เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 182 ถูกปฏิเสธ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าตนไม่ควรออกมาข้างนอกในวันนี้!
เมื่อนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของลี่หูชุน นางทำได้แค่หาช่องมุดหนีเข้าไป…เพราะซั่งกวนเจวี๋ยอยู่ตรงข้ามกับนาง ฉีอวี่ฮ่าวอยู่ถัดจากซั่งกวนเจวี๋ย และฉีอวี่เจวียนดรุณีน้อยนั่งข้างฉีอวี่ฮ่าวซึ่งมองดูนางอย่างอยากรู้อยากเห็น ลู่เหยาก็เหล่มองนางคล้ายจะยิ้มก็ไม่เชิง ส่วนข้างๆ เขาคือผู้หญิงที่ดูไม่สะดุดตาในแวบแรก แต่หลังจากเพ่งมองอีกสองสามครั้งก็วางตาไม่ลง
“เจ้าเป็นคนที่พี่ชายของข้าชอบหรือเปล่า?” ฉีอวี่เจวียนมองผู้หญิงตรงหน้านี้ซึ่งสวมหน้ากากผีเสื้อและมีความงามที่สวยสะคราญแปลกตาด้วยความอยากรู้ นางพบว่ามีบางอย่างผิดปกติจากสีหน้าประหลาดใจของฉีอวี่ฮ่าว
“เจ้าควรถามพี่ชายของเจ้าแทนที่จะถามข้านะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าฉีอวี่เจวียนจะถามตรงๆ เช่นนี้ ในระหว่างงานดอกบัวซึ่งอยู่ด้วยกันไม่นานนัก แต่ก็ทำให้นางรู้ว่าเด็กสาวที่ใบหน้าไร้เดียงสาผู้นี้ค่อนข้างรับมือยาก
“ทำไม?” ฉีอวี่เจวียนกล่าวอย่างไม่เป็นมิตรว่า “เจ้าไม่รู้ว่าพี่ชายของข้าชอบเจ้าหรือไม่?”
“ทำไมข้าต้องรู้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มด้วยความโกรธเมื่อถูกนางถามอย่างก้าวร้าว ไม่เคยรู้มาก่อนว่ายังมีคนที่น่ารำคาญมากกว่าตัวนางเองเสียอีก จึงยังคงดูแคลนเด็กหญิงตัวน้อย
“อวี่เจวียน!” ฉีอวี่ฮ่าวตะโกนเตือนคำหนึ่ง ถ้ารู้ก่อนว่าจะได้พบกับคุณหนูสุรา เขาจะไม่พูดอะไรและจะไม่พาอวี่เจวียน ออกมาด้วย ต่อให้นางจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
“ข้าพูดผิดตรงไหนหรือ?” ฉีอวี่เจวียนจดจ้องเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างไม่สำรวมกิริยาแม้แต่น้อยแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เพราะชอบนาง จึงปฏิเสธแต่งงานกับตระกูลเฉียนหรอกหรือ? ทำไมข้าดูไม่ออกว่านางจะมีอะไรดีสักนิด? เจ้าชอบนาง! พี่ปั๋วอวี่ก็ชอบนางเหมือนกัน พี่หลินจี้ก็เหมือนกัน ข้าว่าพวกเจ้ามีตาหามีแววไม่!”
