เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 175 กลัวแล้วหรือ
“ท่านย่า ขอร้องท่านโปรดช่วยข้าหน่อยเถิด!” ทั่วป๋าฉินซินคุกเข่าลงด้านหน้าเตียงของทั่วป๋าซู่เยวี่ยด้วยใบหน้าลนลานและหวาดกลัว ยามที่ได้ยินสาวใช้ถ่ายทอดคำรายงานจากคนของจงอี้ถัง นางก็ตกใจจนเนื้อเต้น คนพวกนั้นไม่ใช่ตายไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงยังปรากฏตัวได้? ในตอนที่พวกเขาถูกจับกุมไฉนไม่ตายให้จบๆ ไป จะเหลือชีวิตอันต่ำต้อยให้นางวุ่นวายและเป็นเรื่องยากทำไม
นางปฏิเสธไปที่หอวีรบุรุษอย่างดื้อๆ นางไม่รู้ว่าหลังจากนางไปหอวีรบุรุษแล้วจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไร ยิ่งไม่รู้ว่านางจะจัดการกับเรื่องพวกนั้นอย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกผิดหวังคือคนผู้นั้นบอกว่า คุณชายใหญ่ซั่งกวนเป็นคนให้เขามาส่งข่าว
ญาติผู้พี่กลับมาแล้ว! เหตุใดเขาจึงกลับมาอย่างไม่บอกกล่าวอันใดเลยล่ะ? นางยังไม่ทันได้จัดการกับปัญหา นางยังไม่ทันที่จะผลักภาระของเรื่องทั้งหมดให้พ้นตัว ไฉนญาติผู้พี่จึงกลับมาเช่นนี้เสียแล้ว?
นางไม่รู้ว่านางควรทำอย่างไรดี? ทั้งไม่รู้ว่านางสามารถทำอะไรได้? ทำได้เพียงเดินไปเดินมาอยู่ในห้องทั้งสภาพที่ยุ่งเหยิง ส่วนสาวใช้ก็เตือนนางให้ขอความช่วยเหลือจากทั่วป๋าซู่เยวี่ย แต่ว่า อย่าพูดเลยว่าได้ล่วงเกินทั่วป๋าซู่เยวี่ยจนมีสภาพเช่นนั้นแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ล่วงเกินนาง แต่นางยังจะสามารถช่วยอะไรได้อีก?
“คุณหนู!” แม่นมเจี่ยเข้าไปในตระกูลซั่งกวนอย่างไม่ได้เหน็ดเหนื่อยมากนัก ก็พบกับทั่วป๋าฉินซินที่กำลังร้อนใจดั่งไฟสุมอก เห็นใบหน้าที่งดงามมาโดยตลอดของคุณหนูมีสภาพราวกับคนบ้าเดินวนเวียนไปมาในห้อง นางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
“แม่นมเจี่ย เจ้ามาเสียที!” ทั่วป๋าฉินซินคล้ายกับมีฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย รีบถลาเข้ามา กล่าวอย่างร้อนใจ “ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย! ญาติผู้พี่ต้องฆ่าข้าแน่! เขาต้องทำแน่ๆ!”
“คุณหนู เรื่องมันยังไม่ถึงขั้นนั้นเจ้าค่ะ!” พอแม่นมเจี่ยได้ฟังก็รู้ทันทีว่านางทราบเรื่องที่หน้าหอวีรบุรุษแล้ว จับมือนางทั้งกล่าวปลอบ “ท่านไม่เป็นอะไรหรอก ไม่อาจเป็นอะไรแน่ๆ เจ้าค่ะ!”
“ญาติผู้พี่ได้พาคนพวกนั้นออกมาแล้ว ย่อมต้องคิดแตกหักกับตระกูลทั่วป๋า เขายังให้คนเข้ามาเรียกข้าไปจัดการ!” ทั่วป๋าฉินซินคิดว่าหากไม่ใช่พราะอยากจะแตกหักกับตระกูลทั่วป๋า ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้หรอก นางพลิกมือจับแขนของแม่นมเจี่ย กล่าวอย่างลนลาน “ข้าต้องทำอย่างไร? ข้าควรทำอย่างไรดี? เจ้ารีบพูดมา รีบพูดมาสิ!”
