เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 145 ติดหลุมพราง
ในยามโพล้เพล้ของวันที่สิบห้าเดือนหก เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเผล่พลางโบกมือให้พวกแขกเหรื่อที่มาเยือน โดยเฉพาะโบกมืออำลาสาวๆ บางคนที่อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป…วันสุดท้ายของงานชมดอกบัว นั่นคืองานในวันพรุ่งนี้จะจัดขึ้นที่สระบัว วันนี้พวกเขาพักอยู่ในเรือนสดับวายุและเรือนบุษกร ในขณะที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ที่เรือนโม่โฉวในฐานะผู้ควบคุมการเก็บกวาดทำความสะอาดหลังงานเสร็จสิ้น
กิจกรรมที่ทะเลสาบโม่โฉวยังดำเนินต่อไปด้วยดี แม้จะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ทำให้พวกเขายังคิดถึงรสอาหารต่างๆ ที่หอมรัญจวนใจซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของงานเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเขาจะยิ่งรอคอยงานชมดอกบัวปีหน้ามากขึ้น…แต่พี่สะใภ้ตระกูลซั่งกวนบอกว่า พรุ่งนี้จะปลูกรากบัวให้โตเร็วแต่เนิ่นๆ เมื่อพวกเขามาถึงปีหน้าจะได้นั่งเรือสำปั้นสวนขนาดเล็กไปเที่ยวชมอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกบัว สามารถเด็ดดอกบัว เก็บกระจับ ตกปลาช้อนกุ้ง…ลำพังแค่แนะนำเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้พวกเขาตั้งตารอคอยเสียแล้ว
หลังจากส่งพวกเขาออกไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์หมุนตัวกลับไปที่เรือน รอยยิ้มสุดท้ายบนใบหน้าก็เลือนหายไปสิ้น มีแต่ความเย็นชาระคนโกรธเกรี้ยว…
นางยังคงประเมินความกล้าและการเล่นลูกไม้ของพ่อบ้านอู๋ผิดพลาด หากไม่ใช่เพราะความพิถีพิถันของนาง ก็บอกได้เลยว่าพวกเขาทำสำเร็จได้ยากจริงๆ
“สะใภ้ใหญ่ ท่านปรักปรำข้าไม่ได้นะขอรับ!” พ่อบ้านอู๋คุกเข่าอยู่ในโถงใหญ่ของเรือนโม่โฉว ครั้นเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามา ก็รีบร้องโวยวายว่าถูกใส่ร้าย ยังมีพ่อบ้าน แม่นมสาวใช้และเด็กรับใช้อีกสองสามคนที่ร้องระงมเพราะเรื่องจวนตัวจึงคุกเข่าอยู่ข้างๆ เขา รวมถึงเด็กรับใช้ตัวน้อยสามคนที่ทำงานเป็นลูกมือในครัวและพ่อครัวอีกคนหนึ่งด้วย ส่วนคนอื่นๆ ในเรือนโม่โฉวรวมตัวกันที่ด้านข้างหรือด้านนอกประตู คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งการให้มาชุมนุมที่นี่
“สะใภ้ใหญ่ ท่านจิบชาให้ชุ่มคอก่อนเถิดเจ้าค่ะ” จื่อหลัวเอ่ยพูดพร้อมหยิบชาที่สาวใช้ยื่นมาให้นางทันที ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็จิบอย่างสบายใจคำหนึ่ง แล้วมองดูพ่อบ้านอู๋ร้องเอะอะโวยวายด้วยความรู้สึกรังเกียจในใจ
“เรียกคนมาลากไปโบยก่อนยี่สิบไม้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งการจนทำให้ทุกคนงุนงง ก่อนจะถามให้ชัดเจนก็ตีเสียแล้ว สะใภ้ใหญ่ผู้นี้ออกจะทำเกินไปแล้วจริงๆ