“เคยเห็นไหม? มีคนบอกว่าคนที่ชอบเจ้ามีตาหามีแววไม่” ลู่เหยาแกล้งหัวเราะสัพยอกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ พวกเขาเคยมีวาสนาได้เจอกัน ถ้าไม่ใช่เพราะหัวใจของตนเองมีเจ้าของ ไม่แน่อาจจะชอบนางเข้าด้วย
“แค่เจ้าตาถึงก็ยังดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องมองเขาเขม็ง และทันใดนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือผู้ที่เล่าลือกันอยู่ใช่ไหม? ข้าว่าเจ้าตาถึง แต่น่าเสียดาย…”
“น่าเสียดายอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาเคยคิดว่าหากได้พบคุณหนูสุราอีกครั้งเขาจะดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าเขากลับเพียงแค่ดีอกดีใจ ได้เห็นนางสบายดี รู้ว่านางอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งยังคงเป็นคนที่ปากร้ายในความทรงจำ แต่ความรักที่ลึกซึ้งนั้นดูเหมือนจะฝังตราตรึงอยู่ในใจไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด เมื่อได้เห็นนางแม้จะยังคงโลภอยากยลรอยยิ้มของนาง ใจสั่นอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นอีกต่อไป
“น่าเสียดายที่พี่สาวผู้นี้ก็มีตาหามีแววไม่ ชอบเขาเข้าแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำตามซั่งกวนเจวี๋ยล้อเลียนกลับไป ในขณะที่
ลู่เหยายิ้มอย่างขมขื่นยกมือคำนับยอมแพ้ อิ๋งเอ๋อร์ไม่ต้องการใครสักคน ถ้าทำให้นางรำคาญ มีแต่เขาที่ต้องเดือดร้อน
“พี่สาวนามว่ากระไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นท่าทีของลู่เหยา จึงชื่นชมหญิงสาวผู้นี้ที่สามารถทำให้ลู่เหยาซึ่งเป็นคนที่ลอยลู่ไปตามแรงลมตกหลุมรักได้อย่างเงียบเชียบ และคนที่น่ากลัวเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก!
“สืออิ๋ง!” หญิงสาวเอ่ยอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และน้ำเสียงเรียบๆ นี้ที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถได้ยินลักษณะพิเศษแต่อย่างใด
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ลู่เหยามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างประหม่า เขาเคยสัมผัสกับความป่าเถื่อนและพลังของนาง
“ข้าจะทำอะไรได้?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขี้เล่นมากและพูดด้วยเสียงที่ทำให้มึนงงว่า “ข้าแค่อยากรู้นามกรของพี่สาวผู้นี้ที่ทำให้เจ้าใฝ่ฝันคะนึงถึงเท่านั้นเอง…พี่สืออิ๋งไม่รู้หรอก ข้าจริงใจกับลู่เหยา ขาดแต่ไม่ได้ควักหัวใจออกมาแสดงให้เขาเห็น ด้วยเหตุนี้…”
“ข้าได้ยินเขาเล่าถึง” สืออิ๋งแย้มยิ้มอย่างหายากแล้วพูดว่า “ด้วยเหตุนี้เขายังไม่ได้หลงกล จึงดื่มเหล้าหมดรวดเดียว ไม่แบ่งให้เจ้า ใช่ไหม!”
พวกผู้ชายหลายคนที่อยู่ในเวลานั้นหัวเราะครื้นเครง เมื่อได้ยินคำพูดของสืออิ๋งก็หัวเราะพร้อมเพรียงกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องมองพวกเขาแวบหนึ่งและหลุดขำออกมาเช่นกัน ถลึงตาจ้องมองลู่เหยาอย่างดุดัน “นั่นนะสิ! ข้าพูดคำไพเราะเพราะพริ้งตั้งมากมาย เสียตรงที่เขาไม่หวั่นไหว มันน่าผิดหวังเสียจริง”
“วันนี้ข้าชวนเจ้าไปดื่มให้พอใจ หายกันเถอะนะ” ลู่เหยาส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แต่ชอบนางที่ล้อเล่นได้โดยไม่ได้เจือเสน่หาระหว่างชายหญิงจริงๆ
“วันนี้ข้าไม่ดื่ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าเชิญชวนให้คนดื่มและดูคนดื่ม แต่ข้าไม่ดื่มเอง พวกเจ้าดื่มได้เต็มคราบ ถ้าเงินค่าเหล้าไม่เพียงพอจะมีคนโง่มาช่วยหักบัญชี”
