เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 192 แผนของทั่วป๋าซู่เยวี่ย
ในที่สุดงานประลองยุทธ์ก็สิ้นสุดลง มีบางเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้อง มีเพียงเรื่องหยุมหยิมเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วซั่งกวนเจวี๋ยไม่จำเป็นต้องออกมาด้วยตนเอง เขาสามารถพักผ่อนได้อย่างเต็มที่สักสองสามวัน และอยู่เป็นเพื่อนกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้สบาย…
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่น่าพอใจมักจะเกิดขึ้นบ่อย ในช่วงบ่ายที่แสนขี้เกียจนั้น ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งเก้าอี้เอนนอนอยู่ใต้ร่มไม้ ต่างมีความสุขเพลิดเพลินกับช่วงบ่ายที่อบอุ่น จนเมื่อเจียจือสาวใช้ใหญ่ข้างกายทั่วป๋าซู่เยวี่ยมาที่นี่
นับตั้งแต่ซั่งกวนเจวี๋ยกลับมา ก็ยังไม่ได้ไปพบทั่วป๋าซู่เยวี่ย ซึ่งนางเฝ้าแต่คิดถึง งานประลองยุทธ์ก็สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งยังไม่มีการออกงานสังคมใดๆ จึงต้องการให้ซั่งกวนเจวี๋ยไปทานอาหารเย็นกับนางที่สวนหลังเรือน
ในขณะนี้ซั่งกวนเจวี๋ยใบหน้ามืดมน มองเจียจือซึ่งส่องประกายแวววาวในดวงตาอย่างเย็นชาแล้วพูดแผ่วเบาว่า “ข้ารู้แล้ว!”
“นายน้อยจะไม่ไปตอนนี้หรือเจ้าคะ?” เจียจือไม่คิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่ตั้งใจลุกขึ้นเลย แม้จะยังเร็วไปสำหรับมื้อเย็น แต่ฮูหยินใหญ่ก็ให้นางมาเชิญแขกในยามนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่ให้คุณชายใหญ่ไปแต่เนิ่นๆ แต่เผื่อจะได้มีเวลาพูดคุยอะไรบางอย่างกับเขา ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของคุณชายใหญ่ที่ไม่ต้องการแม้จะขยับตัว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง นางจึงเริ่มวิตกกังวลขึ้นมา
“ให้เจ้าก้าวก่ายได้หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองดูอย่างเยือกเย็นก็รู้ว่าพลั้งปากพูด แต่เขายังคงมองเจียจือด้วยสายตาที่คาดหวัง แล้วพูดอย่างรำคาญว่า “เจ้ากลับไปเรียนฮูหยินใหญ่ว่าข้าจะไปถึงตรงเวลา ไม่ต้องให้นางเป็นกังวล”
“แต่ว่า…” เจียจือใช้สายตามองไปทางเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดกันที่นางเหนื่อยล้า และหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์โดยไม่แม้แต่จะสนใจ
“ยังไม่ไปอีกรึ?” สาวใช้ที่ซั่งกวนเจวี๋ยเกลียดชังที่สุดก็คือคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เหมือนกับอนุภรรยาหนิงเมื่อยี่สิบปีก่อนราวกับแกะ คิดจะพึ่งพาท่านย่าอย่างสุดจิตสุดใจ จนกลายมาเป็นสาวใช้เมียบ่าว ไต่เต้าจนถึงอนุภรรยา สายตาที่มองผู้คนจะทำเป็นเหนือกว่าโดยไม่รู้ตัว ก็ไม่รู้ว่าถึงจุดที่เรียกว่าสุดโต่ง
เจียจือเดินไปอย่างบ่นอู้อี้ หันศีรษะไปมาสามครั้งอย่างไม่เต็มใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลืมตาขึ้นและหัวเราะเบาๆ ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าไปทานอาหารเย็นกับเจ้าไม่ได้ ข้าจะไปดูว่าพวกนางอยากเล่นกลเม็ดอะไร ทำไมพวกนางถึงไม่หยุดเสียที?”
ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้จะสาธยายถึงทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างไร นางลืมแผลเป็นที่เจ็บปวดแล้วใช่ไหม? หรือเป็นหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวกช่างหน้าหนา? เขาแสดงออกชัดเจนเช่นนี้แล้ว เหตุใดนางถึงไม่ยอมแพ้เสียที? หรือว่านางจะกร่อนทำลายความเป็นญาติซึ่งเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้หมดสิ้น นางถึงจะพอใจ? เขาพูดไม่ออกจริงๆ!
