เจ้าสาวร้อยเล่ห์ - ตอนที่ 209 ตื้นตันใจ
ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนที่แยกตัวออกมาจากคณะผู้คนและรีบกลับมาล่วงหน้า ไม่ให้ใครรายงานหรืออะไรเลย หลังจากเข้าจวนก็ตรงไปที่เรือนมีคู่ สิ่งที่เขาได้เห็นในแวบแรกคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอนนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ที่จัดไว้เป็นพิเศษสำหรับนางอย่างพึงพอใจในสวนดอกไม้ จื่อหลัวนั่งอยู่ข้างๆ พัดให้นางอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นเขาก็ตกใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขยับ กลับทำหน้าตาตื่น
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเหมือนจะผอมลงกว่าตอนที่พวกเขาจากไปมาก เดิมทีใบหน้าเล็กๆ ก็ยิ่งดูเล็กลงเข้าไปอีก แต่หน้าท้องแบนของนางกลับนูนขึ้นมาบ้างแล้ว ดูเหมือนหญิงตั้งครรภ์อย่างชัดเจนทีเดียว
หลังจากรับพัดมา ซั่งกวนเจวี๋ยก็พัดส่งลมเย็นเป็นพักๆ ให้มี่เอ๋อร์อย่างเป็นธรรมชาติ จื่อหลัวยิ้มบางๆ แล้วออกไปอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้ทั้งคู่สามีภรรยาที่จากกันไปนานได้อยู่ตามลำพัง
ลี่โจวร้อนกว่าอู๋โจวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อากาศจะดีมากในเดือนหกถึงเจ็ด…หากไม่ได้ตั้งครรภ์ จะใช้ของเย็นเพื่อคลายความร้อนได้ เดือนแปดก็นับว่ายังดีอยู่ ในเวลานั้นท้องยังไม่เด่นชัดไม่ได้รู้สึกหนัก จึงต้องระวังนิดหน่อย แต่ในช่วงปลายเดือนเก้าเริ่มมีปัญหา เกิดอาการแพ้ท้อง ร่างกายหนักขึ้นเรื่อยๆ และอากาศร้อนระอุมากขึ้น ล้วนทำให้นางหงุดหงิดอย่างยิ่ง ต่อให้ในห้องของนางจะมีเคราฤๅษี เป็นสถานที่สดชื่นกว่าจุดอื่นๆ ก็อึดอัดอยู่ดี
ดังนั้นหลังจากที่ปัญหาการกินที่ร้ายแรงที่สุดได้รับการปรับแก้จนได้เมื่อวานนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะให้สาวใช้ยืนพัดล้อมรอบอยู่ที่ลานบ้านทุกวันและนอนหลับสบายในระยะเวลาสั้นๆ
ในยามหลับนางสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเจวี๋ยเล็กน้อย จึงยกยิ้มหวานขึ้นดู เหมือนหมู่นี้จะมีภาพลวงตาอยู่เสมอ รู้สึกว่าเขากลับมาเฝ้าปกป้องนางอยู่ข้างๆ แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นใครเลย พาให้นางผิดหวังไปครู่หนึ่ง เอามือไปลูบท้อง น้อยอย่างแผ่วเบา เมื่อเร็วๆ นี้คล้ายว่านางจะรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจใช้ลมปราณตรวจสอบ ยามที่นางใช้มือลูบท้องเบาๆ อีกก็สัมผัสได้ว่าเขาออกแรงเคลื่อนไหวอีกครั้ง แม้จะอ่อนมาก แต่ก็มีอยู่จริง
ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกต้องมนต์กับรอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่อ่อนโยนมีเสน่ห์หรือน่าเอ็นดู แต่เป็นรอยยิ้มที่สดใสร่าเริงของความเป็นมารดา คล้ายจะเป็นรอยยิ้มที่มองดูหรือเล่นสนุกสนานกับลูกที่ซุกซนแบบนั้น รอยยิ้มนี้ทำให้เขาซาบซึ้งใจอยู่ลึกๆ เขาจึงอดเข้าไปแนบบรรจงจูบนางครู่หนึ่งไม่ได้
“เจวี๋ย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เรียกอย่างแผ่วเบา ด้วยความเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายจึงไม่ยอมตื่น แต่มีปฏิกิริยาทันที ไม่ใช่หรอก ไม่ได้ฝันอยู่ นางพลันลืมตาขึ้น มองเห็นซั่งกวนเจวี๋ยที่ชุดเต็มไปด้วยฝุ่นพัดให้นางอยู่
“ข้ากลับมาแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้มจางๆ ด้วยรอยยิ้มแกมอบอุ่น แล้วกระซิบพูดเพราะกลัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะตกใจ
“ข้าคิดถึงเจ้ามาก” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกว่านางอยากจะกระโดดเข้าไปออดอ้อนในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ย และเมื่อนางได้สติก็พบว่าร่างกายของตนเร็วกว่าสมอง นางเอนตัวนอนอยู่ในอ้อมกอดของซั่งกวนเจวี๋ยแล้ว
“กระโจนเข้ามาแบบนี้ได้อย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยโยนพัดในมือออก ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลแตกพลั่กไปทั้งตัว เขาบีบจมูกของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างขึงขังแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้ามีลูกอยู่กันสองคน จะประมาทไม่ได้เชียว”
“ข้าเชื่อว่าเจวี๋ยจะรับข้าได้แน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มน่าเอ็นดูและอิงแอบกับหน้าอกของเขา ครั้นได้กลิ่นฝุ่นละอองก็ย่นจมูกเล็กน้อย แต่ไม่คิดจะออกห่างเพราะเหตุนี้
“ทำไมถึงผอมลงแบบนี้? ตั้งครรภ์แล้วจะไม่อ้วนขึ้นหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยกอดภรรยาที่เบาดุจปุยนุ่นอย่างเป็นห่วง ราวกับตัวนางจะเบาหวิวกว่าก่อนที่เขาจะจากไปด้วยซ้ำ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
“ยกเว้นสองวันที่ผ่านมา ข้ากินอะไรไม่ได้เลย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เม้มปากยิ้มหวานหยาดเยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคงไม่รู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ข้ากินอะไรก็อาเจียนหมด หิวจะตายอยู่แล้ว แต่กินอะไรก็ไม่ได้ จะกินยาให้อ้วนสิเป็นเรื่องแปลก”
“เกิดขึ้นได้อย่างไร? แพ้ท้องใช่ไหม?” ซั่งกวนเจวี๋ยทำได้เพียงแค่แพ้ท้องแทนเท่านั้นหลังจากที่รู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ แต่ไม่เคยเห็นนางมีอาการมาก่อนเลย ยังคิดว่านางมีสุขภาพดีเสียอีก ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนหญิงตั้งครรภ์ทั่วไปอีกด้วย
“ใช่แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ถ้าไม่ได้นายท่านส่งจดหมายมาจากอู๋โจว บอกว่าตอนนั้นข้าก็เกิดปัญหาแบบนี้ ท่านแม่กินได้แค่อาหารพิเศษ แล้วได้แนบสูตรอาหารบางอย่างมาให้ด้วย ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะยังหิวอยู่ก็ได้”
“กินได้ก็ดีแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยจูบหอมนางแล้วพูดว่า “มันไม่ร้อนขนาดนั้นแล้ว ข้าจะอุ้มเจ้ากลับห้อง”
“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขานตอบ ซั่งกวนเจวี๋ยรีบอุ้มนางกลับห้องที่ชั้นบน วางนางลงบนเตียง จากนั้นม่านเหอก็อาบน้ำเพื่อล้างฝุ่นออกให้หมดและหวีผมให้ดูสดชื่น
“งานแต่งงานของหลิงหลงราบรื่นดีหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตะแคงนอนบนเตียง ดูซั่งกวนเจวี๋ยล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ในที่สุดก็จำจุดประสงค์ของการเดินทางของพวกเขาได้
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ตอนขากลับเราค่อนข้างอาลัยอาวรณ์อยู่เหมือนกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ท่านลุงชุยกับท่านป้าชุยจะดีกับนาง ฮ่าวหรันก็สัญญาว่าจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี อาจจะหนึ่งหรือสองเดือนให้หลังก็จะมีข่าวดีจากนาง”