“สะใภ้ใหญ่ เจ้าเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาไม่ได้นะขอรับ” พ่อบ้านอู๋ตะโกนลั่น จะดีจะชั่วเขาก็ทำงานที่เรือนโม่โฉวมากว่าสิบปี หลายคนเผยให้เห็นความไม่พอใจบนใบหน้า
“เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดต่อ “เพียงแค่สามวันสั้นๆ เกิดเรื่องขึ้นเท่าใด? จากการไปตรวจสอบห้องครัวตอนกลางคืน เจ้ามีโกฐน้ำเต้าและชุมเห็ดเทศติดตัว นี่เป็นประการแรก นึกไม่ถึงว่าน้ำมันถั่วที่ใช้กันทั่วไปในครัวจะกลายเป็นน้ำมันละหุ่ง นี่คือประการที่สอง มีการใช้ดินประสิวทำน้ำแข็ง นำรังนกน้ำตาลกรวดและน้ำแกงหูฉลามที่แขกไม่ได้กินหรือกินเหลือไปแช่แข็ง แล้วยกสำรับขึ้นโต๊ะซ้ำๆ นี่เป็นประการที่สาม ยังมีรังนกที่ไม่ได้ใช้จะถูกเก็บไว้ทุกวัน หูฉลามและยาสมุนไพรล้ำค่าจะถูกเก็บไว้ในเรือนของตัวเองอีก นี่คือประการที่สี่ ไม่ว่าประการใดล้วนทำให้เจ้าได้รับโทษทัณฑ์ตายชั่วโคตรได้ เจ้ายังกล้าร้องว่าถูกปรักปรำ และจะไม่ให้ข้าลากตัวไปโบยซ้ำได้รึ”
“ขอรับ สะใภ้ใหญ่” ซั่งกวนจิ่นขานรับคำสั่งซึ่งตอนเที่ยงเขาได้ส่งคนไปบีบบังคับให้พวกเขาสารภาพกับนางที่เรือนโม่โฉว ดังนั้นก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นจึงไม่เหมาะจะปรากฏตัวต่อหน้า
“สะใภ้ใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ” พ่อบ้านอู๋นึกไม่ถึงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดเป็นคุ้งเป็นแคว เขาก็ไม่ได้รับข่าวคราวเตือนใดๆ เลย เพียงแต่คิดว่าคนผู้นั้นที่เขาเคยส่งให้ไปเตรียมโกฐน้ำเต้าและชุมเห็ดเทศจะถูกจับไว้เท่านั้น ทว่าที่แท้คนผู้นั้นก็เจตนาโยนหมากออกมาลองหยั่งเชิงโดยใช้คนผู้นั้นมาปิดบังอำพรางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพื่อทำให้นางรู้สึกชะล่าใจ
นอกจากคนผู้นั้นมลายหายไปดังที่คาดไว้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ มีน้ำมันละหุ่งจำนวนมากในน้ำมันถั่ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การใช้น้ำมันถั่วในแต่ละวันก็เป็นปกติเช่นกัน เขายังคิดว่าเพราะไม่ได้ใช้น้ำมันละหุ่ง จึงไม่มีแขกคนใดมีอาการไม่พึงประสงค์กับอาหารพวกนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงไม่วางใจเล็กน้อยในตอนท้าย ตรวจสอบข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดเป็นการส่วนตัว พบว่าน้ำมันละหุ่งยังไม่ได้ใช้ เขาจึงตกใจเสียขวัญเหงื่อเย็นโซมกายทั่วทั้งตัว ถ้าไม่คิดจะจับเขาให้อยู่หมัดจนดิ้นไม่หลุด ในตอนนั้นก็จะควรจับเขาไว้ ไม่ใช่รอจนถึงป่านนี้
เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านอู๋ผู้ไม่เฉลียวใจจะถูกลากออกไป จากนั้นก็มีเสียงไม้กระดานตีกระทบตัวและพ่อบ้านอู๋ก็ร้องโหยหวน ทุกคนต่างอกสั่นขวัญผวา ไม่คาดคิดว่าสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ที่ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่นอะไร จะแค้นฝังใจจริงๆ ผู้คนต่างพากันกังวลและหวาดกลัวเล็กน้อย