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้ล้มเลิกความคิดบางอย่าง…แม้ซั่งกวนเจวี๋ยจะใช้ท่าทางเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟหลังจากที่กลับมา โจมตีพวกนางอย่างดุเดือด ถึงขั้นหลอกใช้ข่าวลือทำลายชื่อเสียงของทั่วป๋าฉินซินไปพอสมควร ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่ว่า ‘นางมารดอกสาลี่’ ก็เพียงพอจะทำลายทั่วป๋าฉินซินไปตลอดชั่วชีวิต จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะได้ออกเรือนกับบุตรชายชนชั้นสูงในชีวิตนี้ เว้นแต่จะแต่งกับซั่งกวนเจวี๋ย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทั่วป๋าฉินซินแต่งงานกับซั่งกวนเจวี๋ย
แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งทั่วป๋าซู่เยวี่ยและทั่วป๋าฉินซินต่างหวาดกลัวกับการกระทำของซั่งกวนเจวี๋ย โดยเฉพาะทั่วป๋าซู่เยวี่ย นางไม่เคยคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะทำพฤติกรรมเช่นนี้กับตระกูลทั่วป๋า ไม่เห็นนางที่เป็นย่าอยู่ในสายตาสักนิดเดียว แม้กระมั่งชื่อเสียงของนางก็เสียหายอย่างมาก นางโกรธโมโก นางเกรี้ยวกราด แต่นางก็ยิ่งกังวล นางวิตกว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะบังคับให้ทั่วป๋าฉินซินออกจากจวนไปด้วยความโมโห จากนั้นก็เรียนรู้จากพวกนาง ใช้ไม้เด็ดฆ่าคนปิดปากจะได้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องราวก็ได้มาถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้จริงๆ
กระนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยส่งอนุภรรยาหนิงไปที่วัดประจำตระกูล อวี่ไข่ถูกโบยห้าสิบไม้ ลบหลู่ตระกูลทั่วป๋าอย่างถึงที่สุด ด่าว่าทั่วป๋าฉินซินอย่างสาดเสียเทเสียจนชื่อเสียงป่นปี้ หลังจากนั้นก็ทำให้อับอายอย่างรุนแรง เขาไม่ได้ดำเนินการอื่นใด ส่วนพวกนางก็ค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพจิตใจ
ซั่งกวนเจวี๋ยกลับจวน ทั่วป๋าฉินซินคล้ายจะเห็นความหวัง นางกระตือรือร้นจะรีบไปหาซั่งกวนเจวี๋ย ร้องว่าตัวเองถูกปรักปรำ บอกว่าข่าวลือแรกสุดนั้นตนไม่ได้ปล่อยออกไป นางไม่มีชุดสีเขียวที่จะบุกเข้าไปในห้องเขียนงานประพันธ์ ข่มขู่เป็นบางครั้งทั้งยังวางกลอุบายบังคับให้เขาพูดไม่ดีกับหญิงสาวอย่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไหนเลยนางจะมีความกล้าเช่นนี้ แต่ทั่วป๋าซู่เยวี่ย ห้ามปรามนาง…หลังจากที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ยินต้นตอข่าวลือที่อยู่เบื้องหลัง ผู้สร้างข่าวลือถูกเปลี่ยนเป็นชื่อทั่วป๋าฉินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะนางจะเป็นใครได้ล่ะ? กลิ่นหอมของดอกสาลี่มิอาจปกปิดจากเรือนกายของนางได้ ไฝสีแดงสวยสดงดงามเม็ดหนึ่งที่ข้อมือขวา บ่งบอกว่านางมีอะไรต้องทำอยู่ที่เรือนพนาวายุจึงไม่ได้กลับมาทั้งคืน นางยังจะเถียงได้อย่างไรกันเล่า?