“คุณหนู…”มือของแม่นมเจี่ยถูกทั่วป๋าฉินซินจับจนห้อเลือดขึ้นมา นางหดเกร็งไปเล็กน้อย กล่าวด้วยข่มกลั้นความเจ็บ “ในเมื่อคุณหนูรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องให้บ่าวมากความ ยามนี้มีเพียงฮูหยินใหญ่ที่สามารถปกป้องท่านได้ ท่านต้องไปพบฮูหยินใหญ่เดี๋ยวนี้!”
“นางจะช่วยปกป้องข้าได้อย่างไร? นางไม่อาจปกป้องข้าได้!” ทั่วป๋าฉินซินน้ำตาไหลริน กล่าวอย่างน่าสงสาร “นางในยามนี้เกลียดข้าจนจะเป็นจะตาย แล้วจะช่วยข้าได้อย่างไร? อีกอย่าง แม้ว่านางจะไม่เกลียดข้า ยังคงเหมือนกับแต่ก่อน ก็ไม่อาจปกป้องข้าได้เหมือนกัน เรื่องนี้ล้วนต้องโทษข้าที่ตัดสินใจไม่เด็ดขาด หากเวลานั้นตีผู้หญิงคนนั้นให้ตายจบๆ ไป ก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายขึ้นถึงเพียงนี้!”
“คุณหนู ยามนี้มาพูดเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมเจี่ยคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่นางคิดไม่ใช่ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร แต่กลับเป็นต่อว่าปัญหาที่ไม่รู้ว่าได้ต่อว่าไปกี่ครั้งแล้ว
“จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร! หากผู้หญิงคนนั้นตาย ข้าก็คงไม่ต้องส่งคนไปฆ่าปิดปากที่เรือนสดับวายุหรอก ทั้งก็คงไม่อาจเกิดเรื่องดั่งตอนนี้ แม้ว่าหลังจากญาติผู้พี่กลับมาจะโกรธเกรี้ยว แต่ก็คงไม่ทำเรื่องพวกนี้เพื่อคนตายเพียงคนเดียวหรอก ล้วนต้องโทษนาง นางกังวลว่าจะต้องแบกรับโทษทั้งหมด นางกลัวว่าจะถูกญาติผู้พี่และท่านลุงตำหนิ ทั้งนางยังกลัวว่าท่านลุงจะไม่สนใจความเป็นแม่ลูกส่งนางให้ผู้อาวุโสจัดการ เวลานั้น ท่านลุงและญาติผู้พี่ล้วนไม่อยู่ นางก็กลัวเสียเช่นนั้นแล้ว ยามนี้ ญาติผู้พี่กลับมา ทั้งยังทำเรื่องเช่นนี้อย่างไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย แล้วนางยังจะสามารถออกหน้าได้อีกรึ?” ทั่วป๋าฉินซินร้องเสียงแหลม หวาดกลัว หวั่นเกรง ทั้งโกรธแค้นปนกันไป นางในยามนี้แทบจะควบคุมตนเองไม่อยู่ นอกจากความเคืองแค้นต่อทั่วป๋าซู่เยวี่ย ก็ไม่มีความรู้สึกอื่นๆ อีกแล้ว
“คุณหนู…” แม่นมเจี่ยเห็นท่าทีที่แทบจะบ้าคลั่งของทั่วป๋าฉินซินก็จนใจ นางเติบโตมาด้วยการถูกตามใจพะเน้าพะนอมาโดยตลอด สิ่งเดียวที่ไม่ได้ดั่งใจก็คือความรู้สึกของซั่งกวนเจวี๋ย ครั้งนี้พบเจอกับเรื่องพวกนี้ นางเวียนหัวอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ เดิมทีก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร จึงทำได้เพียงกล่าวโทษคนอื่นให้ตนเองพ้นผิด
“ผัวะ…” ในที่สุดแม่นมเจี่ยก็ดึงมือออกมา ก่อนจะตบหน้าทั่วป๋าฉินซินอย่างไม่เกรงใจไปที ทำให้ทั่วป๋าฉินซินผู้ที่ไม่เคยถูกตีมาก่อนถึงกับชะงักไป จึงได้โอกาสพูดขึ้นมา
“คุณหนู ท่านฟังที่ข้าพูด ท่านในยามนี้ไม่อาจแตกตื่นได้ ต้องใจเย็นๆ นะเจ้าคะ!” แม่นมเจี่ยกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ฮูหยินใหญ่จะปกป้องท่านได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นางในยามนี้จำเป็นต้องปกป้องท่านให้ได้ ท่านเป็นคุณหนูภรรยาเอกของตระกูลทั่วป๋า มีศักด์เป็นหลานสาวของนาง ทั้งเป็นคนที่นางอยากจะได้เป็นหลานสะใภ้มาโดยตลอด เมื่อเรื่องมาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางย่อมไม่อาจผลักภาระได้ ดังนั้นนางจะต้องปกป้องท่าน!”
