เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 184 อินหงหลัน
ซั่งกวนเจวี๋ยถลาเข้ามาทั้งเหงื่อที่เปียกโชก มองแวบแรกก็เห็นแม่นมฉินนั่งตัวอ่อนยวบอยู่พื้นเตียงด้วยน้ำตาที่อาบแก้ม ม่านเหอจับมือข้างหนึ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาไว้ น้ำตานองหน้าเช่นเดียวกัน ส่วนเซียงเสวี่ยนั่งอยู่อีกด้าน ไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ พวกสาวใช้ที่เพิ่งถูกช่วยให้ฟื้นก็ถูกจื่อหลัวดึงสติให้อยู่นอกประตูทั้งน้ำตาที่รินไหล ไม่ยอมให้พวกนางเข้ามารบกวนในห้อง
“เป็น…เป็นอย่างไรบ้าง?” ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยถามประโยคนี้ออกมาก็คิดอยากจะหลบหนีจากความจริง ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังเป็นภรรยาที่เผยรอยยิ้มอ่อนหวาน อิงแอบแนบชิดในอ้อมอกตัวเอง ยามนี้กลับมานอนตัวเย็นอยู่ตรงนั้น แม้แต่ความกล้าเขาก็ยังไม่มีสักนิด ขาทั้งสองขาล้วนอ่อนแรงไปหมด
“ชีพจรแผ่วเบามาก แต่ก็ยังสามารถคลำชีพจรได้อยู่ตลอดเจ้าค่ะ” ม่านเหอพยายามระวังไม่ให้น้ำตาตัวเองหยดโดนร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางหยัดกายขึ้น ให้ซั่งกวนเจวี๋ยนั่งที่หัวเตียง กุมข้อมือที่เย็นไปอยู่บ้างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เบาๆ
“คุณชาย ผู้ที่มามีวรยุทธ์สูงส่ง คนที่ท่านจัดเตรียมมาแทบจะถูกเขาลอบจัดการหมดเลยเจ้าค่ะ” ม่านเหอกล่าวเสียงเบา แม้จะพูดว่าเรือนหิมะสุขใจไม่ได้มีผู้มีฝีมือคอยประจำการอยู่มากมาย แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ ถูกคนชุดน้ำเงินทะลวงเข้ามาราวกับไม่มีคนอยู่ จับตัวแม่นมฉินและเซียงหลิงบุกเข้ามาถึงห้องนอนของสะใภ้ใหญ่ แอบอยู่ในมุมมืดโดยไม่มีใครจับสังเกตได้ คนที่ได้รับคำสั่งให้รักษาการณ์ที่เรือนหิมะสุขใจ หากไม่ได้ตายไปอย่างเงียบเชียบแล้ว ก็คงถูกจัดการ คนที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีวรยุทธ์ธรรมดา
“เรื่องพวกนี้ค่อยพูดภายหลังเถิด! ลุงอินมาถึงแล้วหรือยัง?” หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยทราบข่าวก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ส่วนเยี่ยนเซียงและโม่เซียง ผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็ให้แยกย้ายไปหาอิงหงหลันแล้ว
“ข้าจะไปรอที่หน้าประตูเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” ม่านเหอถอนตัวออกไปทันที พอถึงประตู ก็ถูกจื่อหลัวและลู่หลัวที่ดวงตาแดงก่ำรั้งตัวไว้ เมื่อเห็นทั้งสองที่แทบจะพูดไม่ออก ทั้งมองตัวเองด้วยความหวัง แต่กลับไม่ปริปากพูดอะไร ม่านเหอก็กล่าวอย่างขมขื่น “สะใภ้ใหญ่ยังมีชีพจรอยู่ เพียงแต่เต้นอ่อนไปบ้าง ทุกคนต้องตั้งสติ อย่าได้ลนลาน พี่จื่อหลัว เจ้าไปเตรียมน้ำร้อน หลังจากนายท่านอินเข้ามาคงจะต้องการน้ำร้อน ลู่หลัว เจ้าไปตรวจดูพวกสาวใช้เสียหน่อย พวกที่ถูกทำให้สลบไปเมื่อครู่ ทั้งดูว่าถูกโจมตีที่ใด ลุงเหลิง ท่านไปตรวจสอบความเสียหายสักหน่อย หลังจากคุณชายใหญ่ตั้งสติได้ คงต้องการทราบภาพรวมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแน่”
เมื่อเห็นคนพวกนั้นพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ ม่านเหอจึงค่อยพบว่าเซียงหลิงนั่งอยู่บนพื้น ทั้งคล้ายกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาโดยตลอด นางถอนหายใจเล็กน้อย “พาเซียงหลิงกลับไปส่งที่ห้องก่อนเถิด พื้นเย็น หากป่วยในเวลานี้ก็ไม่ดีแล้ว”
