่โจวเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียงด้านความอุดมสมบูรณ์ไม่เป็นสองรองใครในแคว้นต้าเยียน หลังการเก็บเกี่ยวในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูใบไม้ผลิของทุกปี คนทั่วไปแทบจะเลือกปลูกรากบัว แล้วเลี้ยงปลา กุ้งและปูเล็กน้อยในทุ่งดอกบัวด้วย ทั้งปลาจีน กุ้งสดเดือนเจ็ดและไข่ปูเดือนแปดซึ่งเลื่องชื่อลือนามไปทั่วทุกสารทิศ ล้วนเป็นอาหารพื้นบ้านที่ชาวลี่โจวชื่นชอบ ในทุกฤดูร้อน ดอกบัวที่มีกลิ่นหอมและใบบัวสีมรกตในทุ่งดอกบัว ไม่ได้เป็นเพียงฉากของลี่โจวเท่านั้น แต่ยังเป็นที่มาของสมญานามว่าเมืองบงกชของลี่โจว ส่วนดอกบัวและใบบัวใช้เป็นผัก ใช้ทำชาในลี่โจวก็มีประวัติมายาวนาน การใช้เมล็ดบัวก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะอีกด้วย
“คุณหนูห้า เรามาถึงลี่โจวแล้ว ท่านว่าเราควรกลับไปที่เรือนสวนก่อน หรือพักผ่อนในเมืองสักเล็กน้อย ทานอาหารแล้วกลับไปที่เรือนสวนงั้นหรือ?” ซั่งกวนจิ่นขี่ม้าไปเทียบข้างๆ รถม้าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งอยู่แล้วถามความเห็นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในขณะที่ขบวนรถกำลังจะเข้าเมือง
“นายท่านมีความเห็นอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้จักนายท่านเยี่ยนดี ด้วยนิสัยใจคอและจุดประสงค์ที่ชัดเจนที่พาน้องสาวสองคนมาด้วย แน่นอนว่าต้องการเดินเที่ยวในเมืองลี่โจวสักรอบ ทำให้ทุกคนได้รู้จักข่าวว่าที่ภรรยาของนายน้อยตระกูลซั่งกวนมาถึงเมือง แต่ยังแค่เอ่ยถามเท่านั้น
“นายท่านเยี่ยนบอกว่าเดินทางเหนื่อยมาก อยากจะหยุดพักสักหน่อย ยังบอกด้วยว่า เมื่อไปถึงเรือนในเวลานี้ การเตรียมอาหารจะยุ่งยากมาก ควรทานอาหารกลางวันในเมืองก่อนจะกลับไปที่เรือน” ซั่งกวนจิ่นไม่พอใจกับการตัดสินใจของนายท่านตระกูลเยี่ยน แต่ไม่ได้แสดงออกมา
“ลุงจิ่นส่งคนไปที่เรือนเมื่อวานนี้เพื่อบอกเวลาโดยประมาณกับระยะทางว่าเราจะมาถึงวันนี้แล้วใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมฟังออกถึงความหมายโดยนัยในคำพูดของซั่งกวนจิ่น ทั้งการไปกลับยี่สิบกว่าวัน แล้วอยู่ที่อู๋โจวอีกสองสามวัน เมื่อเห็นว่ากำลังจะเข้าเมือง ซั่งกวนจิ่นก็ต้องการส่งตัวเองและคนอื่นๆ กลับไปที่เรือนก่อนแต่เนิ่นๆ แน่นอน จากนั้นจึงรายงานต่อซั่งกวนฮ่าวกับภรรยา
ฉลาด! แววตาของซั่งกวนจิ่นเป็นประกาย ดูท่าแม้คุณหนูเยี่ยนคนนี้จะถูกเลี้ยงดูมาดั่งไข่ในหิน ดูเหมือนจะไม่สนใจอะไรสักอย่าง แต่กลับคุ้นเคยกับหลักครองตนในสังคมนี้
“คุณหนูห้าเป็นแขกสำคัญ ย่อมต้องให้คนในเรือนเตรียมมาต้อนรับอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแต่เนิ่นๆ” ซั่งกวนจิ่นไม่ได้ตอบโดยตรง แต่ได้บอกคำตอบไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนลุงจิ่นพูดกับนายท่าน บอกว่าเร่งเดินทางมาหลายวันแล้ว ข้าไม่สบายนิดหน่อย อยากไปพักผ่อนที่เรือนให้เร็วหน่อย จะไม่พักอยู่ข้างนอก อีกอย่าง นายท่านเองก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาตลอดทาง พักผ่อนให้สบายตัวสักครึ่งวัน วันรุ่งขึ้น เมื่อพบนายท่านซั่งกวนจะได้มีกำลังวังชา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หาเหตุผลไปตามใจชอบ