“แต่หากนางไม่ยอมล่ะ?” ทั่วป๋าฉินซินไม่กล้าไป หากไม่ไปก็ยังสามารถเหลือความหวังเส้นสุดท้ายไว้อยู่ หากไปแล้ว ถูกทั่วป๋าซู่เยวี่ยปฏิเสธอย่างตรงๆ ความหวังสุดท้ายของนางก็คงไม่มีเหลืออีกแล้ว
“นางไม่มีทางเลือก!” แม่นมเจี่ยครุ่นคิดระหว่างทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้ว่าเรื่องนี้ได้บานปลายจนเกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้ ในยามนี้พวกเขาทำได้เพียงปกป้องทั่วป๋าฉินซินให้ปลอดภัยก่อน จากนั้นค่อยคิดหาทางออก
“เช่นนั้นข้าหวีเผ้าสางผมแล้วจะเข้าไป!” ทั่วป๋าฉินซินรู้ว่ายามนี้ตนเองได้คล้ายกับหญิงที่เสียสติคนหนึ่ง แต่เมื่อฟังแม่นมเจี่ยพูดเช่นนี้ ก็ราวกับมีที่พึ่ง ดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย
“เข้าไปทั้งอย่างนี้จะดีกว่าเจ้าค่ะ!” แม่นมเจี่ยขวางนางไว้ “ข้าได้ให้คนเตรียมเกี้ยวให้แล้ว คุณหนูไปทั้งอย่างนี้ ฮูหยินใหญ่จะยอมรับปากได้ง่ายกว่า”
“ได้!” ทั่วป๋าฉินซินในยามนี้คิดว่าชีวิตสำคัญที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ ไว้ค่อยคิดใหม่ได้ แม่นมเจี่ยพูดเช่นนี้แล้ว นางก็ทำตามแล้วกัน
มาถึงเรือนหลัง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงนอนอยู่บนเตียง ไม่สนใจการขัดขวางของแม่นมหนิงและเจียจือ ยามที่แม่นมอี้จงใจอ่อนข้อ นางก็บุกเข้าไปในห้องนอนของทั่วป๋าซู่เยวี่ย เสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น นางก็อยู่ในท่าคุกเข่า กล่าววิงวอนออกมา
“ช่วยเจ้า?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่เข้าใจว่านางเป็นบ้าอะไร บอกเป็นนัยให้อนุภรรยาหนิงที่เฝ้าอยู่ข้างกายนางพยุงนางให้ลุกขึ้นนั่ง มองทั่วป๋าฉินซินที่มีท่าทีอกสั่นขวัญแขวน ทั้งลนลานจนทำอะไรไม่ถูก ก็กล่าวอย่างเรียบเย็น “ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ จึงได้ทำให้เจ้าลดตัวเข้ามาดูหญิงแก่ที่ใกล้ตายอย่างข้า!”