“วิเศษเลย!” อันที่จริงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงโพล่งถามเท่านั้นเอง นางเชื่อว่าหลิงหลงจะมีชีวิตที่ดี ลูกชายทั้งสามคนของตระกูลชุย ฮ่าวหรันเป็นคนสุดท้องและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด แม้พี่สะใภ้ทั้งสองจะมาจากวงศ์ตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่กลับไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลชนชั้นสูง จะไม่กล้าชักสีหน้าอะไรกับนาง ตราบใดที่จัดการกับพ่อแม่สามีได้ดีก็หายห่วง ส่วนนายท่านชุยมีมิตรภาพอันลึกซึ้งกับซั่งกวนฮ่าว และยังเป็นคนมีเหตุผล หลิงหลงจะปรับตัวเข้ากับชีวิตของจือหยางได้อย่างรวดเร็ว
“เจ้าไม่ต้องกังวลกับนางเลย นอกจากนางจะไม่สบายใจเล็กน้อยในระหว่างเดินทางแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี และด้วยอุปนิสัยของหลิงหลงไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนจะกลั่นแกล้งได้ หากจะกังวลก็ต้องกังวลพี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลชุยเหล่านั้นต่างหาก!” ซั่งกวนเจวี๋ยนั่งลงที่ขอบเตียง ม่านเหอก็พาสาวใช้สองสามคนลงไปทันที โดยเว้นที่ว่างไว้ให้คู่สามีภรรยา
“จิงอิ๋งกับพิงถิงล่ะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อนข้างแปลกใจเพราะไม่ได้เห็นจิงอิ๋ง นางชอบมาคลุกคลีอยู่ข้างกายนางเสมอ พยายามดึงดูดความสนใจของนาง เพื่อให้ซั่งกวนเจวี๋ยทั้งตลกและทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจแต่ไม่มีทางทำอะไรนางได้
“จิงอิ๋งตรงจากจือหยางกลับไปที่เซิ่งจิง หลิงลี่จะออกจากลี่โจวในอีกสองวัน พวกนางยังคงไปที่สำนักดรุณีเซิ่งจิงเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งที่ควรร่ำเรียนแล้วค่อยว่ากัน สำหรับพิงถิง ข้ากลับมาก่อน พวกเขายังคงอยู่บนท้องถนน น่าจะกลับมาถึงช่วงเย็น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เขยิบเข้าไปข้างใน ซั่งกวนเจวี๋ยนอนตะแคงขยับขึ้น ทั้งคู่นอนบนเตียงหันหน้าคุยเข้าหากัน
“ครั้งนี้จิงอิ๋งและพิงถิงจะได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามด้วยรอยยิ้ม น้องสาวของสามีทั้งสองก็ถึงวัยจะออกเรือนแล้ว จึงควรวางแผนให้พวกนางอย่างรอบคอบ
ซั่งกวนเจวี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าจะพูดอย่างไรดี จิงอิ๋งตกหลุมรักมู่หรงปั๋วอวี่ตั้งแต่ได้พบกับมู่หรงปั๋วอวี่เมื่อปีกลาย แต่ฉีอวี่เจวียนน้องสาวคนแรกของฉีอวี่ฮ่าวและฉีอวี่หลันน้องสาวคนที่สองต่างชอบมู่หรงปั๋วอวี่เป็นพิเศษ แต่มู่หรงปั๋วอวี่
กลับเห็นว่าตัวเขาเองถูกคุณหนูสุราปฏิเสธโดยตรง คิดว่าเขาคงมีความหวัง จึงพูดทำนองว่าจะต้องออกเดินทางท่องยุทธภพ เพื่อตามหาคุณหนูสุรา จะได้กลายเป็นคู่รักเทพเซียน จิงอิ๋งดูมีสติสัมปชัญญะมากขึ้น ไม่มีการติดต่อใดๆ กับมู่หรงปั๋วอวี่อีก แต่จิงอิ๋งเป็นเช่นนี้ทำให้เขากังวลมากยิ่งขึ้น สำหรับพิงถิง นางยังคงวางตัวดีน่าชมเชย ไม่ได้ทำอะไรโดดเด่น สำรวมกิริยาท่าทาง ซั่งกวนฮ่าวยังเอ่ยถามว่านางชอบพอหนุ่มน้อยรูปงามคนไหนหรือไม่ นางเป็นคนเรียบง่ายและสุภาพเรียบร้อยจึงตอบว่า ‘ทุกอย่างแล้วแต่ท่านพ่อเจ้าค่ะ’
“ไม่ดีหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดก็รู้ว่าน้องสาวทั้งสองอาจไม่เจอใครที่น่าพอใจ จิงอิ๋งประทับใจมู่หรงปั๋วอวี่นั้นนางก็พอได้ยินมาบ้าง แต่นางไม่ได้มองโลกในแง่ดี จิงอิ๋งบริสุทธิ์ใสซื่อ แยกแยะความรักความเกลียดชังชัดเจน ส่วนมู่หรงปั๋วอวี่ค่อนข้างเป็นคนคิดลึก จึงไม่ใช่คู่ที่ดี แต่พิงถิงไม่ได้ถูกใจใครเลยหรือ? นี่สิมันแปลก!