“คนน่าสงสารผู้นั้นถูกเจ้าเอาเปรียบอีกแล้วหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองนางอย่างขบขัน ระงับความรู้สึกที่สั่นไหวเล็กน้อยในใจไว้ ทันใดนั้นก็นึกถึงมู่หรงปั๋วเย่
“เป็นพี่ใหญ่อีกแล้ว” มู่หรงปั๋วอวี่อธิบายความสับสนให้เขาแล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า “แม่นางยังไม่รู้กระมัง ลี่หูชุนเป็นกิจการของตระกูลผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามกับเจ้า เขาคือซั่งกวนเจวี๋ย”
“ซั่งกวนเจวี๋ยที่สร้างปัญหาเกรียวกราวไปทั่วเมืองเมื่อไม่กี่วันนี้หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามอย่างจงใจ
“ใช่ ข้าชื่อซั่งกวนเจวี๋ย!” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่ามู่หรงปั๋วอวี่หมายถึงอะไร เขาบอกฐานะของตนคือการบอกคุณหนูสุราผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าว่าเขามีภรรยาแล้ว ในบรรดาห้าคน คุณหนูสุรามองเขาเป็นพิเศษมาตลอดและเข้าใกล้มากขึ้น พวกเขาก็เห็นอยู่ในสายตาเช่นกัน
“ภรรยาของเจ้าสวยอย่างที่เล่าลือจริงหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เองแลบลิ้นออกมาในใจ
“พี่สะใภ้เจวี๋ยสวยกว่าที่เล่าลือกันมาก!” ฉีอวี่เจวียนเพียงแค่ไม่ได้มองนางแล้วพูดแทรกอย่างเย็นชาว่า “พี่สะใภ้เจวี๋ย งามประหนึ่งเทพธิดาก็มิปาน ทั้งยังฉลาดปราดเปรื่องหาตัวจับยาก ไม่ใช่คนธรรมดาจะทัดเทียมได้ แน่นอนเจ้าก็เช่นกัน”
“อวี่เจวียน!” ฉีอวี่ฮ่าวตวาดด้วยเสียงเฉียบขาดแล้วพูดอย่างเถียงไม่ออกว่า “ถ้าเจ้าปากมากอีกข้าจะให้ออกไป!”
“ออกก็ออกสิ!” ฉีอวี่เจวียนยืนขึ้นอย่างมีน้ำโห มองฉีอวี่ฮ่าวอย่างดุเดือดแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าคิดว่าชอบได้ก็จบ เจ้าไม่มีทางได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้หรอก!”
“ข้าก็ไม่มีทางแต่งงานกับพี่ชายของเจ้าเช่นกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองฉีอวี่เจวียนอย่างสงบแล้วพูดจริงจังว่า “เราเป็นแค่สหายกัน สหายที่สามารถสนทนาและหัวเราะด้วยกันได้อย่างอิสระเท่านั้นเอง สหายที่ไม่ข้องเกี่ยวความรักระหว่างชายหญิง ดังนั้นเจ้าโปรดอย่าเข้าใจผิด”
“แต่พี่ชายชอบเจ้า เจ้าจะไม่ชอบเขาได้อย่างไรเล่า?” ก่อนหน้าฉีอวี่เจวียนยังเกลียดคุณหนูสุราเพราะว่า ‘ล่อลวง’ พี่ชาย ในชั่วพริบตาก็เริ่มเจ็บใจแทนฉีอวี่ฮ่าว
“มันเป็นเรื่องของเขาที่เขาชอบข้า ข้ามิอาจเข้าไปยุ่งได้ แต่ข้าอยากจะอธิบายว่าข้ายอมรับไม่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองฉีอวี่เจวียนอย่างใจเย็น และมองคนอื่นๆ ที่ประหลาดใจแล้วพูดจริงจังหนักแน่นว่า “คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ข้าไม่มีสิทธิ์บอกว่าอนุญาตให้เจ้าชอบข้า แต่ข้ามีสิทธิ์ปฏิเสธพวกเจ้า”
“รวมถึงเจวี๋ยด้วยหรือไม่?” ฉีอวี่ฮ่าวเอ่ยถามอย่างค่อนข้างเจ็บปวดและเผ็ดร้อน หากแม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ยนางก็บอกว่าไม่ชอบ เช่นนั้นพวกเขาก็จะยิ่งหมดลุ้น ดูเหมือนจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง
“ไม่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะมีสถานะแบบไหนก็ตาม นางชอบเจวี๋ย ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นางมองซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วพูดว่า “ข้าชอบเจ้ามาก แล้วเจ้าชอบข้าหรือไม่?”