“ญาติผู้พี่กลับมาแล้ว เขากลับมาแล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินพูดจาสะเปะสะปะ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขมวดคิ้ว เห็นแม่นมเจี่ยอยู่ด้านข้างก็กล่าวอย่างเยือกเย็น “แม่นมเจี่ย เจ้าพูดน่าจะดีกว่า! ข้าว่าตอนนี้คุณหนูของพวกเจ้า แม้แต่นามสกุลของตนเองก็เกรงว่าคงจะลืมไปหมดแล้ว!”
“ฮูหยินใหญ่ คุณชายใหญ่ซั่งกวนกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! อาจเป็นเพราะคำสั่งของเขา คนพวกนั้นที่บุกเรือนสดับวายุไม่กี่วันนั้นได้ถูกพวงเหล็กแทงสะบักหลัง ใช้โซ่มัดติดกัน ก่อนจะโยนทิ้งไว้ที่หน้าหอวีรบุรุษ เขาถึงกระทั่งให้คนเข้ามาเชิญคุณหนูจากในจวนออกไปจัดการเจ้าค่ะ!” คำพูดของแม่นมเจี่ยคล้ายกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ลงที่เหนือศีรษะของทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างจังๆ
“เจ้าว่าอะไรนะ? คนพวกนั้นยังไม่ตายอย่างนั้นรึ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคิดมาโดยตลอดว่าคนพวกนั้นได้ตายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้วยวิธีเช่นนี้
“ไม่ได้ตายเจ้าค่ะ! มีประมาณสิบสี่สิบห้าคนที่ปรากฏตัว บ่าวไม่รู้ว่านี่เป็นคนที่เหลือทั้งหมดหรือเป็นเพียงส่วนเดียวของคนที่เหลือรอดทั้งหมดกันแน่เจ้าค่ะ!” แม่นมเจี่ยกล่าวอย่างเรียบง่าย “การกระทำครั้งนี้ของคุณชายใหญ่ย่อมเป็นเพราะว่าระบายความแค้นแทนผู้หญิงคนนั้น ข้าคิดว่าเขาทำจนถึงขั้นนี้แล้ว ก็คงไม่อาจปล่อยคุณหนูของข้าไป อย่างไรขอฮูหยินใหญ่ช่วยปกป้องความปลอดภัยของคุณหนูข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
“ข้าบอกไปแล้วว่าเรื่องของนางข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเยือกเย็น “ขอเพียงแค่นางอยู่ที่เรือนใต้ของตระกูลซั่งกวนอย่างเชื่อฟัง ทำตัวเป็นแขกที่ดี ไม่ออกจากตระกูลก็ไม่อาจเกิดเรื่องอันใดได้หรอก ครั้งนี้เจวี๋ยเอ๋อร์เพียงแสดงให้พวกเราเห็น เขาต้องการให้พวกเรากลัว ให้พวกเรารู้ว่าเขาโกรธเกรี้ยวถึงเพียงไหน แต่เขาย่อมไม่อาจทำอะไรกับคนที่เป็นแขกของตระกูลซั่งกวนได้หรอก้”
“หากว่า…หากว่า…” สิ่งที่ทั่วป๋าฉินซินกังวลคือการที่ตัวเองต้องตายอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนโดยไม่ทันได้รู้อะไร
“ไม่มีคำว่าหากว่า!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเรียบเย็น “ถ้าหากแขกของตระกูลซั่งกวนเกิดเรื่องอะไร ชื่อเสียงของตระกูลซั่งกวนก็คงเสื่อมเสียเช่นกัน เจ้าจำคำข้าไว้ให้ดี อยู่ในตระกูลซั่งกวนอย่างสงบเสงี่ยม อย่าได้ออกไปไหน มิเช่นนั้น หากระหว่างทางเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็ไม่อาจกล่าวโทษคนอื่นได้! แม่นมเจี่ย บอกกับมู่เย่รายงายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ให้ผู้นำตระกูลอย่างละเอียด หากอยากจะทำให้เรื่องนี้สงบลง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าสามารถทำได้!”