“รออีกสักหน่อยเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องรีบร้อน ท่านพ่อกับข้าจะรวบรวมประวัติชายที่มีอายุเหมาะสมแล้ว เพื่อดูว่าใครเหมาะสมในเวลานั้น ปีหน้างานแต่งของพวกอวี่ฮ่าวหรืองานดอกบัวจะให้พวกนางลองติดต่อกับคนที่ใช่ก่อนสักระยะแล้วค่อยว่ากัน”
“ก็ดี” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าทารกขยับตัว จึงอดยิ้มอย่างรู้ทันไม่ได้
“มีอะไรหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่เข้าใจที่นางยิ้มขึ้นในทันใด อีกอย่างรอยยิ้มนั้นก็ดูลึกลับและอ่อนหวาน
“เขาขยับตัวน่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อมยิ้มกล่าวว่า “ข้าสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของเขา และรู้สึกได้ว่าเขาอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวเจ้ามาก เจ้าลองคลำดูสิ”
ซั่งกวนเจวี๋ยวางมือบนบริเวณที่นูนขึ้นเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง สัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อน แต่ก็ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดแล้วพูดว่า “ข้ารู้สึกได้แต่ลำไส้ของเจ้าขยับขยุกขยิก ไม่เห็นมีอะไรอื่น”
“นั่นไม่ใช่ลำไส้ของข้าบีบตัวนะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างแสนงอนว่า “ข้ากินมื้อเที่ยงก่อนจะงีบหลับ ตอนนี้ถูกย่อยจนเกลี้ยงแล้ว เด็กขยับตัวต่างหาก”
“จริงหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยวางมือแนบอย่างระมัดระวังอีกครั้งก็ยังไม่รู้สึกเช่นนั้น
“เจ้าใช้ลมปราณอย่างระวังก็จะสัมผัสข้างในได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเสียจนซั่งกวนเจวี๋ยตกใจชักมือกลับทันที จ้องเขม็งมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “จะทำได้อย่างไร ถ้าเผลอทำร้ายลูกจะทำอย่างไร”
“ไม่หรอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์วางมือของเขาในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “หมู่นี้ท่านป้าอินใช้ลมปราณเลี้ยงดูทารกในครรภ์อย่างระมัดระวังมานานกว่าครึ่งเดือน ตอนนี้เขาแข็งแรงมากและปรับตัวด้วยการทักทาย เจ้าลองพูดสิ ไม่เป็นไรหรอก”
“นางทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?” ไหนเลยซั่งกวนเจวี๋ยจะกล้า แต่นี่เป็นลูกคนหัวปีของเขา ทั้งยังเป็นลูกจากภรรยาสุดที่รักของเขาอีกด้วย จะบุ่มบ่ามขนาดนั้นได้อย่างไร
“ตอนที่ท่านป้าอินตั้งท้องเคยฝึกท่าการเดินลมปราณที่พิเศษมาก เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ทารกในครรภ์โดยเฉพาะ จะดีต่อทารกในครรภ์และสุขภาพของแม่ ท่านลุงอินก็รู้ จึงแนะนำให้นางช่วยข้าแบบนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ พลางกล่าวต่อว่า “ถ้าไม่ได้นางช่วยข้ามาสม่ำเสมอ ข้าจะต้องถูกอาหารทำพิษเลวร้ายยิ่งกว่านี้แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นจะลองดู…” ซั่งกวนเจวี๋ยใช้ลมปราณอันน้อยนิดเข้าไปที่ท้องอย่างระมัดระวังมาก จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงตัวขัดขวางเป็นชั้นบางๆ จึงผ่านตัวกีดขวางนั้นไปอย่างระวังมากขึ้น แล้วสัมผัสได้ถึงของเหลวเป็นเมือกเหนียว เป็นวัตถุขนาดเล็กเท่าผลลูกซิ่งจีนอยู่ในของเหลว เคลื่อนที่เป็นครั้งคราว เขาจะใช่ทารกหรือไม่?