ยิ่งไปกว่านั้นข่าวที่ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์อยู่ได้แว่วมาถึงหูของนางแล้ว ในเวลานี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับความโลเลของตน ถ้านางทุ่มสุดตัวไปตั้งแต่แรก ฆ่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น แม้จะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวนางเองหลายอย่าง แต่จะไม่มากไปกว่ายามนี้อีกแล้ว นับประสาอะไรจะลงมือกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในตอนนี้ ต่อให้นางจะคุกเข่าน้อมทักทายก็ไม่เป็นผล นางเสียใจ ทว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตั้งครรภ์ก็เป็นโอกาสเช่นกัน โอกาสงามที่จะได้ไปอยู่เคียงข้างซั่งกวนเจวี๋ย
ทั่วป๋าฉินซินถลึงตาจ้องมองเจียจืออย่างเอือมระอาทำหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองเจียจือที่ทำงานดีมาแต่ไหนแต่ไรด้วยความพึงพอใจ หลังจากประทินโฉมอย่างตั้งอกตั้งใจถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ทั้งบุคลิกลักษณะและท่าทาง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงพยักหน้าพลางกล่าวกับเจียจือ
“ข้าจะให้เจวี๋ยเอ๋อร์ยอมรับเจ้าคืนนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะปฏิเสธ เจ้าก็รอเป็นเจ้านายได้เลย! แต่ต้องเตือนเป็นอย่างแรก หากเจ้าเองทำให้ผิดหวัง มีลูกหลานให้ตระกูลซั่งกวนไม่ได้ จะมีชะตากรรมเป็นสาวใช้เมียบ่าวไปตลอดทั้งชาติ พอตั้งท้อง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เจ้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยาแน่นอน”
“ขอบคุณฮูหยินใหญ่ที่ส่งเสริม บ่าวจะไม่ทำให้ฮูหยินใหญ่ผิดหวังแน่นอนเจ้าค่ะ” เจียจือคุกเข่าลงอย่างเขินอายแกมประหม่า แล้วกล่าวด้วยความจริงใจ นางรู้ดีว่าตนจะเป็นเหมือนอนุภรรยาหนิงเท่านั้น ยึดมั่นทั่วป๋าซู่เยวี่ยไปทั้งชีวิต แต่เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี นางเกิดมาเป็นทาส เดิมทีก็ควรจะพึ่งพาเจ้านายไปตลอดชีวิต
“ท่านย่า!” ทั่วป๋าฉินซินแทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำนี้ออกมาจากไรฟัน นางไม่เข้าใจ เจียจือยังไม่มีความสัมพันธ์ที่คืบ หน้าอะไรกับลูกผู้พี่เลยด้วยซ้ำ ทำไมทั่วป๋าซู่เยวี่ยถึงคิดจะยัดเยียดสาวใช้เมียบ่าวให้ลูกผู้พี่ นางไม่ใช่หรือที่ต้องเข้าไปเติมในห้องนี้เอง? ตอนนี้หญิงสาวผู้นั้นตั้งครรภ์อยู่ ภารกิจสำคัญที่สุดคือการกำจัดลูกของนาง หากนางให้กำเนิดบุตรคนโตได้อย่างราบรื่น นางจะเข้าไปสอดแทรกไม่ได้
“เจียจือออกไปก่อนเถอะ!” ทันทีที่สิ้นเสียงของทั่วป๋าซู่เยวี่ย เจียจือก็กล่าวอำลาออกไปด้วยความเคารพ ทั่วป๋าซู่เยวี่ย มองดูอากัปกิริยาของเจียจืออย่างพึงพอใจ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เข้าหูเข้าตามากกว่าทั่วป๋าฉินซิน
“ท่านย่า ท่านต้องการทำอะไรกันแน่?” ทั่วป๋าฉินซินสูญเสียความเย่อหยิ่งอวดดีที่ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยอาเจียนเป็นเลือดโดยสิ้นเชิง หลุบตาต่ำแล้วพูดอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่า “ถ้าลูกผู้พี่รับนางเข้าห้อง ข้าจะไม่สิ้นหวังไปกว่านี้อีกแล้วหรือ?”
“เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีหวังอะไรอยู่อีกหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองนางอย่างเย็นเยียบ หลังจากคำพูดนั้นของนางที่ทำร้ายคนจนเจ็บไปถึงกระดูก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองจะกลับมาสนิทสนมกันดังเดิมแล้ว ตอนนี้นางเพียงไม่มีทางเลือก ดังนั้นแค่ต้องการช่วยนางเท่านั้นเอง
“ข้ายอมเป็นอนุภรรยาของลูกผู้พี่ ดีกว่ากลับเหยี่ยนโจว!” ทั่วป๋าฉินซินรู้ดีว่าชื่อเสียงของตนมาถึงระดับนี้แล้ว ในยามนี้ ถ้าไม่มีความสัมพันธ์คืบหน้ากับซั่งกวนเจวี๋ย เมื่อทั่วป๋าเชียนเย่ามาถึงลี่โจว จะต้องพาตัวเองกลับไปแน่นอน ในเวลานั้นตนจะเผชิญหน้ากับชีวิตที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง นางอยู่ไม่ไกลและไม่สามารถตกอยู่ในสถานการณ์นั้นได้…มู่หรงชิงหวั่นถูกปฏิเสธเพราะแสดงความรักต่อลู่เหยา และถูกตระกูลมู่หรงขังไว้ในอารามประจำตระกูลมากถึงสามสี่ปี แล้วนางเล่า? เกรงว่ามันจะน่าสมเพชมากกว่ามู่หรงชิงหวั่นในตอนนั้นหลายร้อยเท่า นางไม่ต้องการ!
สุดท้ายรู้จักกลัว? กลัวบ้างแล้วสินะ? ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองทั่วป๋าฉินซินอย่างเมินเฉย ทั้งความเย่อหยิ่งและความถือตัวเหนือกว่าของนางอันตรธานหายไป เหลืออยู่เพียงความท้อแท้ลังเลใจและความกลัววิตกกังวล หากก่อนหน้านี้นางรู้สึกกลัวอยู่บ้าง ก็จะไม่ตกอยู่ในสภาพอย่างในวันนี้!
“เจียจือจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับเจ้า นางรับใช้อยู่เคียงข้างข้ามาตั้งแต่สิบขวบ เข้าอกเข้าใจข้ามากที่สุด และเป็นคน
ที่ข้าปลูกฝังจะให้กับเจวี๋ยเอ๋อร์โดยเฉพาะ ถ้าวันนี้เจวี๋ยเอ๋อร์ตกลงรับเจียจือได้อย่างง่ายดาย ข้าจะจัดการโดยตรง ให้เจ้าเป็น
อนุภรรยาของเขาซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว หากเจวี๋ยเอ๋อร์ปฏิเสธ เราต้องพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบอีกครา!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวอย่างเฉยเมย เจียจือเป็นเพียงการโยนหินถามทางเท่านั้นเอง ถ้าซั่งกวนเจวี๋ยหลุดปากรับเจียจือได้ ทุกอย่างก็จะง่าย แต่ถ้าไม่ตกปากรับคำ นางต้องไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรัดกุม
จนถึงป่านนี้ ทั่วป๋าฉินซินไม่มีโอกาสแต่งเข้าในฐานะภรรยารองหรือภรรยาข้างเคียงอีกแล้ว ต่อให้จะเป็นอนุภรรยา ก็จะต้องดูท่าทีของซั่งกวนเจวี๋ยเช่นกัน หากซั่งกวนเจวี๋ยปฏิเสธเด็ดขาด ทั้งยังใช้วิธีการและช่องทางอะไรให้ผ่านเรื่องนี้ไป ทั่วป๋าฉินซินจะไม่มีทางเลือกอื่นที่เหมาะสมนอกจากการออกบวชเป็นแม่ชี
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ยามนี้ทั่วป๋าฉินซินไม่มีความคิดเห็นแต่อย่างใด ถ้าย้อนกลับไปได้ นางจะไม่ดื้อดึงเช่นนี้แน่ แค่ตั้งใจอยากแต่งงานกับลูกผู้พี่ นางชมชอบลูกผู้พี่ บัดนี้อยากจะแต่งงานกับลูกผู้พี่มากเช่นกัน แต่นางจะไม่แสดงความเสน่หาโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเหมือนเมื่อก่อน นางจะรักนวลสงวนตัวมากขึ้น หาทางออกให้ตัวเอง ถึงจะโหดร้ายยิ่งกว่านี้ ก็จะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นมีโอกาสหายใจอยู่ต่อไป จะระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ที่ไม่สามารถเลือกได้ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างสรุปเป็นที่แน่นอนแล้ว นางหมดหนทาง จึงทำได้เพียงถ้อยทีถ้อยอาศัย ต่อให้จะเสียหน้าเป็นอนุภรรยา นางก็จะเข้าสู่ตระกูลซั่งกวนให้ได้ เมื่อกลายเป็นคนของลูกผู้พี่ นางก็จะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้