“ความหมายของฮูหยินใหญ่ก็คือให้นิ่งไว้?” แม่นมเจี่ยคล้ายกับเข้าใจการจัดการของนาง เพียงแต่ยังคงลังเลอยู่บ้าง “แต่เรื่องนี้ร้ายแรงจนขนาดต้องให้ผู้นำตระกูลออกหน้าด้วยตนเองเลยหรือเจ้าคะ? หากผู้นำตระกูลมา ก็ยังไม่รู้ว่ายุทธภพจะเผยแพร่ข่าวลืออะไรออกมาอีก!”
“เดือนเก้าเป็นวันแต่งงานของหลิงหลง ตระกูลทั่วป๋าและตระกูลซั่งกวนเป็นตระกูลที่เกี่ยวดองกัน ล่วงหน้าเข้ามาส่งของกำนัลก็นับว่าสมเหตุสมผล ฮ่าวเอ๋อร์ประมาณต้นเดือนเก้าก็จะกลับมาจากเซิ่งจิง หากเชียนเย่ามาถึงเวลานั้นพอดี ปรึกษาแก้ไขเรื่องนี้กับฮ่าวเอ๋อร์ก็ยิ่งดี อย่างไรผู้หญิงคนนั้นก็เป็นภรรยาของเจวี๋ยเอ๋อร์ ทั้งเจวี๋ยเอ๋อร์ก็เป็นคนหนุ่ม ย่อมหุนหันพลันแล่นไปบ้าง ด้านฮ่าวเอ๋อร์ก็จะจัดการเรื่องราวด้วยความสุขุม!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเรียบนิ่ง แม้ว่าไม่อาจถอนกายออกไปได้ทั้งตัว แต่นางก็ไม่อาจสอดมือแล้ว ถึงแม้จะสอดมือยุ่งกับการตัดสินใจของลูกหลานก็ไม่ใช่เรื่องที่นางสามารถโน้มน้าวได้ ก็เหมือนกับในท้องพระโรงที่ผู้หญิงไม่อาจยุ่งกับงานบ้านงานเมืองได้ ฮูหยินของตระกูลก็ไม่อาจแทรกแซงเรื่องภายนอกบ้านได้เช่นกัน ยามนี้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภายในบ้านอีกแล้ว
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมเจี่ยพยักหน้า นางเข้าใจความหมายของทั่วป๋าซู่เยวี่ย ขอเพียงแค่คุณหนูรั้งตัวอยู่ที่ตระกูลซั่งกวนอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ออกไปด้านนอกจะดีที่สุด มิเช่นนั้นอาจจะถูกซั่งกวนเจวี๋ยกำจัดอย่างตรงๆ ก่อนหน้านี้นางไม่อาจเชื่อว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะสามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้ แต่ยามนี้นางไม่กล้าที่จะยืนยันแล้ว
“ฮูหยินใหญ่ พ่อบ้านจิ่นมาเจ้าค่ะ!” สาวใช้วิ่งตะลีตะลานเข้ามา นางพูดไม่ทันจบดี ซั่งกวนจิ่นก็พาหญิงแก่จำนวนหนึ่งเข้ามา ในมือยังถือพวกเชือกมาด้วย
“นี่เจ้าจะทำอะไร!” แต่ไหนแต่ไรทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็คาดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ซั่งกวนจิ่นบุกเข้ามาในห้องของตนเช่นนี้ นางตวาดอย่างโมโหทันที
“ตอบฮูหยินใหญ่ ข้าได้รับคำสั่งมาจากคุณชายใหญ่ ให้คุมตัวอนุภรรยาหนิงที่สร้างปัญหา ส่งไปที่เรือนบำเพ็ญเพียรเพื่อฝึกฝนจิตใจ!” ซั่งกวนจิ่นตอบกลับอย่างนอบน้อม อนุภรรยาหนิงตกใจจนเข่าอ่อนยวบลงที่หน้าเตียงทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทำเพียงก้มศีรษะติดพื้นอย่างไม่ส่งเสียงอันใด
“เหลวไหล! เป็นใครที่มอบอำนาจให้เขากล้าทำเช่นนี้!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้ หนิงซินจะถูกส่งไปที่เรือนบำเพ็ญเพียรของตระกูลได้อย่างไร? หากเป็นเช่นนั้นยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่!