“งั้นก็ตามที่คุณหนูห้าว่า เราตรงกลับไปที่เรือนกันเถอะ!” ซั่งกวนจิ่นพอใจมาก คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เพียงแต่เหมาะสม แต่ยังคำนึงถึงหน้าตาของนายท่านเยี่ยนด้วย ส่วนนางก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเล และพิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของนางไม่ได้นุ่มนวลเหมือนอย่างรูปลักษณ์ภายนอก นางเป็นคนมีความคิด มีเพียงหญิงสาวคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะแต่งงานเข้ามาในตระกูลซั่งกวน…ส่วนจะคู่ควรสมกับชื่อของภรรยาคุณชายใหญ่ได้หรือไม่นั้น ยังต้องรอพิสูจน์อีกขั้นหนึ่ง
“มี่เอ๋อร์ เร่งเดินทางมาตั้งแต่เช้า ทุกคนก็เหนื่อยแล้ว เรามาพักผ่อนที่เมืองลี่โจวสักหน่อยแล้วค่อยไปที่เรือนเถิด”
ซั่งกวนจิ่นจึงกล่าวกับนายท่านเยี่ยน นายท่านเยี่ยนไม่ได้คัดค้านที่ซั่งกวนจิ่นพูดโดยตรง แล้วหันไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์
เดิมทีเขาคิดว่าตระกูลซั่งกวนเตรียมเรือนหอแต่งงานให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในเมืองลี่โจว…บ้านหลักของตระกูลซั่งกวนอยู่ในเมืองลี่โจว ใช้ตระกูลซั่งกวนเป็นศูนย์กลาง สภาพโดยรอบล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวตระกูลขุนนางในลี่โจว การไปมาเยี่ยมเยียนกันจึงสะดวกมาก และในละแวกนั้น ตระกูลซั่งกวนยังมีเรือนหลังใหญ่เจ็ดแปดหลังอีกด้วย ไม่ว่าอยู่หลังไหนก็ดี แต่ไม่เคยคิดเลยว่า การจัดงานของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในเมืองลี่โจว แต่เป็นบ้านแห่งหนึ่งในชานเมืองทางตะวันออกของลี่โจว มีสินสอดทองหมั้นที่ฮูหยินซั่งกวนเตรียมไว้ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ที่นั่น เรือนส่วนตัวก็อยู่ริมสระบัวที่มีชื่อเสียงที่สุดในลี่โจว มีทิวทัศน์ที่งดงาม แต่ออกจะเงียบสงบเกินไปเสียหน่อย
ซั่งกวนจิ่นที่อยู่กับนายท่านเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร เขาอยากเห็นว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะตอบกลับอย่างไร แต่ได้ยินเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตามคำพูดของนายท่านเยี่ยนอย่างนุ่มนวลว่า “ใช่ ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว”
ดูสิ! นายท่านเยี่ยนส่งสายตาอย่างมีชัยให้กับซั่งกวนจิ่น เขาก็รู้ว่าลูกสาวของเขาจะไม่ฝ่าฝืนความตั้งใจของคนแก่อย่างข้า และจะเชื่อฟังอย่างแน่นอน
“เร่งเดินทางมาสิบกว่าวัน จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวต่อ “แต่นายท่านก็รู้หลักการว่าควรทำให้เสร็จในรวดเดียว การเร่งเดินทางก็เป็นเช่นนี้ อีกอึดใจเดียวก็จะไปถึงเรือนแล้ว ไม่ลองอดทนอีกหน่อย รีบไปให้ถึงเรือนก่อนทานอาหาร จะได้พักผ่อนให้สบายใจ ถ้าหยุดตอนนี้ จะเป็นการถ่วงเวลาให้ล่าช้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มันจะไม่งาม นายท่านว่าสมเหตุ สมผลหรือไม่?”