มีสาวใช้สองคนพยุงเซียงหลิงที่ไร้เรี่ยวแรงออกไปทันที ม่านเหอสั่นศีรษะ ผิดหวังต่อคนผู้นี้อย่างถึงที่สุด เบิกตามองสะใภ้ใหญ่ยกปิ่นแทงตัวเอง ไม่คิดที่จะกล่าวห้ามปรามอะไรแม้แต่ประโยคเดียว เฮ้อ…
“คนตายแล้วหรือยัง!” อินหงหลันถูกฉุดกระชากลากถูมาโดยเยี่ยนเซียงและบ่าวเล็กๆ อีกคน จึงจำต้องเข้ามาด้วยความรวดเร็ว เสื้อผ้าล้วนไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง ทว่าใบหน้ายังคงไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่มีความเป็นห่วงเป็นใยให้คนที่นอนสลบอยู่ในห้องแม้แต่น้อย
“นายท่านอิน ท่านรีบหน่อยเจ้าค่ะ!” ม่านเหอพุ่งเข้าไปหาอย่างร้อนใจ “สะใภ้ใหญ่ยังหายใจและมีชีพจรอยู่เจ้าค่ะ แต่ได้แผ่วเบาลงมากแล้ว ท่านรีบหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!”
“รีบอะไรกัน!” อินหงหลันสะบัดมืออกจากพวกเยี่ยนเซียง กล่าวอย่างอ้อยอิ่ง “มัจจุราชจะเอาชีวิตคนยามสาม แล้วจะล่วงหน้ามาก่อนได้อย่างไร มีข้าอยู่ ขอเพียงแค่นางมีลมหายใจเฮือกเดียวก็พอว่ากันได้แล้ว! สาวใช้ม่านเหอ ให้คนไปรอที่หน้าประตู อีกเดี๋ยวซินหรันและฮวนรั่ว ฮวนเซิงจะมา ต้อนรับพวกเขาดีๆ อีกอย่าง…”
“นายท่านอิน อย่าได้ชักช้าอีกเลยเจ้าค่ะ!” ม่านเหอไม่มีความอดทนจะฟังเขาพูดจบ แต่ไหนแต่ไรนายท่านอินผู้นี้ก็เป็นคนที่มีนิสัยเชื่องช้า หากจะรอให้เขาพูดจบ ท้องฟ้าก็คงจะมืดเสียก่อน
“แต่ว่าล่วมยาของข้ายังส่งมาไม่ถึงเลย” อินหงหลันกล่าวอย่างใสซื่อ “อย่างน้อยข้าก็ต้องรอให้ล่วมยามาถึงก่อนจึงจะสามารถรักษาคนได้! พวกเจ้านี่อะไรกัน เหตุใดจึงได้รีบร้อนเช่นนี้…”
“ลุงอิน ท่านเข้ามาดูอาการของมี่เอ๋อร์ก่อนเถิด!” เสียงของซั่งกวนเจวี๋ยดังขึ้นตัดบทอินหงหลัน ม่านเหอคว้าแขนเสื้อเขาไว้ ส่วนเยี่ยนเซียงและบ่าวคนนั้นก็ดันอยู่ข้างหลัง อินหงหลันจึงต้องเข้าห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ที่เห็นเป็นอย่างแรกกลับเป็นเซียงเสวี่ยที่มองเขาด้วยความโมโห
“เด็กคนนี้เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้?” อินหงหลันสั่นศีรษะดิกๆ พินิจท่าทีของเซียงเสวี่ย ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยโมโหจนกัดฟันแน่น หยัดกายขึ้น ไม่สนความเป็นเด็กผู้ใหญ่อะไรอีกแล้ว ลากเขาเข้ามา จัดให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่เซียงเสวี่ยยกเข้ามา ก่อนจะสอดมือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปไว้ในมือของอินหงหลัน อินหงหลันจำต้องชีพจรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าจนใจ ระหว่างนั้นยังแอบฉวยโอกาสถลึงตาใส่เซียงเสวี่ยไปที…
“ลุงอิน เป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้ว่าเขาจับสังเกตอะไรได้บ้าง จู่ๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกกว้าง ใช้ท่าทีราวกับเห็นผีมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่สลบไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“แค่ก…แค่ก…” อินหงหลันพยายามไอเสียงดังขึ้นมา จากนั้นก็หยัดกายขึ้นอย่างเชื่องช้าท่ามกลางสายตาที่งุนงงจากผู้คน ค่อยๆ ขากเสมหะออกมา ก่อนจะกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย “ทันเวลาพอดี เสมหะติดคอ!”