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชิมชาที่ชงไม่ค่อยอร่อยถ้วยนี้ในมืออย่างพิรี้พิไรราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น การแสดงออกบนใบหน้าของผู้คนที่มองมาก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกย่ามใจมานานเกินไปจริงๆ ไม่เห็นเจ้านายที่แท้จริงของตระกูลซั่งกวนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แต่กลับหวาดหวั่นพรั่นพรึงกับครอบครัวของอนุภรรยาอู๋และพ่อบ้านอู๋เป็นทวีคูณ โดยพื้นเพแล้วอู๋เลี่ยนเยี่ยนก็เติบโตในเรือนโม่โฉว นอกจากจะไม่ค่อยกล้าหยิ่งผยองแล้ว การกินอยู่อาศัยดูไม่เหมือนคุณหนูที่มาดูแลบ้านเรือน แต่ประหนึ่งเป็นคุณหนูของตระกูลซั่งกวนก็มิปาน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะปฏิเสธการเป็นอนุภรรยา ใฝ่สูงต้องการเป็นภรรยารอง ที่แท้ยังมีบางอย่างที่นางไม่รู้
“สะใภ้ใหญ่ โบยยี่สิบไม้แล้วขอรับ” ในไม่ช้าเสียงร้องโหยหวนที่อยู่นอกประตูก็เบาลง บ่าวผู้ลงโทษทั้งสองก็ลากพ่อบ้านอู๋ที่สะบักสะบอมเข้ามา เขาฟุบอยู่บนพื้นเค้นเสียงหึ ไหนเลยยังจะมีมาดอันเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อครู่นี้อีก
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าบอกข้ามาเสียดีๆ ว่าให้ใครวางยาและเปลี่ยนน้ำมันถั่วเป็นน้ำมันละหุ่ง เป็นความคิดของใคร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางถ้วยชาที่ไม่ได้ดื่มมาพักใหญ่ แล้วมองพ่อบ้านอู๋ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ผู้น้อยถูกปรักปรำ ผู้น้อยไม่รู้อะไรเลยขอรับ” พ่อบ้านอู๋ยืนกรานว่าเขาโดนใส่ความ แม้เขาจะคิดว่าตัวเองสูงส่ง ได้ชื่อว่าเขาเป็นพี่เขยของเจ้านาย แต่ตอนนี้เจ้านายไม่อยู่ น้องสาวก็ไม่อยู่เช่นกัน เขาขาดที่พึ่งจะทิ้งพิรุธใดๆ ไว้ในมือนางไม่ได้ ต่อให้จะถูกจับได้คาหนังคาเขา เขาก็ห้ามยอมรับ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปากแน่
“ไม่รู้อะไรเลย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รีบร้อนสักนิด นางมีเวลาจะเค้นถามพวกเขาอย่างช้าๆ อนุภรรยาอู๋ย่อมไม่คิดว่าตนจะไม่ไปดูแลงานดอกบัว จะเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในเรือนโม่โฉวสินะ ไม่ต้องพูดถึงว่านางคาดไม่ถึง แม้แต่ซั่งกวนจิ่นและซั่งกวนเจวี๋ยก็ประหลาดใจ กระนั้นก็ชมเชยนางว่า ‘เยี่ยม’
“ผู้น้อยไม่ทราบจริงๆ ขอรับ…” พ่อบ้านอู๋ร้องไห้อย่างขมขื่นป่าวร้องว่าถูกปรักปรำแล้วพูดว่า “แม้ผู้น้อยจะเป็นผู้ควบคุมงานมาก่อน แต่ในตอนเที่ยงของวันที่สิบเอ็ด พวกพ่อบ้านจากในจวนได้เข้ามารับช่วงงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้น้อยจะทราบได้อย่างไรว่าเกิดเรื่องเยอะแยะขนาดนั้น…สะใภ้ใหญ่ คนเหล่านั้นล้วนมาจากในจวน พวกเขาทำสิ่งใดไหนเลยผู้น้อยจะกล้าชี้นิ้วสั่งการส่งเดชขอรับ…”