นายท่านเยี่ยนถูกตอกจนหงายหลัง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าลูกสาวคนนี้ไม่ได้สนิทกับเขามาตลอด คิดจะโน้มน้าวใจนางได้อย่างไร แทนที่จะตัดสินใจโดยตรง…เขาลืมไปเลย คำพูดของเขามีผลกับคนในตระกูลเยี่ยนเท่านั้น ส่วนคนในกลุ่มนี้มีเจ็ดส่วนที่มาจากตระกูลซั่งกวน และไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเขา
“มี่เอ๋อร์ น้องสาวทั้งสองของเจ้าเหนื่อยแล้ว เจ้าควรคิดถึงพวกนางด้วย” นายท่านเยี่ยนพูดต่ออย่างไม่เต็มใจ
“ลูกก็คิดเผื่อน้องสาวทั้งสองคนแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รับคำอย่างราบเรียบแล้วพูดว่า “น้องสาวทั้งสองก็ห่วงใยลูกถึงยืนกรานจะมาส่งลูกถึงลี่โจว ไม่ได้ปริปากว่าเหนื่อยยากมาตลอดทาง บางครั้งยังต้องปรากฏตัวให้คนภายนอกเห็น ลูกก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจยิ่งนัก ตอนนี้ถึงลี่โจวแล้ว เราดั้นด้นไปให้ถึงเรือนจะดีกว่า พวกน้องสาวจะได้พักผ่อนอย่างสบาย และไม่จำเป็นต้องแสดงตัวต่อหน้าผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เสียชื่อเสียง”
นายท่านเยี่ยนถูกตอกจนหงายหลังอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าพูดต่อไปเขาย่อมจะไม่พอใจมากขึ้น แล้วพูดกลั้วหัวเราะอย่างเหยเกว่า “ถ้ามี่เอ๋อร์รู้หนักเบา งั้นก็เอาตามที่มี่เอ๋อร์คิดเถอะ เราจะไม่หยุดพักตรงไปที่เรือนเลย! พ่อบ้านจิ่น เราเร่งเดินทางกันต่อเถอะ!”
เมื่อเห็นด้านหลังของนายท่านเยี่ยนที่ค่อนข้างบึ้งตึง ซั่งกวนจิ่นก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ ดูท่าคำพูดของคุณหนูเยี่ยนอู่จะมีพลังมาก พูดแต่ละคำสมเหตุสมผล แอบทำให้นายท่านเยี่ยนเสียหน้าแล้วยังยิ้มระรื่นอีกด้วย
อู๋โจวอยู่ทางทิศใต้ของลี่โจว กลุ่มคณะนี้ย่อมจะไปทางทิศใต้แน่นอน แล้วเร่งไปถึงบ้านสวนในเขตชานเมืองทางทิศตะวันออกตอนเวลาเที่ยงวันพอดิบพอดี
“เรือนสดับวายุ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองผ่านม่านหน้าต่างรถแล้วเห็นคนรับใช้กว่าสามสิบคนกำลังรอแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลเยี่ยนอยู่ตรงหน้าบ้านสวน และยังเห็นตัวอักษรทั้งสามคำนั้นที่ไม่ถือว่าใหญ่โตเกินไป แต่ดูแล้วมั่นคงอยู่บนประตูใหญ่ของบ้านสวนอีกด้วย
“เป็นตัวอักษรของพี่ใหญ่! เดิมทีที่นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ท่านพ่อเตรียมไว้ให้พี่ใหญ่ และอยากให้พี่ใหญ่มีสถานที่หลบร้อนและรับลมเย็นที่ดีในช่วงฤดูร้อน ไม่เคยคิดเลยว่าตอนที่สร้างเรือนนั้นมันบังเอิญตรงกับที่ท่านแม่ท่านพ่อกำลังระหองระแหงกัน ท่านแม่จึงมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าหกวันด้วยความโกรธ ข้าชอบสภาพแวดล้อมที่สงบร่มรื่นของที่นี่ พี่ใหญ่กตัญญูต่อท่านแม่มาก เขาจึงมอบเรือนสวนนี้ส่งให้ท่านแม่ แล้วยังเขียนชื่อสวนนี้อีกด้วย” จิงอิ๋งค่อนข้างภูมิใจพลางกล่าวว่า “พี่สะใภ้ ลายมือของพี่ใหญ่สวยมากใช่หรือไม่? พี่ใหญ่ก็เขียนตัวอักษรพู่กันด้วยลีลาปล่อยเส้นสีขาวไว้เป็นฝอยๆ เก่งที่สุด
ในบรรดาพี่น้องและลูกพี่ลูกน้องหลายคน งานเขียนของเขาไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็อยู่ในสามอันดับแรกเช่นกัน ลุงอี้วิจารณ์บอกว่าลายมือของพี่ใหญ่นั้นมีเอกลักษณ์เป็นธรรมชาติและงามหยดย้อย พี่ชายของตระกูลมู่หรงเคยได้ตัวอักษรชุดหนึ่งของพี่ใหญ่ แล้วแสดงความเห็นในเวลาต่อมาว่า ‘เหมือนเส้นโค้งวาดผ่านขอบนภา ดุจหน้าผาลอยอยู่เหนือน้ำตกสีเงิน ดั่งเรือไหมแล่นข้ามผ่านมหานที ราวกับผมสตรีงามสลวยลู่ตามลม’…หลายคนบอกว่าพี่ใหญ่เขียนได้ดีจริงๆ!”