“ขอฮูหยินใหญ่โปรดเข้าใจ ข้าเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น!” ซั่งกวนจิ่นกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “หากฮูหยินใหญ่ไม่ให้ความร่วมมือ อยากจะรั้งตัวอนุภรรยาหนิงไว้ ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูด ยิ่งไม่อาจทำให้ท่านลำบากใจ แต่ว่า หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ทำได้เพียงไปขอรับโทษต่อคุณชายใหญ่ ให้คุณชายใหญ่เชิญเหล่าผู้อาวุโสมาออกหน้าแทน!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอดสั่นสะท้านไม่ได้ เชิญผู้อาวุโส เดิมทีเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ ใดให้ตนเอง รวมกับเรื่องนี้ หากพวกเขาให้นางเข้าไปเรือนบำเพ็ญเพียรของตระกูลด้วยก็อาจจะเป็นไปได้
เห็นได้ชัดว่าอนุภรรยาหนิงก็คิดถึงจุดนี้ได้เช่นกัน นางโขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง “ข้าจะไปเจ้าค่ะ อวี่ไข่และพิงถิง ขอให้ฮูหยินใหญ่ช่วยดูแลด้วย! ฮูหยินใหญ่รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ!”
แม้จะเห็นอนุภรรยาหนิงเป็นฝ่ายยอมมา หญิงแก่สองคนก็ยังคุมตัวนางอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เมื่อซั่งกวนจิ่นเห็นว่ามัดเชือกเรียบร้อยแล้ว ก็กล่าวกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างเคารพนับถือ “ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่เมตตา! ข้าจะไปจัดการตามคำสั่งคุณชายใหญ่เดี๋ยวนี้!”
“ไสหัวไปเสีย!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตวาดอย่างรุนแรง
“ขอรับ!” พ่อบ้านจิ่นไม่โกรธแม้แต่น้อย พาคนจากไป ในยามที่เดินไปถึงปากประตูจู่ๆ ก็หันกายกลับมา “ยุ่งตั้งแต่เช้าตรู่ เกือบลืมเสียว่ายังมีอีกเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานกับฮูหยินใหญ่ คุณชายอวี่ไข่คบหาสหายอันธพาล ทั้งยังพาเข้ามาในตระกูล สร้างความหวาดกลัวและวุ่นวายในจวน ลงโทษตีห้าสิบไม้ คงไม่อาจไปน้อมคารวะฮูหยินใหญ่ชั่วคราว ส่วนคุณหนูพิงถิงถูกกักบริเวณ ไม่อาจไปน้อมคารวะฮูหยินใหญ่ชั่วคราวทั้งไม่อาจไปเยี่ยมเยือนท่านตามใจได้เช่นกัน นอกจากนี้ มีสาวใช้ที่ไม่เจียมตัวสร้างข่าวลือใส่ร้ายเจ้านายโดยพลการ ได้ถูกลงโทษให้โบย ยังมีจำนวนหนึ่งที่เป็นผู้ตามได้ถูกขังไว้ รอหลังจากสะใภ้ใหญ่กลับมาค่อยจัดการ เรื่องพวกนี้ฮูหยินใหญ่ทราบไว้จะดีกว่าขอรับ!”
“ไสหัวไป…” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยขว้างโถยาที่เอือมถึงออกไป ซั่งกวนจิ่นคลี่ยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดจะหลบสักนิด มองโถยานั้นแตกกระจายอยู่ตรงหน้า ก่อนจะโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม พาอนุภรรยาหนิงที่เกิดดิ้นรนขึ้นมาออกไป
“เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วพวกเจ้าพอใจรึยังล่ะ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองทั่วป๋าฉินซินและแม่นมเจี่ยที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรด้วยสายตาเยียบเย็น กล่าวอย่างท้อแท้ใจ พวกเจ้าไปเถิด! ไปกันให้หมด! ให้ข้าอยู่เงียบๆ สักพักเถิด!”
———————