“จะบอกว่าข้าจงใจส่งคนไปวางยาและเปลี่ยนน้ำมัน แล้วโยนความผิดให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โกรธมากจนหัวเราะออกมาว่า “มิน่าล่ะ ที่มีคนมาจากในจวนกว่าร้อยคน ยิ่งห้องครัวมีคนเข้าไปตั้งสิบสองคน ในเรือนโม่โฉวที่กระจ้อยร่อยจะมีคนมากถึงสามร้อยไปได้อย่างไรกัน”
พ่อบ้านอู๋พูดไม่ออก มีคนจำนวนไม่น้อยที่มาจากในจวน ในปีนี้มีสาวใช้กว่าห้าสิบคนที่คัดสรรมาโดยเฉพาะ มีหน้าที่ชงชาและอุ่นสุรา กว่าสามสิบคนเป็นผู้ดูแลชั่วคราว ส่วนที่เหลืออีกสิบสองคนถึงจะเกี่ยวข้องกับห้องครัว สี่คนจัดการอาหารและยาสมุนไพรที่ล้ำค่า เจ็ดคนดูแลกระบวนการยกสำรับขึ้นโต๊ะ ไม่มีใครสอดมือกับเรื่องเฉพาะนั่น คนที่ทำงานจริงๆ แม้จะไม่ใช่ผู้อาวุโสในเรือนโม่โฉว แต่ก็เป็นคนที่มาถึงเรือนโม่โฉวเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ซึ่งเขาจัดการโยกย้ายมา
“ผู้น้อยไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ขอรับ…” พ่อบ้านอู๋ได้แต่ร้องคร่ำครวญอย่างนั้น
“ลากออกไป โบยอีกยี่สิบไม้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดโดยไม่ต้องคิด ในปีนั้นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อปล่อยอู๋น่งอวิ๋นเพราะความใจร้อนชั่วขณะ แล้วผลลัพธ์เล่า? ตีเสือไม่ตาย จะหายนะไม่สิ้นสุด นางไม่ต้องการให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
“ข้าถูกใส่ร้าย!” พ่อบ้านอู๋ถูกลากออกไปอีกครั้ง ในไม่ช้าก็ได้ยินเสียงไม้แว่วมา แต่เสียงโหยหวนไม่ได้ดังเหมือนก่อนหน้านี้ คนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงล้วนตัวสั่นเทาเล็กน้อย แม้แต่พ่อบ้านอู๋ก็ถูกทุบตี แล้วพวกเขายังจะหลบหนีได้อีกหรือ?
“ม่านเหอ ให้พวกเขาโบยช้าๆ โบยเสร็จก็อย่าลนลานลากเข้ามา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งอย่างเย็นเยียบ ม่านเหอซ่อนความกระหยิ่มยิ้มเยาะที่เห็นคนอื่นเคราะห์ร้ายไว้ในดวงตา แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“พ่อบ้านรองอู๋ เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามเรียบๆ ที่เรียกว่าพ่อบ้านรองอู๋คือลูกชายคนโตของพ่อบ้านอู๋ เป็นคนมีความคิดความอ่านมากกว่าพ่อบ้านอู๋ แม้เขาจะกำหมัดแน่นแล้วก็ตาม แต่ก็ยังสงบลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เรียนสะใภ้ใหญ่ เรื่องที่ท่านกล่าวหาพรรค์นั้นเราไม่ทราบ ไม่เข้าใจว่าทำไมครัวที่อยู่ดีๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ปุบปับจะมีคนวางยา เดี๋ยวก็บอกว่าน้ำมันถั่วถูกสับเปลี่ยนเป็นน้ำมันละหุ่ง จึงยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่ได้ยินสิ่งเหล่านี้มาก่อนหน้าแม้แต่น้อยขอรับ” พ่อบ้านรองอู๋ดูฉลาดกว่าพ่อบ้านอู๋อยู่เล็กน้อย ด้วยประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนหันมาสนใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์…นั่นสิ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในปีที่แล้ว ไฉนจึงมีเรื่องยุ่งยากอย่างในปีนี้ได้ ไม่แน่สะใภ้ใหญ่อาจจะมีเจตนากลั่นแกล้งก็เป็นได้
