เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 177 อนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้
ไม่ว่าจะเกิดมรสุมอะไรขึ้นข้างนอก เรือนหิมะสุขใจกลับอบอุ่นและเงียบสงบ ซั่งกวนเจวี๋ยยิ่งปิดผนึกข่าวลือที่อยู่ภายนอกอย่างแน่นหนา ไม่ให้ส่งผ่านเข้าไปในเรือนหิมะสุขใจแม้แต่น้อย ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่รอข่าวลือแพร่เข้ามานั้นผิดหวังจนน้ำตาไหลออกมา
ซั่งกวนเจวี๋ยต้องเจียดเวลาทุกวันเพื่อทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงของเมืองลี่โจว…ตัวอย่างเช่นสภาพของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ถูกทั่วป๋ามู่เย่นำตัวกลับไป ทั่วป๋าฉินซินเลือดเย็นซ่อนตัวอยู่ในตระกูลซั่งกวนโดยไม่แม้แต่จะไปดูข่าวที่แพร่กระจายไปทั่ว ชื่อเสียงของทั่งป๋าฉินซินในเรื่องของความใจดำอำมหิต ใจร้ายเลือดเย็น ไร้ยางอาย ชั่วร้ายเลวทรามไม่อาจปกปิดได้ มีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับซั่งกวนอวี่ไข่มากขึ้น ขาดแต่ไม่มีใครสาบานว่าเคยเห็นทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย แต่มีคนฉลาดเสมอ ประโยคเดียวอธิบายทุกอย่าง ‘คุณหนูที่มาจากตระกูลทั่วป๋ามีคุณธรรม! ทั่วป๋าซู่เยวี่ยซึ่งเดิมทีไม่เป็นที่รู้จักได้สลัดชื่อของฮูหยินใหญ่ตระกูลซั่งกวนออกชั่วคราว และถูกคุณหนูสายตรงทั่วป๋าเข้ามาอยู่แทนที่’
เมื่องานประลองยุทธ์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็เริ่มมีงานพบปะสังสรรค์เพิ่มขึ้น ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น…นางต้องการชมความตื่นเต้น! นางอยากออกไปสร้างปัญหา! นางอยากจะดื่มด่ำกับความป่าเถื่อนสักครั้ง! นางค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าตั้งครรภ์ แม้จะเพิ่งผ่านไปไม่ถึงยี่สิบวัน แม้จับชีพจรก็ยังดูไม่ออก แต่ก็มั่นใจมาก ดังนั้นนางจึงอยากออกไปเที่ยวเล่นตามอำเภอใจสักสองสามวัน ข้ามภูผานี้ก็ไร้สกุณาร้องแล้ว ถ้าพลาดโอกาสนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหนีไปเที่ยวได้สักสองสามวัน!
แต่นางควรใช้ข้ออ้างอะไรในการต่อสู้กับเจวี๋ย แล้วปิดประตูสนิท ไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาในห้องไหม? ปวดหัวจัง!
“มี่เอ๋อร์ เจ้าคิดอะไรอยู่?” ซั่งกวนเจวี๋ยเดินเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียงจึงเห็นภรรยาตัวน้อยนั่งงุนงงอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ ไม่ทราบว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้นางมีท่าทีเช่นนี้
“ท่านพี่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะโกนอย่างมีเสน่ห์แสนงอน เข้ามาคลอเคลียในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดอย่างหดหู่ว่า “ข้าแค่เบื่อนิดหน่อยเอง! โธ่…ก็ไม่รู้ว่าทำไม ไม่อยากทำอะไรเลย อยากออกไปเดินเล่นรอบๆ จำได้จิงอิ๋งเคยบอกว่า งานประลองยุทธ์เป็นงานช้างที่ยิ่งใหญ่ระดับยุทธภพ คนที่ไม่ได้เห็นงานใหญ่โตมโหฬารของงานประลองยุทธ์ถือว่าไม่ใช่ชาวยุทธ์ ข้าไม่เคยเห็นงานอลังการเช่นนี้ จึงอยากรู้มากเลย!”