“ลุงอิน!” ในที่สุดซั่งกวนเจวี๋ยก็เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงมักจะถูกเขายั่วโทสะจนเต้นเร่าๆ โกรธจนอยากจะบีบคอเขาให้ตาย เขาในยามนี้ก็ปรารถนาอย่างนั้นเช่นกัน
“เรียกข้าทำไม?” อินหงหลันยังคงทำตัวไม่รู้อิโหน่อิเหน่เช่นนั้นอยู่ตลอดเวลา เขาค่อยๆ กลับไปนั่งที่เก้าอี้ ไม่ได้ตรวจชีพจรให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่สนใจว่าซั่งกวนเจวี๋ยมีเรื่องอะไรจะพูดกับเขา
“มี่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” ซั่งกวนเจวี๋ยกัดฟันถาม เขาเชื่อว่าในใจของอินหงหลันคงจะรู้อาการคร่าวๆ ของมี่เอ๋อร์แล้ว และคาดว่าสถานการณ์คงไม่ได้แย่ดั่งที่คิดไว้
“เจวี๋ยเอ๋อร์ สะใภ้คนนี้ของเจ้ามักจะใจเอนเอียงหรือใจเล็กคับแคบใช่หรือไม่?” อินหงหลันยังคงทำตัวสบายๆ นั่งมองซั่งกวนเจวี๋ยที่เผยสีหน้าร้อนใจ ไม่คิดกังวลกับคนป่วยที่อยู่บนเตียงแม้แต่น้อย อย่างไรแม้จะไม่มีตนเอง คนผู้นี้ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน เขามิสู้ฉวยโอกาสเล่นสนุกเสียหน่อย
“นายท่านอิน อาการสะใภ้ใหญ่ของพวกเราเป็นอย่างไรกันแน่ ขอให้พูดออกมาตรงๆ อย่าได้อ้อมค้อมที่นี่!” เซียงเสวี่ยถลึงตามองเขา ทั้งในสายตาก็ไม่เห็นเขาเป็นหมอเทวดาที่คนในยุทธภพยกย่องแม้แต่น้อย
“ข้าขอตรวจดูอีกครั้ง” อินหงหลันแสร้งทำเป็นตรวจชีพจรให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ หลับตาลงครึ่งหนึ่ง กล่าวทั้งสั่นศีรษะ “แปลกประหลาด แปลกประหลาดจริงๆ! ว่ากันตามเหตุผลนางควรจะตายไปแล้ว หัวใจต้องได้รับความเสียหาย ไม่อาจเต้นได้ แต่เหตุใดยังคงเต้นอยู่ ทั้งยังจะเต้นแรงเสียด้วย?”
เจ้าต่างหากที่ควรจะตายไปแล้ว! เซียงเสวี่ยโกรธจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ดีกว่ากันเท่าไร เหตุใดจนถึงขนาดนี้แล้วเขายังแยกแยะความเหมาะสมของเรื่องไม่ออกอีก?