“เจ้าหมายความว่าข้าทำเรื่องพรรค์นี้ เพื่อกลั่นแกล้งพวกเจ้าอย่างนั้นรึ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกจะเห็นตัวเองสำคัญมากเกินไปเสียแล้วนะ พ่อบ้านรองอู๋! เด็กๆ เอาตัวเขาไปอยู่กับพ่อบ้านอู๋ เว้นโบยชั่วคราว”
“สะใภ้ใหญ่เพิ่งมาดูแลหยกๆ ก็ปฏิบัติต่อญาติพี่น้องเช่นนี้ ไม่กลัวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์หรอกหรือ?” พ่อบ้านรองอู๋จวกถามอย่างเยือกเย็น
“ญาติพี่น้อง ทาสคนหนึ่งนับเป็นญาติฝ่ายไหนกัน” สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้พ่อบ้านรองอู๋หนาวสะท้าน ทันใดนั้นก็รู้ว่าเขาพูดผิด แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่รอให้เขาได้สติก็พูดอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าอยากจะบอกว่านายท่านเป็นลุงของเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าแก่กว่าคุณชายใหญ่สองปีได้ ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่อย่างข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าลูกผู้พี่อย่างนั้นหรือ?”
พ่อบ้านรองอู๋ไม่กล้าพูดอะไร พวกเขาอ้างว่าเป็นญาติกับตระกูลซั่งกวนเสมอมาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้านับจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน ทันทีที่คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หลุดออกมา ก็มีเสียงกระซิบกระซาบที่ด้านนอกห้องโถงพักหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ในเรือนอื่นๆ ยังคงไม่ชอบพ่อบ้านพวกนี้ของตระกูลอู๋ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นบ่าวในเรือนของตระกูลซั่งกวน บางคนทำงานต่างๆ ในตระกูลซั่งกวนย้อนหลังไปถึงรุ่นที่สิบ เช่น ซั่งกวนลู่เป็นคนของตระกูลซั่งกวนที่ไม่รู้จักลูกหลานอย่างพวกลูกนอกสมรสไหนเลยพวกเขาจะชื่นชมตระกูลอู๋ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเยี่ยงนี้ แต่ต้องพึ่งพาทาสที่เก่งกาจอย่างอนุภรรยา ซึ่งเป็นเพียงเรื่องที่ฮูหยินใหญ่และฮูหยินไม่เอาใจดูหูใส่ อนุภรรยาอู๋จึงเข้าควบคุมอำนาจ(เป็นเพียงเจ้านายผู้ดูแล แม้จะไม่ใช่เจ้านายที่แท้จริงก็ตาม) พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความขุ่นเคืองเท่านั้นเอง สำหรับคนที่คุกเข่าอยู่ในห้องโถงพวกนั้น ถ้าไม่คล้ายกับตระกูลอู๋ ก็ล้วนเป็นบ่าวไพร่ที่เพิ่งเข้ามาในตระกูลซั่งกวนในช่วงไม่กี่ปีนี้ หรือไม่ก็ต้องมีส่วนได้ส่วนเสียกับตระกูลอู๋ ไม่เช่นนั้นใครจะพลอยเข้าปิ้งกับคนที่ทำผิดนั้นด้วยเล่า