“มี่เอ๋อร์อยากออกไปเดินเล่นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ทิศทางลมของข่าวลือได้เปลี่ยนไปแล้วในสองวันที่ผ่านมา แต่กลับมีคำพูดใหม่ออกมา โดยบอกว่าเขา ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะหญิงงาม’ ความคับข้องใจและคับแค้นใจที่ภรรยาสุดที่รักต้องทนทุกข์ทรมาน จึงไม่ลังเลว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลทั่วป๋า และไม่สนใจว่าจะชนงัดข้อกับฮูหยินใหญ่ แม้จะไม่มีใครพูดมากเกินไป แต่ชื่อว่า ‘นารีเป็นเหตุ’ ก็พุ่งเป้าไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างดิ้นไม่หลุด
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองสีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างค่อนข้างผิดหวัง เสียงบ่นอู้อี้มากขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่หรอก ตามกฎของกุลสตรีจะปรากฏตัวในวงสังคมได้อย่างไร ตราบใดที่ท่านพี่เล่าให้ข้าฟังว่าทุกวันไปเจอเรื่องสนุกอะไรบ้างก็ดี!”
ซั่งกวนเจวี๋ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างรักสุดหัวใจ ยิ่งนางใจดีรู้สึกผิดกับตัวเองมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและเป็นทุกข์มากขึ้นเท่านั้น คิดจะถามอีกสองสามคำ กระนั้นเสียงของม่านเหอก็ดังขึ้นด้านนอกประตู “คุณชายใหญ่ พ่อบ้านจิ่นส่งคนมาแจ้งท่าน บอกว่านายท่านอินกลับจวนพร้อมภรรยาและลูกๆ แล้ว แล้วถามว่าท่านอยากเจอไหม!”
“ลุงอินกลับมาแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยดีใจมาก แม้จะรู้ว่าอินหงหลันอาจจะกลับมาในช่วงงานประลองยุทธ์ แต่ที่ผ่านมาไม่ได้พบเขาเลย ก็ไม่เห็นเขาส่งคนมาส่งจดหมาย ยังคิดว่าเขาจิตใจบริสุทธิ์เหมือนเด็กด้วยซ้ำ เที่ยวเล่นจนไม่อยากกลับมา
“ลุงอินก็คือคนที่เจ้าเล่าว่าเป็นหมอยาผู้เก่งกาจใช่ไหม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าด้วยความประหลาดใจแปลกๆ ก็พูดกลั้วหัวเราะทันทีว่า “ม่านเหอ บอกเยี่ยนเซียงเตรียมม้า คุณชายใหญ่จะกลับจวน!”
“เจ้าไม่กลับไปกับข้าหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยระบายยิ้มพรมจูบเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้เรือนหิมะสุขใจจะสะดวกสบายมาก แต่ก็ยังไม่ดีเท่าบ้าน
“ที่นี่ดีมาก ขออยู่ต่ออีกสักสองสามวันเถิด!” ความลำบากใจที่ฉายในแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นได้อย่างชัดเจน นางลำบากใจเพราะเมื่อกลับจวนก็จะออกไปดูความสนุกสนานได้ยากยิ่งขึ้น ไม่สิ ไม่มีทางต่างหาก ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยคิดว่านางไม่เต็มใจจะพบหน้ากับทั่วป๋าซู่เยวี่ยและคนอื่นๆ อีก หลังจากครุ่นคิด รู้สึกว่าอยู่ต่อไปอีกสักสองสามวันจะดีกว่า เขามีธุระหลายสิ่งหลายอย่างในสองสามวันนี้ เป็นช่วงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับทั่วป๋าซู่เยวี่ยและคนอื่นๆ ยามนี้อาจเกลียดตัวเองและมี่เอ๋อร์จนเข้ากระดูกดำ ถ้าพวกนางทำอันตรายมี่เอ๋อร์อย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ถ้าเขามาช่วยชีวิตไม่ทัน เขาก็ไม่มีที่จะไปซื้อยาแก้โรคเสียใจภายหลัง
“มี่เอ๋อร์อยากออกไปข้างนอกหรือ? มีสถานที่พิเศษที่อยากไปหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยเห็นภรรยาที่รักของเขาเศร้าหมองเป็นไม่ได้จึงกล่าวว่า “ข้าจะให้เยี่ยนเซียงอยู่ที่นี่ และคนขับรถม้าที่แข็งแกร่งให้เจ้า เจ้าพาบรรดาสาวใช้ออกไปเดินเล่นได้ตามใจชอบ แต่ห้ามไปในที่ที่อันตรายพวกนั้น!”
