เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 189 ความสงสัยรายล้อม
“สะใภ้ใหญ่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่านายท่านอินแปลกๆ ไปอยู่บ้างเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยยกผ้าห่มคลุมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง หลังจากกลับมาที่จวน ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เพียงแต่โยนเรื่องทุกอย่างที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ควรจะจัดการให้กับซั่งกวนจิ่น แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังกำหนดข้อบังคับให้กับนางอีกมากมาย และแม่นมฉินก็แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ เพิ่มข้อบังคับที่จำนวนนับไม่ถ้วนรวมเข้าไปอีก ในนั้นรวมถึงการนอนให้เพียงพอ ในหนึ่งวันนางต้องนอนให้ครบห้าชั่วยาม หลังจากการต่อรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็เปลี่ยนเป็นสี่ชั่วยามครึ่ง และยามนี้ก็ถึงเวลาที่นางต้องนอนกลางวันแล้ว
“วันนั้นยามที่เขาตรวจชีพจรข้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีความง่วงแม้แต่น้อย แต่นางก็กังวลเช่นกันว่าแม่นมฉินจะบุกขึ้นเรือนมาตรวจสอบ จึงนอนพูดคุยอยู่บนเตียงกับเซียงเสวี่ย
“เหมือนจะไม่มี…” เซียงเสวี่ยขมวดคิ้ว จากนั้นก็หวนคิดอย่างจริงจังครั้งหนึ่ง “ยามที่เขาเพิ่งจะตรวจชีพจรให้ท่านก็ผิดปกติอยู่บ้าง แต่เขาเพียงพูดว่าเสมหะติดคอ จากนั้นก็พูดประมาณว่าหัวใจเอนเอียง หัวใจเล็กอะไรทำนองนั้น แต่ในตอนที่เขารักษาท่านก็ได้รั้งข้าเอาไว้ให้ช่วยฮูหยินใส่ยาให้ท่าน ดูจากลักษณะของฮูหยินอินก็แปลกประหลาดมาก! ท่านทราบแล้วหรือเจ้าคะว่าเขาผิดแปลกอันใด?”
“เขารู้ว่าข้าเรียนวิชาหยกหอม” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้เซียงเสวี่ยนิ่งอึ้งไป
“อะไรนะเจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยคาดไม่ถึงว่า ‘หมอเทวดา’ คนที่ไม่ว่าตนเองจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่ไม่รื่นตาสักนิดผู้นั้นจะมองวรยุทธ์ที่อยู่ในตัวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออก ทั้งกระทั่งเป็นวรยุทธ์อะไรก็ยังรู้อีก
“เขาเอาแต่ถามข้าว่าใครเป็นคนสอนวรยุทธ์ให้ ทั้งยังพูดถึงสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์และคนที่ชื่ออวี๋ฮวน ข้าสงสัยว่าหญิงสาวที่ชื่อ ‘อวี๋ฮวน’ นี้จะเป็นท่านป้าหรือไม่ ทั้งยังพูดว่าในมือของเขามีตำรายาต่างๆ ของสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นของหญิงสาวที่นามว่าอวี๋ฮวนผู้นั้นทั้งหมด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แน่ใจว่าอินหงหลันและป้าโม่มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ ซั่งกวนเจวี๋ยเคยพูดว่าเขาและซั่งกวนฮ่าวสนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น หากไม่เป็นเช่นนี้ อาศัยจากฐานะของเขาย่อมยากที่จะยอมรับคำเชื้อเชิญมาเป็นแขกของตระกูลซั่งกวน สำหรับเขาแล้ว ฐานะแขกนี้ไม่ได้นับเป็นเกียรติแต่กลับเป็นภาระที่ต้องแบกรับเสียมากกว่า
แม้จะไม่กระจ่างชัดว่าท่านป้าและตระกูลซั่งกวนหรือจะพูดว่าซั่งกวนฮ่าวมีความแค้นอย่างไรต่อกัน แต่หลังจากการลอบสังหารไม่ประสบผลสำเร็จหลายครั้งก็เอามาวางแผนกับตัวนางแทน ย่อมไม่ใช่ความแค้นที่ธรรมดาแน่ ท่านป้าเคยบอกเช่นกันว่า บิดาและศิษย์พี่ของนางตายในน้ำมือของซั่งกวนฮ่าว แค้นที่ฆ่าบิดาและฆ่าสามีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แล้วความแค้นเช่นนี้มีความเป็นไปได้ที่จะคลี่คลายอย่างนั้นรึ? นางไม่รู้จริงๆ!