พ่อบ้านรองอู๋ถูกลากออกไป ส่วนคนที่เหลือก็ตัวสั่นงันงก โดยเฉพาะพ่อครัวผู้นั้น รังนกและหูฉลามที่ปรุงหลายครั้งพวกนั้นมาจากมือของเขา ปีก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหาอะไร ก็ถือว่ารู้ลู่ทางกันดี ด้านเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ให้เขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ตอนนี้คิดๆ ดูแล้วมันไม่ใช่สัญญาลายลักษณ์อักษรอะไร แต่เป็นกระดาษที่อันตรายถึงชีวิตต่างหาก
“พ่อบ้านซี…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพ่อบ้านผู้นั้นที่เสียใจจนรู้สึกบรรยายไม่ถูกเล็กน้อย เขามีนามว่าซั่งกวนซี และถือว่าเป็นลูกหลานห่างๆ ของตระกูลซั่งกวน เสียตรงที่ได้ทำการสมรู้ร่วมคิดกับคนตระกูลอู๋ จะบอกว่าไม่เจ็บใจก็เป็นไปไม่ได้ แต่นางกลับปิดบังพฤติกรรมของเขาจากซั่งกวนเจวี๋ย เพราะกังวลว่าเขาจะไม่สบายใจ
“สะใภ้ใหญ่ ผู้น้อยสารภาพผิดขอรับ” ซั่งกวนซีคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเล่าว่า “คุณชายและคุณหนูเหล่านั้นไม่ใคร่ชอบกินพวกรังนกสักเท่าใด ส่วนใหญ่รังนกและหูฉลามจึงต้มเคี่ยวเพียงปีละครั้ง ปีก่อนๆ ยกขึ้นไปอย่างไรก็กลับลงมาอย่างนั้น มันเลยเป็นรางวัลให้กับคนรับใช้ในหลายปีนี้ หลังจากที่พ่อบ้านอู๋มาก็คิดจะทำอาหารขึ้นโต๊ะซ้ำๆ โดยใช้ดินประสิวทำน้ำแข็ง ขุดเป็นหลุมน้ำแข็ง เทของที่เหลือเข้าไปเก็บไว้ข้างใน แล้วอุ่นในวันรุ่งขึ้น ในช่วงแรกจะมีเฉพาะรังนกน้ำตาลกรวดและน้ำแกงหูฉลามเท่านั้นที่จัดการด้วยวิธีนี้ ต่อมาอาหารยาบำรุงที่ตุ๋นกับโสมคน เห็ดหลินจือ บัวหิมะและยาสมุนไพรอื่นๆ ก็ถูกจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน นอกจากวัตถุดิบของครั้งแรกที่ใช้จนหมด วัตถุดิบและยาสมุนไพรที่เหลือครั้งอื่นๆ ก็ถูกพ่อบ้านอู๋เก็บซ่อนไว้ เมื่องานชมดอกบัวผ่านไประยะหนึ่ง จะส่งคนไปขนย้ายออกจากลี่โจวเพื่อนำไปขาย เนื่องจากวัตถุดิบทั้งหมดมีคุณภาพสูง จึงหากำไรได้เป็นกอบเป็นกำทุกปี เงินพวกนั้นถูกแบ่งออกเป็นสิบส่วน สองส่วนใช้มาตบรางวัลบ่าวไพร่ที่เข้าร่วมในเรื่องนี้ ครึ่งหนึ่งมอบให้กับพ่อครัว ผู้น้อยได้ส่วนแบ่งหนึ่งส่วน ที่เหลือพ่อบ้านอู๋จัดการเรียบขอรับ”
ทุกคนต่างพากันส่งเสียงฮือฮา โดยเฉพาะผู้ที่ถูกปิดหูปิดตาเหล่านั้นก็ยิ่งร้องเอะอะโวยวายขึ้นมา…
“คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะทำเช่นนี้กับตระกูลซั่งกวน…โธ่ พวกเจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรกันเล่า? เห็นเพียงแค่ผลประโยชน์จนถูกครอบงำจิตใจ จึงไม่สนใจอะไรเลยต่างหาก พ่อบ้านซี เจ้าเป็นลูกหลานของตระกูลซั่งกวน ข้าไม่มีสิทธิ์ชำระความ เอาตัวพ่อบ้านซีไปขังไว้ชั่วคราว รอให้นายท่านและพ่อบ้านจิ่นจัดการเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาอับอาย
“สะใภ้ใหญ่ ผู้น้อยยินดียอมตายขอรับ” ซั่งกวนซียอมรับการลงโทษจากใจจริง เขารู้อยู่ลึกๆ ว่า ถ้าเขาเริ่มออกตัวก่อน เช่นนั้นคนในครอบครัวจะไม่ได้รับอันตราย แต่ถ้ายืนกรานเป็นกระต่ายข้าเดียวไม่ยอมสารภาพผิด ทั้งครอบครัวก็จะไม่มีทางหนีรอดได้ ตระกูลซั่งกวนจะไม่ส่งลูกหลานสายนอกอย่างพวกเขานี้ให้กับนายหน้า แต่จะขับไล่ออกจากลี่โจวแน่นอน ในกรณีนี้ลูกหลานคนรุ่นหลังจะถูกตัดขาดจากสกุล ไม่มีความหวังได้กลับมาอีกเลย
“พ่อบ้านซี ถ้าเจ้าตาย ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะติดร่างแหด้วยหรือไม่ เจ้าควรรอให้นายท่านกับพ่อบ้านจิ่นมาจัดการเถอะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เตือน ถ้าเขาคิดไม่ตกฆ่าตัวตายเสียเอง อนุภรรยาอู๋จะผลักความผิดทั้งหมดมาที่เขาแน่นอน ตัวเองก็ลอยนวล การทำงานหนักของนางจะถือว่าเสียไปครึ่งหนึ่งแล้ว หากเป็นเช่นนั้น นางจะไม่ได้ปกป้องครอบครัวของเขา แต่ถ้าเขายื้อจนถึงที่สุดได้ เชื่อว่าต่อให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะไม่อาจช่วยชีวิตเขาได้ แต่จะไม่ปล่อยให้ครอบครัวของเขาถูกเนรเทศอย่างแน่นอน
“ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ” ซั่งกวนซีโขกศีรษะคำนับ แล้วปล่อยให้คนพาเขาไปขังอย่างเชื่อฟัง
“พวกเจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กวาดสายตามองแวบหนึ่ง จากนั้นส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “หวังเอ้อร์ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เจ้าเป็นถึงพ่อครัว ทั้งยังเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย คุมตัวไปขัง รอให้งานชมดอกบัวจบลง นายท่านจะจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เมื่อถึงเวลานั้นข้าคิดว่านายท่านจะจัดการตามกฎที่เราตั้งไว้ก่อนหน้านี้ คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น พวกเจ้าแค่สารภาพเรื่องนี้ก็พอ”
เมื่อเห็นหวังเอ้อร์ที่อ่อนปวกเปียกถูกลากออกไป พวกที่เหลือไม่กี่คนก็ยังปากแข็งอยู่เช่นนั้น คิดว่าถึงอย่างไรก็ไม่อาจหนีโทษตายได้ จึงสู้ยิบตาไม่เอ่ยปากสักคำ บางทีอนุภรรยาอู๋อาจช่วยชีวิตพวกเขาได้ ทว่ายังมีบางคนที่ทั้งครอบครัวเป็นทาสของตระกูลซั่งกวน เพื่อช่วยไม่ให้คนในครอบครัวโดนหางเลขหรือพลอยติดร่างแหไปเสียทั้งหมด เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงฟังพวกเขาสารภาพอย่างเมินเฉย และในจุดที่ทุกคนมองไม่เห็น โม่เซียงผู้ที่ซั่งกวนเจวี๋ยสั่งให้อยู่ที่นี่ก็จดบันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างรวดเร็ว ฉากที่สร้างความตกตะลึงให้กับตระกูลซั่งกวนเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ในขณะที่อนุภรรยาอู๋ยังไม่ได้ตอบโต้อันใด ก็ยังไม่ทราบว่าจะมีผลอะไรตามมา…
—————————–
Related