“เจวี๋ย…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระซิบพลางมองซั่งกวนเจวี๋ยที่น้ำตาไหลออกมากะทันหัน
ซั่งกวนเจวี๋ยถอนลมปราณออกมาอย่างระมัดระวัง เงยหน้าขึ้นมองภรรยา ในเวลานี้เขาดูเหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าน้ำตาไหลพรากอาบแก้มโดยไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใด ดวงตาพร่ามัวมองไม่เห็นอะไรเลย เขาสะอื้นไห้เล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าสัมผัสลูกของเราได้แล้ว ตัวใหญ่ไปหน่อย นานๆ ครั้งจะขยับสักทีหนึ่ง รู้สึกว่าสมบูรณ์แข็งแรงมาก”
“นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าใจอารมณ์ของซั่งกวนเจวี๋ยเป็นอย่างดี ครั้งแรกที่นางสัมผัสถึงสิ่งเล็กๆ ที่เป็นรูปเป็นร่างแล้วนั้นก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจเช่นกัน ซึ่งน่าตื่นเต้นกว่าตอนที่นางรู้ว่าตั้งครรภ์มากทีเดียว
“เจ้าว่าเราจะตั้งชื่อให้เขาตอนนี้เลยดีหรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยถาม
“นี่เป็นความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าเป็นพ่อไม่ใช่หรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นว่าตัวเองขยับเข้าไปในอ้อมแขนของซั่งกวนเจวี๋ย มองเห็นเขาที่ทันใดนั้นก็มือไม้อ่อนเล็กน้อย ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหน แล้วก็ขำอย่างช่วยไม่ได้ โน้มตัวไปจูบเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตาทึ่ม ยังมีเวลาอีกตั้งเจ็ดเดือน เราค่อยๆ คิดก็ได้ ยังปรึกษาหารือท่านพ่อท่านแม่ได้อีกด้วย ไม่ต้องรีบร้อน”
“แต่… ” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกว่าควรตั้งชื่อให้เขายามนี้จะดีกว่า เพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าบัดนี้เขาชื่ออะไร หลังจากที่ลืมตาขึ้นมา พอได้ยินชื่อก็จะรู้ว่าเรียกเขา มันคงวิเศษไม่น้อย
“ไม่มีแต่ ข้าจะนอนสักพัก อย่ามารบกวนข้า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่คาดคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะทำตัวงี่เง่าและน่ารักขนาดนี้ในฉับพลัน จึงยิ้มและโน้มตัวไปใกล้อีก แล้วก็กัดหยอกเล่นเขาไปทีหนึ่ง คล้อยหลังก็หาท่าสบายท่าหนึ่ง งีบหลับช่วงบ่ายต่อไป…
ซั่งกวนเจวี๋ยจ้องมองภรรยาด้วยความงุนงง ลูบท้องส่วนล่างของนางอย่างระมัดระวังเป็นครั้งคราวโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่…