“ที่จริงข้าเคยได้ยินมาก่อน…” เซียงเสวี่ยมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างกลัวเกรงอยู่บ้าง “มีผู้เฒ่าผู้เก่าบางคนกล่าวว่าอาจารย์ซูยังสามารถบรรยายเรื่องเล่าของสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่บ้าง เพียงแต่ผ่านมานานมากแล้ว เรื่องเล่าจำนวนมากคลุมเครือไปหมดแล้ว แต่พวกเขาล้วนพูดว่าสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นชั่วร้ายไร้ศีลธรรม ทั้งเคยกล่าวว่าเจ้าสำนักที่มีนามว่าอวี๋เทียนมิ่งคนนั้น กล่าวว่าตัวเองได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้สร้างสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านป้า แต่อวี๋เทียนมิ่งมีศิษย์สกุลโม่คนหนึ่ง โม่ตี้เซิง กล่าวว่าได้รับบัญชาจากพื้นพิภพ เป็นผู้ช่วยสนิทของอวี๋เทียนมิ่ง ข้าว่าบางทีท่านป้าอาจจะหยิบยืมสกุลของศิษย์พี่ผู้นั้นก็ได้นะเจ้าคะ”
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อน…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กดเสียงต่ำ แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยได้ยินป้าโม่พูดเรื่องเกี่ยวกับสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน เคยถามด้วยความอยากรู้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของท่านป้าก็จำต้องกลืนคำลงไป เรื่องที่เกี่ยวกับสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นั้นแทบที่จะไม่รู้โดยสิ้นเชิง
“ท่านเอาแต่อยู่ในห้องหับไม่ไปไหน พอจะออกไปก็มีท่านป้าตามท่านไปด้วยทุกครั้ง หากท่านรู้ก็คงนับเป็นเรื่องแปลกแล้ว” เซียงเสวี่ยถอนหายใจเล็กน้อย “ที่จริงตอนที่ข้ารู้ว่าท่านป้าต้องการให้ท่านเข้าร่วมการแต่งงานก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เดิมคิดว่าหลังจากเข้าตระกูลไปท่านป้าย่อมกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้แก้แค้นกับตระกูลซั่งกวนอย่างไร แต่เวลานั้นท่านป้ากลับเรียกข้าและตงอวี่ไปหาข้างกาย กำชับอย่างละเอียดว่าไม่ให้แก้แค้น ยังพูดอีกว่าความแค้นพวกนั้นล้วนเป็นดั่งควันหมอก ลมพัดมาก็ย่อมกระจายหายไป เพียงแต่ตัวนางเองเอาแต่คิดไม่ตกหรือพูดว่าไม่อยากที่จะคิดออกมากกว่า นางยังพูดว่าการล้างแค้นไม่ใช่จุดประสงค์ของนาง แต่เป็นเป้าหมายให้นางใช้ชีวิตต่อไป เพียงแค่คำพูดที่กำชับพวกนี้ของท่านป้าไม่ได้พูดกับท่านอย่างชัดเจนเท่านั้น ในปีนั้นเป็นท่านป้าที่เปิดกิจการร้านเครื่องแป้งเก่าแก่ในลี่โจวเพื่อคอยหาจังหวะล้างแค้น ตงอวี่พูดว่าในนั้นมีแม่นมที่เก่งกาจคนหนึ่ง ไม่ว่าจะกี่วันก็ไม่อาจพูดอะไรออกมา นางเลือกที่จะปิดปากเงียบเรื่องการแก้แค้น ทั้งไม่สนใจว่าตงอวี่จะทำอะไร ตรงกันข้ามกลับปล่อยให้ตงอวี่รับผิดชอบ นางอยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรก็เอาแต่เพิกเฉยมาโดยตลอด”
“ยังมีคนเช่นนั้นอยู่อีกคน?” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พบว่าเรื่องที่นางไม่รู้นั้นมีมากเสียเหลือเกิน
“ท่านป้าเคยกำชับไว้ ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ก็อย่าให้ท่านทราบเรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยกล่าวอ้อมแอ้ม “ท่านป้ากล่าวว่าแม้ท่านจะฉลาด แต่กลับมีนิสัยที่เฉื่อยชา หากไม่มีความรู้สึกอันตราย ท่านก็ย่อมเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงไม่ให้ท่านรู้เรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่น นางรู้ว่าบางครั้งตัวเองก็เป็นเช่นนั้น หากไม่มีความรู้สึกอันตรายอยู่ตลอด นางก็ย่อมไม่พยายามปรับตัวถึงขนาดนั้นหรอก พยายามดึงทุกคนที่สามารถดึงมาเป็นพวกได้ เอาชนะใจของทุกคน ทั้งคงไม่อาจทำให้คนจำนวนมากในตระกูลซั่งกวนชมชอบตัวเองได้ในเวลาเพียงสั้นๆ ได้หรอก แต่ท่านป้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเรื่องทั้งหมดกับนาง ไม่ถึงคราวจำเป็นก็ไม่ให้ตัวเองรู้หรอกกระมัง! ท่านแม่ก็เช่นกัน จนถึงเวลานี้นางก็ยังไม่กระจ่างกับเรื่องในอดีตทั้งหมดของท่านแม่ถึงขนาดนั้น แม่นมฉินก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ นางไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างมาก
“เช่นนั้นก็กล่าวว่าอินหงหลันอาจจะเป็นสหายเก่าของท่านป้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกสับสนเสียยิ่งกว่ากระไร ในยามนี้อินหงหลันเชื่อไปแล้วว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ ‘อวี๋ฮวน’ สิ่งที่ต้องการคือการยืนยันเท่านั้น หลังจากเขารู้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ ของตระกูลซั่งกวนก็จะรู้เช่นกัน?