“ข้าอยากไปตรอกชิงอวี่ ที่นั่นมีร้านเครื่องแป้งเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งส่งเครื่องประทินโฉมมาให้ก็ไม่เลวเลย ได้ยินมาว่าพวกนางมีสินค้ามากมาย ข้าอยากไปลองดูสักหน่อย!” ครั้นได้ยินเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พูดอย่างตื่นเต้นทันที
“ร้านเครื่องแป้ง? ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ!” ทันทีที่ซั่งกวนเจวี๋ยได้ยินก็หัวเราะ ผู้หญิงก็คือผู้หญิง ไม่ว่าผู้หญิงจะสวยแค่ไหนก็ชอบหวีผมแต่งตัว จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้พวกเซียงเสวี่ยและม่านเหอไปด้วย ไปเป็นเพื่อนคนขับรถม้าหลายๆ คนข้าก็สบายใจ!”
“ขอบคุณท่านพี่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะอย่างสุขใจไม่ได้ และวางแผนในใจว่าจะพาตงอวี่ลอบกลับมาได้อย่างไร
“ดูว่าเจ้าช่างมีความสุข!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มและจูบนางที่ใบหน้า ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของม่านเหอก็เรียกว่า “ม่านเหอ เจ้าเข้ามาหน่อย!”
“นายน้อย สะใภ้ใหญ่!” ม่านเหอทำความเคารพทั้งสองแล้วฟังคำสั่งของพวกเขา ตอนนี้สาวใช้ทุกคนเรียนรู้ได้ดี ตราบใดที่ซั่งกวนเจวี๋ยอยู่เรือน ถ้าไม่เรียกก็จะไม่ได้เข้ามาในห้อง ใครๆ ต่างรู้ว่าคู่รักหนุ่มสาวคู่นี้ดูเหมือนจะตกอยู่ในโถน้ำผึ้งก็ไม่ปานในยามนี้ สนิทแนบแน่นจนคนพากันอิจฉาตาร้อนผ่าว
“เดี๋ยวสะใภ้ใหญ่จะออกไปข้างนอก เจ้าดูสะใภ้ใหญ่พาเหล่าสาวใช้ออกไป สั่งให้ทุกคนเตรียมเกี้ยว!” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้บอกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไปที่ใด แต่เขาเชื่อว่านางรู้จักบันยะบันยังมาตั้งแต่เด็ก
“ออกไปข้างนอก?” ม่านเหองงงวยเล็กน้อย ทว่านางได้ยินข่าวลือมาบ้าง และรู้ด้วยว่าซั่งกวนเจวี๋ยให้ปิดปากสนิทซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวลือโคมลอยเหล่านั้นไปถึงหูของสะใภ้ใหญ่ ทำไมจู่ๆ จึงตกลงให้สะใภ้ใหญ่ออกไป? ไม่กังวลว่าข่าวลือโจษจันเหล่านั้นจะเข้าหูสะใภ้ใหญ่หรือ?