ทุกคนเงียบสนิท แม้ฉีอวี่ฮ่าวและคนอื่นๆ จะรู้ในใจว่าคุณหนูสุรานั้นแตกต่างจากซั่งกวนเจวี๋ย แต่ผู้หญิงที่หยิ่งผยองคนนี้บอกว่านางจะไม่มีวันเป็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ พวกเขาต่างคิดว่าต่อให้นางจะชื่นชอบซั่งกวนเจวี๋ยมากเพียงใด แต่หลังจากรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยแต่งงานแล้วนางจะไม่พูดทำนองว่าชอบหรือไม่ชอบ นางจะฝังกลบความรักนั้นไว้ในก้นบึ้งของหัวใจอย่างแน่นอนจากนั้นก็จากไปอย่างงามสง่า แต่นางก็ยังคงพูดออกมา พูดอย่างใจเย็นราวกับแค่พูดกับเขาว่า ‘ข้ากินข้าวแล้ว เจ้ากินไหม’
ใจเย็นออกปานนั้น…แน่นอน ไหล่ที่ตึงของนางหมายความว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น
ทันใดนั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็รู้สึกคอแห้งเล็กน้อย งงงันไปหมดอยู่บ้าง เขาคิดจะตอบโต้ แต่นึกพูดได้แค่ว่า ‘ข้ามีภรรยาแล้ว!’
“ข้ารู้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางถ้าซั่งกวนเจวี๋ยตอบว่า ‘ชอบ’ คำตอบตอนนี้ดูเหมือนจะดีที่สุด
“ถ้านางเต็มใจจะเป็นอนุภรรยา พี่เจวี๋ยจะรับนางหรือไม่?” ฉีอวี่เจวียนกล่าวอย่างเผ็ดร้อนพร้อมกับรอยยิ้มที่มุ่งร้ายบนใบหน้า พลางกล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สาวชาวยุทธ์พเนจรอย่างพวกเจ้านี้จะคิดมาเป็นห้องหลักของนายน้อยตระกูลสูงศักดิ์ แต่การเป็นอนุภรรยานั้นง่ายมาก พี่เจวี๋ยรับนางเป็นอนุภรรยาได้ ข้าเชื่อว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยจะไม่คัดค้าน!”
ผัวะ! ฉีอวี่ฮ่าวตบฉีอวี่เจวียนที่บ้องหูโดยไม่ลังเล ฉีอวี่เจวียนยกมือกุมหน้าแล้วมองเขาอย่างดื้อดึง จดจ้องซั่งกวนเจวี๋ยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เช่นกัน
“ในเมื่อนางพูดเช่นนั้น ข้าจะถามอีกคำถามหนึ่งแล้วกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจว่า ‘คุณหนูสุรา’ ไปทำให้ฉีอวี่เจวียนขุ่นเคืองตรงไหน แล้วพูดตามคำของนางว่า “ซั่งกวนเจวี๋ย ถ้าข้าเต็มใจจะเป็นอนุภรรยา เจ้าจะรับข้าหรือไม่?”
“โม่จิ้ง!” ฉีอวี่ฮ่าวตะโกนอย่างกังวลใจ หวงฝู่หลินจี้รู้สึกดีขึ้นบ้าง ส่วนมู่หรงปั๋วอวี่ก็ตะโกนออกมาเช่นกัน
“ไม่รับ!” ซั่งกวนเจวี๋ยมอง ‘คุณหนูสุรา’ อย่างเคร่งขรึมคล้ายกับต้องการจะเห็นใบหน้าว่าเป็นเช่นไรภายใต้หน้ากากผีเสื้อ แล้วพูดอย่างเฉียบขาดว่า “ข้ามีภรรยาที่ดีอยู่แล้ว ข้าจะไม่รับผู้หญิงคนอื่นอีก ส่วนเจ้าคู่ควรเป็นสหายที่ไม่มีวันเปลี่ยน แปลงจะดีที่สุด แต่ไม่คู่ควรกับผู้ชายที่แต่งงานแล้วเด็ดขาด”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะร้องเพลง หัวเราะและกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ย แต่นางก็อดกลั้นไว้ ยิ้มหวานพราวเสน่ห์พลางกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว! ดังนั้นข้าควรไปเสียที ซั่งกวนเจวี๋ย เจ้าปฏิเสธความรักของข้า จ่ายค่าเหล้าแทนข้าแล้วกัน”
“พวกเจ้าไม่ต้องตามมา!” เมื่อมองเห็นชายสามคนที่พร้อมจะลุกเคลื่อนไหว เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ตอนนี้เรายังเป็นสหายกันอยู่ อย่าปล่อยให้สหายไม่ได้ลองทำอะไรเลย!”