“หากเขาสามารถเอาตำราที่ท่านป้าเขียนด้วยตัวเองออกมาได้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนี้!” เซียงเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเรื่องนี้จึงก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ แต่นางคิดว่านี่ไม่นับเป็นเรื่องร้ายไปเสียหมดหรอก
“เจ้าว่าท่านป้าและเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจ “ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่าในยามที่ท่านป้าบังคับให้ข้าสาบาน เพื่อให้ข้ายอมแต่งงานแต่โดยดีก็ได้คาดถึงเรื่องวันนี้ไว้แล้ว เวลานั้นข้ายังคิดว่าท่านป้าย่อมเชื่อมั่นว่าข้าจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างนางกับข้าไปชั่วชีวิต ยามนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ แต่ข้าเชื่อว่าแม้เรื่องที่ข้าเป็นศิษย์ของนางถูกเปิดเผย ก็ไม่อาจมีปัญหาอันใดได้เช่นกัน”
“ไม่หรอกกระมังเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยไม่คิดว่าคนที่เคียดแค้นซั่งกวนฮ่าวจนสลักลึกฝังใจจะปล่อยวางเช่นนี้ เขามีความแค้นต่อซั่งกวนฮ่าวลึกล้ำถึงเพียงนั้น ซั่งกวนฮ่าวก็ควรมีความรู้สึกเช่นเดียวกันจึงจะถูก!
“พูดยาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ “เจ้าลืมแล้วรึ หลังจากที่ท่านป้ารู้ว่าข้ามีการหมั้นหมายกับซั่งกวนเจวี๋ยจึงค่อยตั้งใจมาอู๋โจว ใช้ฐานะหญิงหม้ายตีสนิทกับท่านแม่และข้า คิดวิธีที่จะกลายเป็นแม่นมของข้า อยากจะเสี้ยมสอนสิ่งไม่ดีให้ข้า แล้วหลังจากแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนก็จะทำลายซั่งกวนเจวี๋ยไปชั่วชีวิต ทั้งยังก่อหายนะให้กับตระกูลซั่งกวนทั้งตระกูล เวลานั้นคิดว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้น คิดว่าเรื่องนี้แค่ลองสืบข่าวก็รู้ได้แล้ว แต่ยามนี้กลับพบว่าผิดปกติเป็นอย่างมาก เจ้าลองคิดดู แม้แต่ฮูหยินใหญ่ยังรู้เพียงว่ามีการแต่งงานครั้งนี้ แต่กลับไม่รู้ว่าตระกูลเยี่ยนคือตระกูลเยี่ยนไหน พำนักอยู่ที่ใด มิเช่นนั้นนางย่อมคิดหาวิธีกำจัดข้าหรือตระกูลเยี่ยนทั้งตระกูลไปตั้งนานแล้ว หลีกเลี่ยงที่จะทำให้เป็นอุปสรรคของทั่วป๋าฉินซิน แต่ท่านป้าที่เป็นศัตรูของตระกูลซั่งกวนไม่เพียงแต่รู้เรื่อง อีกทั้งยังกระจ่างแจ้งเป็นอย่างมาก เมื่อลองคิดทุกเรื่องอย่างละเอียดดูก็พบว่าแปลกมากจริงๆ!”