“ใช่แล้ว ข้าอยากไปร้านเครื่องแป้งที่พวกเจ้าซื้อแป้งชาดมาครั้งที่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความเบิกบานใจแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ให้ลู่หลัวกับเซียงเสวี่ยเตรียมตัวครู่หนึ่ง และพาพวกเจ้าทั้งสามคนออกไป โดยเฉพาะเจ้ากับลู่หลัว พวกเจ้าก็จะเลือกวันแต่งงานได้หลังจากที่เรื่องเหล่านี้จบลง เตรียมแป้งชาดให้มากหน่อยก็เป็นเรื่องดีด้วย”
เรื่องของลู่หลัวและเยี่ยนเซียงนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ตะล่อมถามจากปากของซั่งกวนเจวี๋ย ไม่คาดคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยรู้เรื่องนี้แล้ว และมีความสุขที่ได้เห็นมันเกิดขึ้น จึงตัดสินใจรอวันที่วุ่นวายจบลงจะได้ส่งม่านเหอออกไปแต่งงานพร้อมๆ กัน
ที่แท้ไปร้านเครื่องแป้ง! ม่านเหอพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วออกไปบอกสาวใช้ทั้งสอง ขณะที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปส่งซั่งกวนเจวี๋ยที่หน้าประตูอย่างร่าเริงและค่อยๆ กลับมา
“เดี๋ยวเจ้านำสิ่งนี้ติดตัวไปด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่งห่อสัมภาระอันหนักอึ้งให้เซียงเสวี่ยอย่างลึกลับ พอเซียงเสวี่ยรับหิ้วก็แทบจะกรีดร้อง
“นี่อะไรหรือเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่คล้ายก้อนหินเหล่านั้นคืออะไร เหตุใดต้องให้ตัวเองถือสิ่งเหล่านี้ไปกับตัวด้วย
“ก้อนหิน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เดี๋ยวเจ้าเอาสิ่งนี้ขึ้นเกี้ยว เมื่อไปถึงร้านเครื่องแป้งก็โยนมันทิ้ง จากนั้นไปหาตงอวี่แล้วบีบให้ขึ้นเกี้ยวพร้อมกับเจ้า รับตงอวี่มาด้วย
“ท่านต้องการทำอะไรเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยรู้ดีว่านางทำเรื่องอะไรอยู่ นางยังเล่นไม่พออีกหรือ?
“ข้าจะหาเหตุผลว่าคลื่นไส้อาเจียนกับสามี ป้องกันไม่ให้เขาเข้าห้อง หรือแม้แต่ไล่เขาให้กลับไปพักที่จวน แล้วข้าก็ออกไปวิ่งเล่นสักสองสามวัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเรื่องนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากเซียงเสวี่ย จึงไม่ปิดบังนาง พูดตรงๆ
“ยังเล่นอีกหรือเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างมึนงงแล้วพูดอย่างดุเดือดว่า “ไม่ได้! ท่านไม่ได้บอกว่าท่านตั้งท้องแล้วหรือ? ไม่สามารถกระโดดไปไหนต่อไหนได้ ข้าไม่เห็นด้วยนะเจ้าคะ!”
“แค่ยี่สิบกว่าวันเอง ยังจับแม้แต่ชีพจรตั้งครรภ์ไม่ได้ นับเป็นกระไรได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เซียงเสวี่ย เจ้าอย่าลืมสิ ตามสมรรถภาพทางกายของข้า ต่อให้จะตั้งครรภ์เจ็ดแปดเดือน กระโดดขึ้นลงก็จะไม่เป็นอะไร! ข้าอยากรู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง และอยากรู้ว่าสามีล้างความคับแค้นที่ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร!”
ล้างความคับแค้น? นางคับแค้นอะไร? ความคับแค้นที่สุดคือคนอื่นดีด้วยหรือไม่! เซียงเสวี่ยเหล่มองนาง ปฏิเสธที่จะพูดจา
“เจ้าลองคิดดูนะ รออีกสิบกว่าวัน งานประลองยุทธ์ก็จะสิ้นสุดลง ชีพจรของข้าก็จะปรากฏชัดขึ้นด้วย ในท้องเป็นหลานชายคนโตของตระกูลซั่งกวน เป็นลูกคนแรกของสามี ไม่รู้ว่าเขาจะตื่นเต้นถึงขั้นไหน…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเซียงเสวี่ยอย่างเศร้าสร้อยแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้นข้ายังจะทำอะไรได้บ้างนอกจากกินนอนและเดินเล่นบ้างเป็นครั้งคราว? เกรงว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลย! ตั้งครรภ์สิบเดือน แถมยังอยู่เดือนอีกตั้งหนึ่งเดือน ข้าจะอยู่บ้านอย่างน้อยหนึ่งปี…โอ๊ยๆ…ข้าเบื่อตายแน่นอน!”
เซียงเสวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่คร่ำครวญอย่างดุดัน หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่จึงถามว่า “เมื่อตงอวี่เข้ามาท่านหมายมั่นปั่นมือจะทำอะไรเจ้าคะ?”
“หาทางทะเลาะกับสามี แล้วฉวยโอกาสดอดหนีออกไป! ข้าสัญญาว่าจะออกไปอย่างสงบแน่นอน แล้วจะกลับมาเหมือนเดิม ส่วนตงอวี่ ฝีมือของนางดีกว่าเจ้ามาก รอจนกว่าเราจะออกไปจากเรือนหิมะสุขใจแล้วนางจะหนีออกไปก็ง่ายกว่ามากไม่ใช่หรือ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าเซียงเสวี่ยเห็นด้วย จึงบอกแผนการคร่าวๆ ของตนทันที
“ทราบแล้ว ข้าจะร่วมมือกับท่านเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยมองค้อนนางขวับหนึ่ง รู้ว่านางต้องการออกไปเปิดหูเปิดตา ใครใช้ให้ซั่งกวนเจวี๋ยทำให้เรือนหิมะสุขใจดูเหมือนกรงเหล็ก ไม่มีข่าวเล็ดลอดผ่านเข้ามาแม้แต่น้อย กลับสนองความต้องการของนางที่จะชมความตื่นเต้นไม่ได้
“ข้าจะถือของสิ่งนี้เมื่อออกไปข้างนอกได้สักพัก แล้วยื่นให้เจ้าที่หน้าเกี้ยว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถือถุงหินในมืออย่างระมัดระวังแล้วพูดด้วยรอยยิ้มกริ่มว่า “มันหนักเกินไปจริงๆ แต่ไม่ทำให้เจ้าเหนื่อยหรอก!”
เซียงเสวี่ยมองค้อนนางอย่างปะหลับปะเหลือกอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก อันที่จริงก้อนหินนี้มีน้ำหนักประมาณหกสิบเจ็ดสิบชั่ง ตนไม่เคยฝึกกำลังภายใน แม้จะถือมันได้ แต่กลับไม่สามารถยกของหนักได้เบาดุจปุยนุ่นเหมือนนางที่ราวกับไม่มีน้ำหนักได้ ถ้าเดินออกจากเรือนไปสักระยะหนึ่งแล้วถูกคนจับได้มันคงจะไม่งาม
“สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ…” ลู่หลัวเข้ามาอย่างชื่นมื่น จับมือเซียงเสวี่ยด้วยรอยยิ้มแป้นแล้วเอ่ยว่า “เกี้ยวมาแล้ว อยู่ข้างนอกประตู เราควรออกเดินทางเลยไหมเจ้าคะ?”
“ยัยสาวใช้ตัวแสบ!” จื่อหลัวตามเข้ามาดุพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า “สะใภ้ใหญ่ เกี้ยวพร้อมแล้ว พวกท่านไปไวมาไวนะเจ้าคะ!” ขณะพูดอยู่ก็ไปหยิบห่อสัมภาระบนโต๊ะ พอหยิบได้แป๊บเดียว นางรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างได้ คลายมือออก จงใจพูดบ่นติดตลกว่า “ข้าเป็นอะไรไปนี่ ยังไม่ทันได้ออกไปพ้นเรือนชานก็ไหว้วานคนให้แบกห่อสัมภาระ เซียงเสวี่ยเจ้ามาช่วยหน่อยเถอะ!”
หิ้วไม่ไหวล่ะสิท่า! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มเล็กน้อย ถือห่อสัมภาระไว้ในมืออย่างสบายใจแล้วพูดว่า “มาข้าเองแล้วกัน แต่จะให้เซียงเสวี่ยกับลู่หลัวคิดว่าพาพวกนางออกไปหอบหิ้วสัมภาระไม่ได้นะ!”
จื่อหลัวลอบตกตะลึงในใจ ในที่สุดนางก็เชื่อว่าเจ้านายของตนเป็นวรยุทธ์จริงๆ ในยามนี้…
—————–