“เจ้าอย่าพูดอะไรในระหว่างอาหารค่ำจะดีที่สุด อย่าทำให้เจวี๋ยเอ๋อร์รังเกียจและขยะแขยงมากไปกว่านี้ ทุกอย่างให้ดำเนินไปตามสายตาของข้าก็จะเสร็จสิ้นเอง” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยมองทั่วป๋าฉินซินอย่างตรงไปตรงมาและเห็นใจ แต่ก็ยังมิอาจลงรอยกับนางได้ จึงพูดอย่างเฉยเมยว่า “อวี่ไข่และพิงถิงก็จะมาเช่นกัน เจ้าอย่าแสดงอารมณ์และวางมาดท่าทางใดๆ ต่อหน้าพวกเขาจะดีกว่า พิงถิงยังโชคดีที่ไม่ได้มีส่วนพัวพันกับเรื่องของเจ้า ส่วนอวี่ไข่นอกจากถูกทุบตีแล้ว ประเด็นสำคัญคือหากคิดจะกุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลซั่งกวนในอนาคตมันจะยากยิ่งขึ้น ความเพียรพยายามทั้งหมดทั้งมวลของเขาก่อนหน้านี้สูญเปล่า พวกเขาไม่ได้เป็นหนี้อะไรเจ้า ในทางกลับกัน ตอนนี้เจ้าเป็นหนี้พวกเขา”
“ข้ารู้ดี” เวลานี้ทั่วป๋าฉินซินเข้าใจความหมายที่เรียกว่ากล้ำกลืนฝืนทน นางรู้สึกอยู่ในยามนี้ นางไม่เคยทุกข์ทรมานเช่นนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก แต่นางทำได้เพียงอดทนและต้องอดทนจนกว่าจะถึงวันที่ตนพลิกผันได้
“เจ้าเข้าใจได้จะดีที่สุด” ไหนเลยทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ แค่ข่มกลั้นความโกรธไว้สักพัก จากนั้นก็ตอบโต้กลับมาอย่างดุเดือด นางไม่กังวลเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ครั้นนางเฉิดฉายได้เมื่อใด ตนก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ได้หรือไม่ อวี่ไข่ที่ควรจะแต่งงานก็เริ่มออกไปทำกิจการข้างนอก ส่วนพิงถิงก็แต่งออกไปได้แล้ว ตอนนั้นนางจะทำอะไรได้บ้าง?
“ฮูหยินใหญ่ คุณชายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!” แม่นมหนิงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเหนื่อยล้าอย่างไม่สามารถปิดบังได้ นับตั้งแต่ลูกสาวถูกพรากไป นางก็แก่หง่อมขึ้นมาก และไม่ค่อยชอบปรากฏตัวต่อหน้าทั่วป๋าฉินซิน นางเกลียดตัวหายนะที่คร่าลูกสาวของนางและพรากชีวิตแม่ลูกไปจนเข้ากระดูกดำอยู่แล้ว
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?” ทั่วป๋าฉินซินก็รู้ว่าแม่นมหนิงไม่ชอบนาง แต่ไม่ได้เอาอารมณ์ของแม่นมหนิงมาใส่ใจเลย นางไม่สนใจแม่นมเฒ่าที่จวนเจียนจะใกล้ตายเช่นนี้หรอก!
“มีเพียงคุณชายใหญ่มาคนเดียวเท่านั้น สะใภ้ใหญ่ไม่ได้มา คุณชายน้อยก็ไม่ได้มาด้วยเจ้าค่ะ” แม่นมหนิงตอบกลางๆ โดยไม่ได้เหลือบมองทั่วป๋าฉินซิน
“แจ้งห้องครัว เตรียมตั้งสำรับ” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยพยักหน้า ครั้นดูแม่นมหนิงออกไป จากนั้นจ้องทั่วป๋าฉินซินเขม็งพร้อมพูดเตือนอย่างเย็นยะเยือกว่า “เก็บอารมณ์คุณหนูใหญ่ของเจ้าให้ดี ถ้ามีอะไรผิดพลาดอีก ข้าจะไม่สนเรื่องของเจ้าแล้วจริงๆ!”
“เจ้าค่ะ ท่านย่า!” ทั่วป๋าฉินซินระงับความโกรธในใจ มองทั่วป๋าซู่เยวี่ยด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน จากนั้นก็เสนอตัวช่วยพยุงทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างแข็งขันแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะช่วยประคองท่านไปนั่งนะเจ้าคะ”
———————–