“คุณชาย อย่างไรหาหมอใหม่เถิดเจ้าค่ะ!” แม่นมฉินก็มองอินหงหลันอย่างโกรธเคืองเช่นกัน กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “แม้ว่าจะช่วยสะใภ้ใหญ่กลับมาไม่ได้ ก็ไม่ควรให้ของจำพวกนี้มาถ่วงเวลาที่นี่นะเจ้าคะ!”
ข้ากลายเป็นสิ่งของตั้งแต่เมื่อใดกัน? อินหงหลันมองตัวเองอย่างน้อยใจ จากนั้นก็มองหน้าคนในห้องทั้งหมด ไม่มีสีหน้าดีแม้แต่คนเดียว ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา “คนป่วยไม่เป็นอะไร รอล่วมยามา ข้าฝังเข็มทองให้นางสักหน่อยก็ดีแล้ว ไม่ตายง่ายๆ หรอก!”
“แต่ว่าปิ่นนี้…” ซั่งกวนเจวี๋ยเชื่อว่าจากแรงของปิ่นนี้ ย่อมแทงหัวใจจนเป็นรูแน่ๆ เขาจะสามารถช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับมาได้อย่างนั้นรึ?
“ข้าพูดไปแล้วไม่ใช่รึไง? สะใภ้คนนี้ของเจ้ามีใจเอนเอียงตั้งแต่กำเนิด หัวใจของนางเอนเอียง ไม่เป็นอะไรหรอกน่า!” อินหงหลันพูดเสียงดัง ทว่ากลับพึมพำอยู่ในใจ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กคนนี้ยังเรียนกำลังภายในของ ‘นาง’ เสียด้วย แม้หัวใจจะไม่อยู่เอียง คิดจะปักปิ่นเข้าเนื้อไปในชั่วพริบตา จะเคลื่อนย้ายอวัยวะเล็กน้อยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“แต่ว่า…” สิ่งที่ซั่งกวนเจวี๋ยให้ความสนใจก็คือจนถึงยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยังคงนอนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ทั้งใบหน้ายังซีดขาวเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าบอกว่าไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไร!” อินหงหลันถลึงตามองเขา จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง “ให้คนทั้งหมดออกไปเสีย มิเช่นนั้นข้าจะไม่สนใจจริงๆ แล้ว!”
“ลุงอิน…” ซั่งกวนเจวี๋ยยากที่จะร้องอย่างอ่อนแรง
อินหงหลันมองซั่งกวนเจวี๋ยด้วยสายตาที่ซับซ้อน ท้ายที่สุดก็ยังตัดสินใจเฉียบขาด กระโดดขึ้นมาทั้งร้องเสียงดัง “ออกไป! ออกไป! ออกไปให้หมด! เอ้อ…เจ้าเด็กคนนี้อยู่ก่อน!”
ท่าทีโหดเหี้ยมราวกับเป็นปีศาจน้อยกินคนของเซียงเสวี่ย ทำให้อินหงหลันอดหดเกร็งไม่ได้ ถอยห่างออกไปเล็กน้อย นางเอาแต่เฝ้าอยู่ด้านข้าง ใครจะรู้ว่าอาจจะเป็นคนสนิทของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงราวกับคนตายผู้นี้ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจจะล่วงเกินเรื่อยเปื่อยได้
“ม่านเหอ พยุงแม่นมฉินออกไปก่อน” ซั่งกวนเจวี๋ยส่งความนัยให้ม่านเหอและคนอื่นๆ ออกไป ส่วนตัวเองกลับเฝ้าอยู่ด้านข้างเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ไม่ยอมออกไป
“เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าก็ออกไป!” อินหงหลันโมโหจนแทบจะกระทืบเท้า หากเขาไม่ไปแล้วตนจะทำให้นางตื่นขึ้นมาคุยได้อย่างไร?