เป็นตัวอักษรที่งามจริงๆ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เคยเห็นสมุดคัดลอกตัวอักษรของผู้มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย ในสินเดิมของนางยังมีงานฝีมือล้ำค่าของนักเขียนพู่กันจีนผู้ยิ่งใหญ่อยู่หลายชิ้น ในจำนวนนั้นเป็นผลงานของนักเขียนพู่กันจีนผู้ยิ่งใหญ่นามว่าหวัง
สวินในราชวงศ์ก่อน ส่วนตัวอักษรของซั่งกวนเจวี๋ยนั้นแม้จะยังเรียกว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ไม่ได้ แต่ก็หาตัวจับยากเช่นกัน ตัวอักษรนั้นเหมือนกับเขาเอง ดูท่าข่าวลือที่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้รักอิสระจะเป็นความจริง แต่…เยี่ยนมี่เอ๋อร์เม้มปาก จากในตัวอักษรเหล่านี้ จะมองออกได้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยต้องเป็นคนที่มีอารมณ์ขัดแย้งกับบุคลิกสุดขั้ว อุปนิสัยของคนแบบนี้ยังเล่นแง่มากที่สุด ทั้งยังเข้ากันได้ยากอีกด้วย!
ถ้าเขาเป็นคนที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งอย่างที่เล่าลือกันล่ะก็…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นสามีที่ดีที่สุดในสายตาของหญิงสาวทั้งใต้หล้า แต่สำหรับนางแล้วกลับเลวร้ายมากที่สุด…
“พี่สะใภ้ เจ้าเป็นอะไรไป?” จิงอิ๋งไม่เข้าใจว่าไฉนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เงียบขรึมมาตลอด จู่ๆ ก็ดูกังวลหนักอึ้งขึ้นในใจ
“ไม่มีอะไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมาอย่างมีสติสัมปชัญญะ หลุบสายตาลงราวกับว่าเต็มไปด้วยความในใจ พลางเอ่ยขึ้นว่า “เพียงแค่กระวนกระวายใจเล็กน้อยในฉับพลัน…อาจเป็นเพราะระยะทางไกล และเหนื่อยล้าเท่านั้นเอง…”
ในน้ำเสียงที่แสร้งทำว่าแข็งกร้าวนั้นทำให้ซั่งกวนจิงอิ๋งซึ่งให้ความสำคัญกับนางด้วยความบริสุทธิ์ใจฟังออก แล้วยื่นมือออกไปจับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน รู้สึกว่ามือที่อ่อนโยนของนางเย็นยะเยือกเล็กน้อย สั่นเทาเบาๆ นิดหน่อย แล้วโพล่งออกมาโดยไม่คิด “ไม่ต้องกลัว พี่สะใภ้ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“ข้าไม่ได้กลัว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างใจเย็น เสียงสูงขึ้นบ้างเล็กน้อยราวกับกำลังให้กำลังใจตัวเอง จากนั้นนางก็หายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง แม้มือจะยังไม่อบอุ่นแต่ก็หยุดสั่นไหว แล้วยกผ้าคลุมหน้าขึ้นพลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “เราควรลงรถได้แล้ว อย่าปล่อยให้พวกเขารอนานเลย”
“อื้ม!” จิงอิ๋งพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “เราลงรถกันเถอะ!”
รถม้าได้หยุดลงแล้ว จื่อหลัวกับลู่หลัวก็ยืนอยู่ข้างรถม้าแล้วรอให้ทั้งสองคนลงรถอย่างเงียบๆ ผู้คนในลานกว้างก็รอการมาถึงของนายใหม่ผู้นี้ด้วยใบหน้าเปี่ยมความเคารพ…
———————————————-