“ท่านพูดมาเช่นนี้ ข้าก็มึนงงแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยกลับไม่ได้คิดมากมาย ยามนี้ได้ยินที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดมา ก็รู้สึกว่าในหัวได้อัดแน่นไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
หากไม่ใช่เพราะปล่อยวางซั่งกวนฮ่าวแล้ว แม้จะรู้ฐานะของตัวเองก็คงไม่พูดเรื่องแย่ของอีกฝ่ายให้ฟังหรอกกระมัง ไม่ว่าอย่างไรท่านป้าย่อมไม่อาจบีบให้นางเข้าร่วมงานแต่งงานหรอก! งานแต่งงานครั้งนี้ท้ายที่สุดได้ถูกควบคุมไว้ในมือของท่านป้า เป็นความรับผิดชอบที่ท่านแม่ตั้งใจให้ท่านป้าแบกรับ ท่านป้าย่อมขบคิดอย่างระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้ออกมากระมัง! แต่ไหนแต่ไรเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ค่อยมองความตั้งใจของคนในแง่ดี แต่มักจะคิดในแง่ร้ายมากกว่า แต่มีคนสองคนที่ไม่เหมือนกัน หนึ่งคือท่านแม่ อีกคนก็คือท่านป้า แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นโลกทั้งใบของพวกนางหรือไม่ แต่หากตัวเองพบเรื่องร้ายหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น โลกของพวกนางก็ย่อมพังทลาย พวกนางเป็นบุคคลที่ไม่อาจทำให้นางถูกทำร้ายอันใดได้ตลอดกาล
“อีกอย่าง ข้าเคยสงสัยเรื่องหนึ่งเป็นอย่างมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเซียงเสวี่ย “กี่ครั้งแล้วที่ท่านป้า ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่นางไม่ได้พูดอย่างละเอียด แต่ย่อมไม่ได้ลอบสังหารซั่งกวนฮ่าวเพียงครั้งสองครั้งอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าเอาแต่คิดว่าการป้องกันของตระกูลซั่งกวนหละหลวม อาศัยจากวรยุทธ์ของท่านป้าจึงเข้าออกตามใจได้ แต่ว่า เจ้าคิดว่านี่เป็นไปได้อย่างนั้นรึ?”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านป้าใช้วิชาเปลี่ยนใบหน้า ดังนั้นจึงเข้าออกได้ตามใจชอบ?” เซียงเสวี่ยไม่คิดว่าป้าโม่จะอาศัย วรยุทธ์ของตนเองในการเข้าออกตระกูลซั่งกวนตามใจชอบได้ หากภายในจวนมีเพียงคนที่มีความสามารถอันน้อยนิดก็คงทำได้ แต่หากจะเข้าจวนกลับไม่อาจเป็นไปได้ การคุ้มกัน กลไก การลาดตระเวนของสุนัขนักล่า กล่าวว่าเป็นการป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบก็ไม่เกินไปแต่อย่างใด
“เช่นนั้นหลังจากการลอบสังหารล้มเหลวล่ะ? ยังสามารถใช้วิชาเปลี่ยนหน้าหนีออกมาอย่างราบรื่นได้อีกอย่างนั้นรึ?” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้เซียงเสวี่ยน้ำท่วมปาก ช่วงเวลานี้การกระทำทั้งหมดของซั่งกวนเจวี๋ยทำให้นางกระจ่างแจ้งเป็นอย่างมาก แม้ว่าคนที่มักจะประพฤติตัวสง่างามสูงส่งอย่างซั่งกวนเจวี๋ยก็มีช่วงเวลาที่หัวรุนแรงอย่างไม่สนใจอะไรเช่นกัน ซั่งกวนฮ่าวที่เคยผ่านโลกมาโชกโชนหากดุดันขึ้นมา ก็มีเพียงจะน่ากลัวกว่าเดิมเท่านั้น
“ข้าก็สับสนเช่นกันเจ้าค่ะ!” เซียงเสวี่ยหมดปัญญา นางไม่สามารถคลายความสงสัยให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ สิ่งที่นางรู้ก็มีไม่มาก ถึงกระทั่งอาจจะน้อยกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียด้วยซ้ำ…ตงอวี่และนางเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ย่อมที่จะรู้พอๆ กัน
“อีกอย่าง วันนี้จู่ๆ ข้าก็มีความคิดคลับคล้ายคลับคลา รู้สึกราวกับว่าเคยเจอครอบครัวทั้งสี่คนของอินหงหลันที่ไหนมาก่อน แต่ยามที่ตั้งใจคิดอย่างหนักก็คิดไม่ออก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะทั้งยิ้มอย่างขมขื่น นางคงไม่ถึงขั้นที่แม้แต่ความทรงจำก็ยังผิดพลาดหรอกกระมัง!