ครั้นเห็นคุณหนูสุราเดินออกประตูไป แล้วก็กระโดดลงไปโดยไม่ได้เดินบันได มู่หรงปั๋วอวี่กลับไปที่นั่งส่วนของตนด้วยความอิจฉา คว้าสุราขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วย คล้อยหลังมองไปที่ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างดุเดือดแล้วถามอย่างขึงขัง “ทำไม? นางเต็มใจจะเป็นน้อยเอง เหตุใดเจ้ายังไม่ยอมรับ? เจ้ามีโอกาสได้เสพสุขจากหญิงงามมากหน้าหลายตา แต่เรากลับเป็นเพียงความรักที่ไม่สมหวัง!”
“เสพสุขจากหญิงงาม?” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ ไฉนเขาจะไม่อยากเห็นด้วย แต่เขาทำไม่ได้ เสพสุขจากหญิงงามฟังดูดียิ่งนัก แต่หญิงงามมากไปก็ไม่สุขนักหรอก!
“เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?” ฉีอวี่ฮ่าวจ้องเขาเขม็งเช่นกัน
“ข้าจะไม่ยอมรับคุณหนูสุราเป็นอันขาด!” ซั่งกวนเจวี๋ยหยิบสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดจอกแล้วกล้ำกลืนพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าบ่นตัดพ้อข้า แต่พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าข้ามีภรรยาแล้ว และมี่เอ๋อร์เป็นคนดีมากยกเว้นจะอ่อนแออยู่บ้างเมื่อต้องเผชิญกับคนในครอบครัวที่ค่อนข้างรังเกียจรังงอน ทั้งนางยังเป็นหญิงสาวที่ฉลาดล้ำเกินผู้คนอีกด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องพูดถึงคุณหนูสุรา พวกเจ้าน่าจะรู้จักนางดี ผู้หญิงสองคนเช่นนี้ได้มาคนหนึ่งก็นับเป็นโชควาสนาแล้ว แต่มันจะเป็นหายนะหากอยากแต่งทั้งคู่เข้าเรือน พวกนางไม่มีทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ตลอดทั้งชาติ จะต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันแน่นอน ถึงขั้นบอบช้ำสูญเสียทั้งสองฝ่าย! ข้ายอมให้คุณหนูสุราอกหัก แต่จะไม่ยอมให้มี่เอ๋อร์ผิดหวัง จะไม่ยอมเหยียบเรือสองแคมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ใจ แต่จริงๆ แล้วจะทำให้พวกนางช้ำใจทั้งคู่มากกว่า!”
“พูดได้ดี!” มู่หรงปั๋วเย่ได้ยินความจริงที่หน้าประตู ผลักเปิดประตูแล้วก้าวสามขุมเข้ามาพูดว่า “ถ้าข้ามีสติสัมปชัญญะอย่างเจ้าได้ก่อนหน้าก็คงไม่ต้องเห็นเยียนอวี่กลายเป็นอย่างทุกวันนี้”
บรรดาบุรุษต่างอึ้งเงียบ ขณะที่ฉีอวี่เจวียนกุมมือปิดหน้าอยู่ก็มองมู่หรงปั๋วอวี่ เห็นแต่เขาทำเป็นเมินแล้วดื่มสุราลูกเดียว กัดฟันแน่นกรอดโดยไม่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา…
ส่วนสืออิ๋งพูดเบาๆ ที่ข้างหูของลู่เหยาคำหนึ่ง “สหายผู้นี้ของเจ้าไม่เลวเลย!”
——————-