“ไม่ ลุงอิน ข้าจะต้องอยู่ข้างกายมี่เอ๋อร์ ข้าอยากจะให้นางตื่นมาก็สามารถเห็นข้าได้!” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างหนักแน่น เขาไม่อาจปล่อยให้มี่เอ๋อร์นอนที่นี่โดยลำพังได้หรอก
“เจ้าอยู่ที่นี่จะรบกวนข้า!” อินหงหลันพูดด้วยใบหน้าเรียบตึง “เจ้าต้องรู้ว่าแม้นางจะไม่ได้รับบาดเจ็บถึงอวัยวะ แต่ว่าบาดแผลนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่อาจจะประมาทได้ โดยเฉพาะสามารถจับถึงชีพจรตั้งครรภ์ได้อย่างเลือนราง มีความเป็นไปได้ว่านางจะตั้งท้องอยู่ หากผิดพลาดไปแม้แต่น้อยก็ย่อมหมายถึงสองชีวิต ถึงเวลานั้น แม้เจ้าจะร้องไห้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว…”
“อะไรนะ?” ซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายกับถูกโจมตีติดต่อกัน ตั้งครรภ์? เขาคว้าจับคอของอินหงหลันอย่างสูญเสียสติโดยสิ้นเชิง ถลึงตามองเขาอย่างจริงจัง “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าเจ้าจะร้องไห้ก็คงไม่ทันแล้ว!” อินหงหลันไม่แปลกใจกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของซั่งกวนเจวี๋ยสักนิด คนจะเป็นพ่อ ย่อมตื่นเต้นอยู่บ้าง เพียงแต่เขากลับสนใจที่เด็กคนนี้กล้าคว้าคอตนเองมากกว่า ดังนั้นจึงตั้งใจพูดไม่ตรงประเด็น
“เจ้าบอกว่ามี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างตรงๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี เขาดีใจก็เพราะมี่เอ๋อร์ตั้งท้อง พวกเขากำลังจะเป็นพ่อคนแม่คนแล้ว แต่ยามนี้นางมีสภาพเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่
“ใช่แล้ว! สัมผัสได้อย่างเลือนราง!” อินหงหลันเชื่อมั่นว่าหญิงสาวที่นอนอยู่คนนี้ย่อมรู้ว่าร่างกายของตัวเองผิดปกติ มิเช่นนั้นก็คงไม่รวบรวมลมปราณมาปกป้องที่ท้องจนถึงเวลานี้หรอก และมิเช่นนั้นก็คงไม่มีสภาพราวกับครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ดั่งตอนนี้เช่นกัน
“เช่นนั้น…เช่นนั้น…” มือทั้งสองข้างของซั่งกวนเจวี๋ยสั่นเทาไปหมด
“ข้าจะช่วยพวกเขา ดังนั้นตอนนี้เจ้าออกไปก่อน รอให้ข้ารักษาคนป่วยอย่างเชื่อฟัง” อินหงหลันไม่มีท่าทีรีบร้อนแม้แต่น้อย ยิ่งยืดเวลานานออกไป พลังภายในที่อยู่ในร่างกายของนางก็ยิ่งหลอมรวมได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งดีต่อการรักษาครรภ์และอวัยวะมากขึ้น ยามที่รักษาก็จะผ่อนคลาย ความเจ็บปวดย่อมลดน้อยลง นางในยามนี้ไม่ได้ตัวคนเดียว ไม่อาจใช้ยาแรงมากระตุ้น อย่างไรเอาแค่เพียงเหมาะสมจะดีกว่า!
“หงหลัน ล่วมยาของเจ้า!” ฮูหยินอินถือกล่องยาเข้ามา คลี่ยิ้มบาง “สะใภ้ของเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรกระมัง”
“ก็เพราะมีข้าอยู่ไม่ใช่รึ?” อินหงหลันตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะเริงร่า จากนั้นก็ไล่ซั่งกวนเจวี๋ยออกไปอย่างไม่เกรงใจ สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองภรรยาอย่างจริงจัง “ซินหรัน อีกเดี๋ยวเจ้าและเด็กคนนี้ร่วมมือกัน ข้าจะใช้ลมปราณรักษาจุดสำคัญของนางอย่างระมัดระวัง ช่วยนางกลับมา”
“วางใจเถิด!” ฮูหยินอินพยักหน้า แต่งงานกับเขามาสิบกว่าปีแล้ว ทั้งคุ้นชินกับการเป็นผู้ช่วยของเขา แต่ว่า…นางหันไปมองเซียงเสวี่ย ไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้มีตรงไหนที่ทำให้เขาสนใจได้ จึงไม่ได้ไล่นางออกไป…
——————