“ท่านจะเคยเจอพวกเขาได้อย่างไรเจ้าคะ? น่าจะจำผิดแล้ว!” หลังจากเซียงเสวี่ยพูดจบ จู่ๆ ก็ไม่มั่นใจอยู่บ้าง “ข้าได้ยินม่านเหอกล่าวว่านายท่านอินนั้นพาภรรยาและลูกๆ ท่องพเนจรในยุทธภพมาโดยตลอด งานประลองยุทธ์ของทุกปีล้วนไม่พลาด เป็นคนที่ชื่นชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด ท่านและป้าโม่เคยไปงานประลองยุทธ์มาสองครั้ง หรือจะเคยพบพวกเขาที่งานประลองยุทธ์มาก่อนเจ้าคะ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อยากบอกนาง งานประลองยุทธ์ครั้งแรกนางร่วมสนุกอยู่ครึ่งวันก็ขึ้นเขาไปเพียงลำพัง งานประลองยุทธ์ครั้งที่สองยิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่ลานประลองยังไปไม่ถึง แล้วจะพบที่งานประลองยุทธ์ได้อย่างไร?
เอ๊ะ ไม่ถูก! เหมือนว่าจะเคยพบยามที่เพิ่งจะรู้จักกับมู่หรงปั๋วเย่ เวลานั้นท่านป้าคล้ายกับได้พบคนรู้จัก จึงปลีกตัวหลบออกไป ถึงกระทั่งยังแต่งเรื่อง ‘ป้าห้า’ ออกมา ถ้าตัวเองจำไม่ผิด ยามที่มู่หรงปั๋วเย่จากไปก็ได้ทักทายกับคนๆ หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นอินหงหลัน…แต่เป็นอินหงหลันจริงๆ หรือไม่นางก็จำไม่ได้แล้วจริงๆ จำได้ว่าคนที่ทักทายกับมู่หรงปั่วเย่มากับหญิงวัยกลางคนที่รูปงามทั้งนั่งกับเด็กแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง ตัวเองเคยเห็นฝาแฝดมาน้อยมาก แฝดชายหญิงยิ่งน้อยเข้าไปอีก นอกจากงานประลองยุทธ์ครั้งนั้น ก็มีเพียงวันนี้แล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้น คนที่ท่านป้าหลบไม่ได้เป็นอิงหงหลัน แต่เป็นภรรยาของเขาล่ะ หรือท่านป้าและพวกเขาสองสามีภรรยาล้วนรู้จักกันทั้งหมด?
จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เหตุใดนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าข้างกายของตัวเองล้วนมีแต่เรื่องที่คลุมเครือไปหมด? เป็นตัวเองที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมากเกินไป ไม่มีความรู้สึกถึงอันตราย หรือเป็นเพราะตัวเองโง่มากเกินไปกัน?
“ข้าว่าหากจะเคลื่อนไหวมิสู้อยู่อย่างเงียบๆ อย่างไรพวกเราคอยดูอินหงหลันว่าคิดจะทำอะไรค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ” เซียงเสวี่ยก็รู้สึกเวียนหัวเช่นกัน นางสะบัดศีรษะเล็กน้อย “รอจนเขาเอาสิ่งที่เรียกว่าหลักฐานออกมาก่อนค่อยว่ากันก็ไม่สายนะเจ้าคะ ข้าว่า เขาคงไม่มีเจนตาร้าย มิเช่นนั้นก็คงไม่ทุ่มเทรักษาบาดแผลให้ท่านถึงขนาดนั้น บาดแผลของท่านดูออกค่อนข้างชัด แต่เขาเป็นหมอเทวดาที่มักจะชิงคนมาจากแดนมัจจุราช มองออกทันทีว่าท่านไม่เป็นอันใดมาก ทั้งยังยอมเสียพลังใช้วิชาเข็มทองทะลวงรักษาให้ท่าน ไม่หมดแค่นั้นยังรอหลายวัน หลังจากท่านกลับมาเป็นปกติแล้วก็เพิ่งพูดเช่นนี้ ไม่อาจมีจิตมุ่งร้ายอะไรได้กระมังเจ้าคะ”
“ไม่สนแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อน์ปิดเปลือกตาอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะพักผ่อน อย่างไรจะคิดก็คิดไม่ออกอยู่ดี เช่นนั้นรอจนเขามาหาถึงหน้าประตูแล้วค่อยพูดเถิด”
เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์แม้ว่าจะหงุดหงิดใจ แต่ก็ยังคงค่อยๆ สงบลง เซียงเสวี่ยจึงส่ายศีรษะ ปรับอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะพิงข้างเตียงหลับลงไปอย่างสะลึมสะลือเช่นกัน…
———————